ฉันไม่ฟังพี่สองตรงดิ่งไปยังห้องสำนักงาน สอบถามหาหมายเลขบัญชี ซึ่งทุกวันนี้แสนสะดวกสบายมีป้ายคิวอาร์โค้ดไว้บริการ ฉันกดโอนไปสามหมื่นบาท พี่สองที่เดินตามมาถึงกับส่ายหัว
“เราสบายใจละ ขอบคุณพี่สองมากนะที่ช่วยเป็นธุระให้ ขอตัวกลับก่อนนะพี่”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่จะมาหาไอ้กายอยู่แล้วน่ะ แต่ถ้านาเนียร์อยากขอบคุณ เปลี่ยนเป็นเลี้ยงเหล้าพี่สักมื้อดิ”
ฉันลากสายตาไปหยุดที่เจ้าของอู่อีกรอบ ครั้งนี้เขาเงยหน้ามองมาทางนี้ เราได้สบตากัน นัยน์ตาคมกล้าคู่นั้นลึกเย็นอ่านยาก ที่รู้แน่ ๆ คือ กลับทำให้ตัวฉันรุ่มร้อนแปลก ๆ จนต้องเบือนหน้ากลับมากดยิ้มให้พี่สอง ตกปากรับคำ
“ได้ค่ะ เป็นวันศุกร์ละกันนะ เจอกันที่ SRL”
“โอเค ไว้เจอกัน”
หลังจากร่ำลาเขาอีกคำ ฉันก็ขึ้นรถลูกรักกลับบ้าน ระหว่างทางในหัวนึกถึงแต่เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ดูดีเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น พี่กายทำให้ฉันสนใจเขา โดยเฉพาะแววตาราบเรียบเย็นชาคู่นั้น มองสบทีไรหัวใจเต้นตึกตักอย่างไม่เคยเป็น
“คนอะไรขี้เก๊กชะมัด”
ตั้งแต่คืนนั้น ท่ามกลางผู้คน ฉันกลับสะดุดตาสะดุดใจ สนใจเขาอย่างที่ไม่เคยสนใจใครมาหลายปีแล้ว นับจาก...
ฉันหัวเราะขื่น ชักจะคิดเลอะเทอะไปเรื่อย ดึงความคิดกลับมาที่รุ่นพี่สุดหล่อ ถึงเขาจะนิ่ง ๆ ติดเย็นชา ฉันแอบเห็นนะว่า เขาสนใจฉันไม่น้อยเหมือนกัน
“แกจะคิดอะไรมากทำไมฮะนาเนียร์ ชอบก็จัด สนุกกันครั้งสองครั้ง น้ำแตกแยกทางแค่นั้นก็พอแล้ว...”
บ้านที่ใหญ่โตมากแต่รู้สึกเหมือนเป็นสนามรบ
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณหนู คุณท่านทุกคนอยู่ที่ห้องอาหารครับ”
“ขอบคุณค่ะลุงเปรม”
ลุงเปรมเป็นคนสนิทของคุณตา ที่มายืนตรงนี้คงได้รับคำสั่งมา
ฉันดูเวลาแล้วเลยเวลาอาหารมานิดหน่อยจึงรีบเข้าไปที่ห้องอาหาร พบสมาชิกทุกคนของบ้านอยู่ที่นี่ ซึ่งก็มีคุณตาของฉัน น้าสาวน้าชายและลูกสาวลูกชาย น้าปาลิดาเป็นน้องสาวฝาแฝดของแม่ฉันเอง หลังแต่งงานกับน้าบวรมีลูกสองคนคือเตชินและอิงวรา ทั้งสองเป็นฝาแฝดและอ่อนเดือนกว่าฉัน
“มาแล้วเหรอ มากินข้าวกับตามา”
“ค่ะคุณตา” ฉันฉีกยิ้มสดใสเอาใจบุคคลที่เลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เล็ก
“พิณตักข้าวให้นาเนียร์ด้วย ทำไมกลับมืดล่ะ”
“รถหนูยางแบนน่ะค่ะ เลยเสียเวลาอยู่อู่นานไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว กินข้าวเถอะ มาเหนื่อย ๆ จะได้รีบไปพัก”
คุณตาบอกเสียงอาทร ทั้งยังตักแกงเขียวหวานกุ้งของโปรดฉันให้ด้วย
