แต่ทุกเสียงนินทาว่าร้ายต่อฉันกลับไม่เคยทำให้คุณตาลดทอนความเอ็นดู นั่นเป็นแรงยึดเหนี่ยวจิตใจให้ฉันปฏิบัติตัวมีขอบเขต แม้จะร้าย แรง แต่ไม่เคยเลว
SRL PUB
ฉันนั่งจิบเครื่องดื่มมาพักใหญ่แล้ว วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ที่ฉันนัดเลี้ยงพี่สองกับเพื่อน พวกพี่ส่งแชตมาบอกว่าอาจจะมาช้าหน่อยเนื่องจากอาจารย์สอนชดเชย ฉันตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร เมื่อไหร่ก็ได้ นั่นเป็นเหตุให้ฉันนั่งทอดอารมณ์จิบเหล้าดีกรีเบาเคล้าเสียงเพลงแนวอีดีเอ็มกระตุ้นเร้าหัวใจที่ทำให้ต้องโยกหัวโยกตัวตามอยู่บ่อย ๆ
“เสียดายชมพูไม่มาด้วย”
รายนั้นโดนพี่ชายลากกลับบ้าน หลังไม่ได้กลับมาสองเดือนและพ่อขู่จะตัดค่าขนมทั้งพี่ทั้งน้อง
การเที่ยวคนเดียวไม่ใช่จะทำให้รู้สึกแย่ แต่เพลิดเพลินได้ไม่นาน หนุ่มหน้าเข้มคมคนหนึ่งก็เข้ามาทัก
“มาคนเดียวเหรอครับ ขอชนแก้วด้วยได้ไหม อ้อ ผมชื่อกวิน”
“นาเนียร์ค่ะ”
ฉันกดยิ้ม ยกแก้วไปชนกับเขาอย่างไม่เรื่องมาก
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”
“ไม่สะดวกค่ะ พอดีเพื่อนเรากำลังจะมาแล้ว”
แววตากรุ้มกริ่มของหมอนั่นบอกฉันหมดว่าเขาไม่ได้ต้องการแค่นั่งดื่มชนแก้วกับฉันหรอก เขาอยากชนอย่างอื่นมากกว่า หมอนี่เป็นรายที่เท่าไหร่ของคืนนี้แล้ว ฉันก็ลืมนับ
“ก็นั่งจนกว่าเพื่อนนาเนียร์จะมาไงครับ”
“ไม่ต้องรบกวนหรอก เพื่อนเธอมาแล้ว”
เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังหมอนั่นทำให้เขาเอี้ยวหน้าไปมอง ฉันเองก็ด้วย ก่อนพบว่าเป็นเพื่อนหน้าตาเย็นชาของพี่สองนั่นเอง
เจ้าของร่างสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเดินอ้อมมานั่งโซฟาตัวเดียวกับฉัน มือหนาที่มีเส้นเลือดดันขึ้นมาเล็กน้อยตรงหลังฝ่ามือและลำแขนยื่นไปหยิบแก้ว เริ่มชงเหล้าให้ตัวเอง
“อ่า เฮียกาย” ผู้ชายที่ยังยืนหน้าตาเหลอหลาหลุดเสียงทักแผ่วพร่าไร้ความมั่นคง “สะ สวัสดีครับเฮีย”
นั่นทำให้เจ้าของชื่อเงยหน้ามอง คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย คงสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้จักเขาได้ไง
“ผมเป็นน้องปีหนึ่งวิศวะยานยนต์ครับ”
“อ้อ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไว้โอกาสหน้า ชนแก้วกันใหม่นะคะ”
“อ่า ครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
นิสิตน้องใหม่รีบพาตัวเองหายไปในทันที ฉันอดขำไม่ได้ เป็นคนอื่น เห็นผู้ชายมาประกาศโต้ง ๆ คงรีบเผ่นแล้ว หมอนั่นยังยืนเซ่อซ่ารอบาทาอยู่ได้ ดีนะว่า ฉันกับพี่ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่มีซัมติงกัน
“ชอบมาก?”
คนนั่งข้างทักขึ้น หันไปมองก็พบว่าตาคมกล้าเย็นชากำลังมองฉันอยู่
“อะไร?”
