01
เสวียนหนี่ว์เจิน นางมารร้ายแห่งหุบเขาเหวนรก นางยืนถือกระบี่เทพจรร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด ตัดกับผิวขาวของนาง ชุดแต่งงานสีเพลิงลายหงส์ไฟสวยงามเว้าแหว่งเต็มไปด้วยรอยกระบี่และรอยเลือด เจ้าบ่าวหน้าหยกที่เป็นคนทรยศถูกกระบี่เทพจรของนางบั่นคอจนสิ้นชีพ
“นางมารร้ายยังไงวันนี้เจ้าก็ไม่รอดแล้ว” หนึ่งในสมาชิกผู้ผดุงคุณธรรมแห่งยุทธภพกล่าว เสวียนหนี่ว์เจินเหยียดยิ้มกับท้องฟ้า แต่เดิมนางไม่เคยยุ่งกับใคร ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาดูแลพรรคพวกพี่น้องของนาง แต่ผู้คนกลับเรียกขานนางว่ามารร้าย ทั้งที่นางไม่เคยทำอะไรผู้อื่น ท้ายที่สุดนางก็ถูกบุรุษหลอกให้รัก แล้วก็ทำลายทุกอย่าง พวกมันพากันบุกมาในหุบเขาของนาง สังหารทุกคนจนหมดสิ้น
“เจ้าคิดว่าข้าตายแล้วพวกเจ้าจะรอดจากไปหรือ” เสวียนหนี่ว์เจินเหยียดยิ้มพรายด้วยความร้ายกาจ หุบเขาเหวนรกในสายตาผู้อื่นอาจจะเป็นสถานที่ของมารปีศาจ แต่คนที่นี่รู้ตัวดีว่าพวกเขาเป็นใคร และบรรพบุรุษเป็นใคร
“หึ เจ้าตาย สมบัติหุบเขาเหวนรกก็เป็นของพวกข้า ยุทธภพนี้ก็เป็นของพวกข้า” กลุ่มผู้ผดุงคุณธรรมจอมปลอมกล่าว วันนี้เป็นวันที่พวกมันมารวมตัวกันจนครบทุกสำนัก เสวียนหนี่ว์เจินส่ายหน้า พวกนางไม่ใช่มารและปีศาจ โลกใบนี้มีหลายภพ หุบเขาเหวนรกถือเป็นสถานที่ทางเชื่อมระหว่างโลกเทพเซียน และโลกแห่งมารปีศาจ แต่วันนี้นางไม่อาจปกครองดูแลที่นี่ได้อีกแล้ว
“ข้าไม่ใช่มาร ผู้คนที่นี่ก็ไม่ใช่มาร” เสวียนหนี่ว์เจินกล่าว นางยื่นมือของตนเองออกไปด้านหน้าก่อนจะท่องคาถาอักขระโบราณบางอย่าง ฝ่ามือของนางเปล่งประกายมีแสงสีทองออกมา แสงแห่งพลังเซียน ร่างกายของชาวหุบเขานรกที่ตายตกไป เลือดของพวกเขาเป็นลำแสงสีทองออกมา รอบด้านมีกลิ่นอายสีดำทะมึน ผู้คนที่เป็นมนุษย์ต่างพากันหายใจไม่ออก แต่พวกมีพลังวิญญาณจะสามารถอยู่รอดท่ามกลางหมอกมฤตยูทั้งหลาย
“พวกเขา พวกเขา… เป็นลูกหลานเทพเจ้า” หนึ่งในกลุ่มชายชราที่เป็นผู้อาวุโสกล่าว ตำนานเล่าลือเกี่ยวกับเทพเจ้า พลังเซียน วิชาเซียนถูกถ่ายทอดให้แก่มนุษย์จนกลายเป็นวิชายุทธมากมาย จนก่อเกิดขึ้นเป็นหลายสำนัก จากนั้นลูกหลานเทพเจ้าที่มีกลิ่นอายพลังเซียนก็เร้นลับหายจากยุทธภพไปนานหลายร้อยปี ไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นคนหุบเขาเหวนรก ปราณพลังเซียนจากเลือดของลูกหลานส่งไปยังประตูชั้นเซียน และแดนปีศาจ โลหิตลูกหลานเป็นดั่งความเจ็บปวดที่เหล่าเทพ และมารไม่อาจยินยอมได้