“แหมแค่ไปเรียนจะเหนื่อยอะไรคะคุณพ่อ ทำอาหารทำขนมแค่เนี้ย ตาชินเรียนหมอสิน่าจะเหนื่อยกว่า ปีนี้เพิ่งขึ้นปีสองยังแทบไม่มีเวลากลับบ้านกลับช่องเลยค่ะคุณพ่อ”
คนที่เอ่ยแทรกขึ้นมาคือน้าสาวของฉันเอง สายตาขุ่นเคืองส่งตรงมาที่ฉัน
“ไม่ใช่ว่ามัวแต่ไปทำอย่างอื่นหรือเปล่าล่ะเราน่ะ วันก่อนก็ได้ยินว่าไปนัวเนียกับผู้ชายในผับนี่ กลางคืนในผับ กลางวันในอู่เหรอ”
“แม่...” อิงวราพูดแทรกขึ้น น้ำเสียงคล้ายจะปรามคนเป็นแม่
ไม่ใช่ว่าเธอห่วงใยอะไรฉันหรอก คงรำคาญแม่ตัวเองที่กำลังจะทำให้บรรยากาศมื้อเย็นเสียมากกว่า
“ทำไมยะยายอร แม่ได้ยินคนพูดมาก็อยากจะปราม ๆ นาเนียร์บ้าง จะได้ไม่ออกไปทำตัวขายหน้าข้างนอกให้เสียชื่อเสียงบ้านเรา”
ฉันมองเลยไปยังหน้าว่าที่นายแพทย์หนุ่มอนาคตไกล หมอนั่นมองตอบฉันแววตาท้าทายและหยามหยันกลับภายใต้ท่าทางสงบของเจ้าตัว
ขณะที่คนเป็นเมียจีบปากจีบคอพูด สามีอย่างบวรก็นั่งนิ่งทำหน้าบื้อเป็นใบ้อย่างไม่ใส่ใจนัก
สามีคนนี้ของน้าปาลิดา มีบ้านเล็กบ้านน้อยเป็นสิบ ใคร ๆ ก็รู้ไปทั่ว ถ้าจะขายหน้าก็คงขายไปนานแล้ว
“คุณพ่อจะไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอคะ หลานสาวคนโปรดของพ่อทำเรื่องงามหน้าขนาดนี้”
ฉันกินข้าวไปเงียบ ๆ ไม่ใส่ใจ น้าปาลิดาโยนเรื่องไปหาผู้เป็นประมุขของบ้าน
คุณตาวางช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
“อาหารมื้อนี้รสชาติดีมากนะพิณ โดยเฉพาะแกงคั่วส้มมะตาด คราวหน้าทำอีกโต๊ะอีกนะ”
“ค่ะคุณท่าน”
“คุณพ่อ! ไม่ต้องเฉไฉเปลี่ยนเรื่องหรอกค่ะ หลานคนโปรดของคุณพ่อนี่แตะไม่ได้เลยใช่ไหมคะ เข้าข้างกันแบบนี้อีกหน่อยคงเสียคน ใจแตกตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ”
“พอหรือยังปาลิดา ยังไม่รู้ตัวอีกว่าทำมื้อค่ำดี ๆ เสียหมดแล้ว”
“คุณพ่อ!”
“การที่แกได้ยินคนอื่นพูดแล้วเอามาพูดลิดรอนน้ำใจคนในบ้านมันใช้ได้ที่ไหน ฉันเองก็เลี้ยงหลานทุกคนอย่างให้อิสระในการใช้ชีวิต ใช้คตินี้มาตั้งแต่รุ่นพวกแกด้วยซ้ำ ถ้าฉันเข้มงวดกับแกตั้งแต่ตอนนั้นคงดี”
“คุณพ่อพูดแบบนี้หมายความว่าไงคะ”
“หมายความว่า แกคงไม่โตมาแล้วมีนิสัยแย่ ๆ แบบนี้ไง”
“คุณพ่อ!”
ถ้าเป็นเด็ก น้าปาลิดาคงลุกขึ้นกระทืบเท้าเต้นเร่า ๆ ที่ถูกต่อว่าต่อหน้าฉัน แต่ด้วยวัยที่มากขึ้นจึงทำให้เธอทำได้แค่นั่งเม้มปาก จิกตาวาวดุใส่ฉันหลังคุณตาลุกจากโต๊ะอาหาร
“ยังจะมีหน้านั่งกินอยู่อีก”
พอไม่มีใครให้ว่า น้าสาวก็หันมาแว้ดแหวใส่ฉัน ขณะที่คนเป็นสามีดื่มน้ำแล้วลุกออกจากห้องอาหารไปอีกคน