“บริหารเสน่ห์”
ไม่คิดเหมือนกัน คนหน้านิ่งติดเย็นชาอย่างเขาจะพูดจาแบบนี้เป็น ฉันระบายยิ้มหวานประชด
“เป็นธรรมดาของผู้หญิงสวยไม่ใช่เหรอคะ”
“มันไม่ได้อยากชนแก้วกับเธอ”
“เรารู้ค่ะ ผู้ชายแทบทั้งหมด มาเที่ยวแบบนี้ก็คิดเรื่องอย่างนั้นเวลาเจอสาวถูกใจเป็นเรื่องธรรมดา พี่คิดว่างั้นไหมล่ะ”
คนพี่กลับเงียบไม่ตอบ ฉันเลยแสร้งพูดต่อ
“อย่างเรา เวลาเจอคนถูกใจยังคิดเลย”
“คืนนี้เจอหรือยัง”
“อืม...”
เป็นจังหวะที่พี่สองกับพี่ธีมเข้ามาหาพอดี
“ไงเรา มานานหรือยัง”
“สักพักค่ะพี่สอง”
“น่าจะพักใหญ่เลยมั้ง เหล้าพร่องไปขนาดนี้” ประโยคนี้เป็นพี่ธีม พี่แกกำลังจัดการชงเหล้าให้ตัวเองและเพื่อน รวมถึงเพื่อนหน้านิ่งของเขาและฉันด้วย
“ก็...บรรยากาศมันได้เลยเพลินไปนิดนึงค่ะ”
“ขอโทษทีนะนาเนียร์ อาจารย์ปล่อยเลตมาก แต่พวกพี่รีบบึ่งรถมาที่นี่เลย หวังว่าคงไม่โดนไอ้ศิลป์ตามแจกตีนทีหลังนะ นัดเด็กมันออกมาตี้แบบนี้”
“ได้ข่าวว่าเราเป็นคนนัดเลี้ยงพี่นะ”
“ไม่รู้ล่ะ กลัวไว้ก่อน”
ท่าทางกลัวไม่จริงใจสักนิดทำให้ฉันเบ้ปาก พอดูออกว่า กลุ่มพี่สองร้ายพอตัวโดยเฉพาะคนที่นั่งดื่มเงียบ ๆ นั่น เขาไม่คุยไม่พูดมาก มีแค่แววตาที่ทอดมามองฉันบ่อย ๆ ขณะพวกเรานั่งดื่มและคุยกันในเรื่องสัพเพเหระ
“รถเป็นไงบ้างล่ะ ปรับแต่งช่วงล่างไป”
“ดีค่ะ ขับลื่นดีกว่าเดิม ที่จริงเราคิดอยู่ว่ามันไม่ปกติหลังแข่งเสร็จคืนนั้น จะพาไปเช็ก แต่ติดขี้เกียจ”
“เรื่องความปลอดภัยจะขี้เกียจไม่ได้” เสียงนิ่ง ๆ เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
ฉันย่นจมูก รู้สึกเหมือนถูกดุ เลยจ้องหน้าหล่อคมพร้อมยิ้มหวานหยดให้ ยิ้มที่ปั้นแต่งให้ยียวนคนมองตอบกัน
“ก็ถ้ารู้ว่าจะมีเจ้าของอู่ใจดีอยู่ใกล้ ๆ แถมยังเก่งมากด้วย คงไม่ขี้เกียจหรอกค่ะ”
“มีปัญหาอะไรไว้แวะไปอู่ไอ้กายมันได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจใช่มั้ยไอ้กาย” พี่สองบอกอย่างใจดี
“อือ” เจ้าของอู่ครางรับ ท่าทางเฉยชานั้นทำให้ฉันหมั่นไส้มากขึ้นอีกนิด
“ถึงว่าพวกพี่ศิลป์คุยกันว่าอู่นี้แต่งรถดี”
“พวกนั้นแวะมาบ่อยเหมือนกัน มันชอบของแต่งร้านเพื่อนพี่” ประโยคนี้เป็นพี่สองที่ช่วยขยายความ
ฉันพอรู้ แม้พวกพี่ศิลป์จะพูดจาเหมือนหมั่นไส้กลุ่มพี่กาย แต่พวกเขายอมรับในคุณภาพของอู่เขา
นั่งคุยกันไม่ทันไร เพลงเริ่มเป็นเพลงเมดเล่ย์แดนซ์ บ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงเวลาห้าทุ่ม พี่สองกับพี่ธีมถูกสาวสวยโต๊ะอื่นฉกตัวไปเต้นอยู่กลางฟลอร์ พูดให้ถูกคือ พี่แกสะดุดตาสะดุดใจสาวจนตามเขาออกไปเต้น หลงเหลือไว้แค่เพื่อนหน้านิ่งที่ยังนั่งกระดกเหล้า ทำท่าว่ารากอาจจะงอกอยู่ตรงนี้แล้ว
“พี่ไม่ออกไปเต้น?”