“มันผู้ใดที่สังหารลูกหลานของข้า มันผู้นั้นจะต้องตายตกไปตามกัน วิญญาณของมันจะต้องแตกสลาย วิชาทั้งหลายที่ข้ามอบให้แก่พวกเจ้าจงหวนคืนสู่พลังธรรมชาติ ปราณเซียนและไอมารจะไม่มีมนุษย์ตนใดสามารถใช้มันได้อีกชั่วกัปชั่วกัลป์" เสียงกัมปนาทพร้อมกับแสงเรืองรองบนฟากฟ้า เสวียนหนี่ว์เจินยิ้มเยาะก่อนร่างกายของนางจะสลายหายไปเป็นเถ้าธุลี นางใช้ปราณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทายาทสายตรงเปิดประตูเซียนเพื่อร้องต่อบรรพบุรุษ แสงปราณเซียนและไอมารสีทองและสีดำควบรวมกันก่อนจะหายเข้าไปในเขตแดนใคร เขตแดนมัน มนุษย์ที่ใช้พลังปราณเซียนและไอมารในการฝึกวรยุทธ์กลับกลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีการต่อสู้เก่งกาจ แต่กลับไม่มีพลังปราณ เดินบนอากาศ ขี่กระบี่เซียนได้อีกแล้ว และผู้อาวุโสกับเหล่าคนที่ฆ่าล้างลูกหลานหุบเหวนรก พวกเขาถูกพลังเทพเจ้าและมารทำลายจนสิ้นชีพกันหมด สถานที่หุบเหวนรกกลายเป็นกลิ่นอายหมอกมฤตยูอันตรายที่ไม่มีผู้ใดกล้าย่างก้าวเข้ามาอีก มันกลายเป็นสถานที่ตำนาน สถานที่เฮี้ยนที่เป็นเพียงสุสานของคนนับพันเท่านั้น
“มาเถอะ” เทพเจ้าฟานอู้จิ้ว เทพเจ้าเซี่ยปี้อันที่มนุษย์เรียกขานว่ายมทูตขาวดำกล่าว วิญญาณของเสวียนหนี่ว์เจินเป็นดวงวิญญาณพิเศษ คนในหุบเขาเหวนรกก็เช่นกัน พวกเขาเป็นทายาทเหล่าเทพเซียน และเทพมาร ทายาทที่หลงเหลืออยู่ในโลกมนุษย์ แม้จะเป็นทายาทรุ่นถัดไปหลายสิบรุ่น แต่ก็ยังถือว่าเลือดเนื้อของพวกเขาเป็นเลือดเนื้อของเหล่าเทพ และมาร เทพทั้งสองจึงต้องเดินทางมารับด้วยตนเอง
“มาแล้วหรือ พานางไปที่นั่นซะ ท่านรอนางอยู่” แหยนหลางหวาง ท่านพญายมราชรูปร่างใหญ่โต น่าเกรงขาม และน่าหวาดกลัว ท่านมองสตรีตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจ แล้วบอกกล่าวแก่เทพทั้งสองให้พานางไปยังสถานที่ที่นางควรจะไป เสวียนหนี่ว์เจินเดินตามเทพทั้งสองไปก่อนจะพบกับดินแดนสีขาวที่มีกลิ่นอายสีทองเต็มไปหมด เทพทั้งสองค้อมศีรษะก่อนจะเลือนหายไปทันที
“เสวียนหนี่ว์เจิน” เสียงทรงพลังอำนาจกล่าว นางเป็นเพียงไอวิญญาณมนุษย์ในวัฏสงสารที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆที่มีพลังปราณเซียนหมุนวนรอบตัวนาง แดนเซียนและแดนมารต่างมีพลังอำนาจที่มาเดียวกัน แต่ต่างกันที่วิถีการฝึกบำเพ็ญเพียร ชาวหุบเหวนรกเป็นลูกหลานเซียนมนุษย์ มารมนุษย์ และเซียนกับมาร โดยลูกหลานเซียนและมารคือจ้าวหุบเขาที่สืบทอดต่อกันมาในทุกรุ่น
“เจ้าคะ”
“เจ้าทำให้ลูกหลานของข้าหมดสิ้นแล้ว” ท่านเซียนกล่าว เสวียนหนี่ว์เจินย่อมเข้าใจ ทุกอย่างเป็นเพราะนางทั้งหมด หากนางเลือกแต่งงานกับบุรุษในหุบเขา สืบทอดทายาทรุ่นต่อไปก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่นางกลับเลือกบุรุษที่มีดีแค่เพียงหน้าตาและคำพูดเท่านั้น
“ข้าขออภัยเจ้าค่ะ”
“เอาเถอะ วันหนึ่งอย่างไรก็ต้องสิ้นสุดลง ข้าก็ไม่อยากโทษเจ้า แต่ว่าประตูหุบเหวนรกปิดไม่สนิท แดนเซียนยังมีเซียนที่ไม่อาจละทิ้งกิเลสได้อยู่มาก แดนมารก็เช่นกัน ข้าจะให้เจ้าลงไปจุติใหม่ เพื่อแก้ไขเรื่องราวเล่านี้ให้หมด แล้วจงปิดประตูมันเสียให้สิ้น"
“เจ้าค่ะ”
“แต่เจ้าจะไม่มีพลังใดอีก มีเพียงสรรพวิชาดั้งเดิมที่เจ้าเคยเรียนรู้จากบิดาเจ้าเท่านั้น” ท่านเซียนกล่าว ก่อนแสงเรืองรองจะเจิดจ้าจนแสบตา เสวียนหนี่ว์เจินจึงได้หลับตา และวิญญาณของนางก็ถูกพลังอำนาจอันสูงส่งพาไปยังแดนมนุษย์ในกาลเวลาข้างหน้าอีกนับพันปี
“อุแว้ อุแว้” เสียงกรีดร้องของเด็กทารกร้องดังลั่น ฮูหยินแม่ทัพโม่ นางมีนามว่าจ้าวเหลียนฮวา เป็นบุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพจ้าว แม่ทัพใหญ่ตะวันตกผู้มีอำนาจในแผ่นดินแคว้นเสวี่ย ยามนี้นางกำลังให้กำเนิดทายาทสกุลโม่ น่าเสียดายที่วันนี้เป็นวันที่ฮูหยินเอก และอนุคนงามอย่าง ไป๋หลินซู ก็ต่างให้กำเนิดทารกพร้อมกัน แม่ทัพโม่ชุนเฉิง ไม่รู้ว่าตนเองจะไปอยู่หน้าเรือนของผู้ใดดี แต่เพราะความถูกต้องเหมาะสมเขาจึงต้องรออยู่หน้าเรือนฮูหยินเอก แต่คนทั้งจวนต่างก็รู้ว่าสตรีในใจท่านแม่ทัพ คืออนุไป๋หลินซู สตรีที่รักกันมาก่อน แต่เพราะอำนาจ และการเมือง ทำให้สตรีที่ต่ำต้อยอย่างไป๋หลินซู เป็นได้อย่างมากก็แค่อนุของแม่ทัพโม่เท่านั้น
“เป็นเด็กหญิงเจ้าค่ะ” หมอตำแยนางหนึ่งอุ้มทารกน้อยตัวแดงที่เช็ดตัวจนสะอาดห่อผ้าออกมา แม่ทัพโม่มองบุตรสาวตัวน้อยของตนเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย เด็กน้อยจ้องตาเขา แต่กลับไม่ยอมร้องออกมาสักนิด เขาอุ้มนางเข้ามาที่อกด้วยความรู้สึกทะนุถนอม ถึงจะไม่ได้เสน่หาต่อจ้าวเหลียนฮวามากมายนัก แต่เด็กคนนี้ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา นางหน้าตางดงามเหมือนมารดาของนางไม่มีผิด ผิวของนางขาวผ่องดั่งหิมะ ริมฝีปากของนางแดงดั่งผลอิงเถา หน้าตาน่าเอ็นดูยิ่งนัก
“ข้าให้นางชื่อว่าโม่เฟยหรง”
…และเด็กน้อยผู้นั้นก็ได้มีนามใหม่ยามแรกเกิดว่า โม่เฟยหรง
“ท่านแม่ทัพ อนุไป๋คลอดแล้วเจ้าค่ะ เป็นบุตรชายบุตรสาว ทารกคู่หงส์มังกรเจ้าค่ะ" สาวใช้ประจำตัวของอนุไป๋มารายงานด้วยความดีใจ นางเหลือบมองห่อผ้าสีทองด้วยความสะใจ ฮูหยินเอกให้กำเนิดบุตรสาว แต่อนุกลับให้กำเนิดทารกหนึ่งชายหนึ่งหญิง นี่ไม่เรียกว่าความมงคลได้อย่างไร
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” แม่ทัพโม่กล่าวก่อนจะส่งบุตรสาวให้กับสาวใช้ แล้วรีบเดินไปที่เรือนของอนุไป๋แสนรักของตน ปล่อยให้ฮูหยินที่เพิ่งคลอดลูกได้แต่กอดห่อผ้าบุตรสาวทั้งน้ำตา เขาไม่แม้แต่จะเข้ามาถามว่านางเป็นเช่นไรบ้าง แต่กลับทอดทิ้งนางไว้ในห้องคลอด ฮูหยินเอกอย่างจ้าวเหลียนฮวาได้แต่กอดห่อผ้ามองบุตรสาวที่กำลังจ้องมองนาง ทั้งที่เด็กทารกไม่ควรจะลืมตาได้ด้วยซ้ำ แต่นางกลับมีแววตาเป็นประกาย
“ฮูหยินท่านอย่าคิดมากนะเจ้าคะ ดูสิเจ้าคะ คุณหนูใหญ่โม่เฟยหรง ช่างงดงามจิ้มลิ้ม ดูสิ เอาแต่มองฮูหยินใหญ่เลย” สาวใช้คนสนิทของจ้าวเหลียนฮวากล่าว นางจึงได้จ้องมองบุตรสาวด้วยแววตาแห่งความรัก …ต่อให้บุรุษผู้นั้นไม่รักนางก็ช่างเถิด นางยังมีบุตรสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนางอยู่
วันเวลาผ่านไปเสวียนหนี่ว์เจินเติบโตขึ้นมาเป็นคุณหนูโม่เฟยหรง เป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกแม่ทัพโม่ เรื่องราวภายในจวนเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ไม่เรียบง่าย ความสัมพันธ์ของคนในจวนนั้นซับซ้อน ยามนี้โม่เฟยหรงก็มีอายุหกขวบปี น้องทั้งสองที่เกิดจากอนุไป๋หลินซูมีนามว่าโม่ซินอ้าย และโม่เหว่ยเฉิง
เพียงแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าแม่ทัพโม่นั้นให้ความสำคัญกับบุตรอนุทั้งสองอย่างไร โม่เฟยหรง มีความหมายว่าโบยบินสู่เกียรติยศ แม้จะฟังดูสูงส่งล้ำค่า แต่เทียบไม่ได้กับชื่อโม่ซินอ้าย โดยคำว่าซินที่มีความหมายว่าเบิกบานใจ ส่วนอ้ายหมายความว่าความรัก และโม่เหว่ยเฉิงผู้เป็นน้องชาย มีความหมายว่า รุ่งโรจน์และสืบทอด เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าบุตรชายอนุนางนี้คือทายาทสกุลโม่คนถัดไปหรือ แม่ทัพโม่ย่อมหมายความว่ามารดาของนางจะไม่มีทางตั้งครรภ์ได้อีก
นางเป็นโม่เฟยหรงก็จริง แต่จิตวิญญาณเนื้อแท้ของนางคือเสวียนหนี่ว์เจิน นางยอมรับว่าความรักความผูกพันของนางและจ้าวเหลียนฮวาเป็นความผูกพันทางจิตวิญญาณ สายเลือด สตรีที่อ่อนโยน งดงาม บริสุทธิ์ราวกับน้ำค้างในยามเช้าอันแสนบริสุทธิ์ สตรีที่เข้มแข็งทั้งที่ในใจของนางแทบพังทลาย บิดาโฉดชั่วแม้ให้เกียรติมารดาตามสมควร แต่แท้จริงก็ทำร้ายนางจนใจเจ็บช้ำไปหมด ข้าต้องเห็นนางร้องไห้ทุกค่ำคืน ข้าชิงชังเขายิ่งนัก และเพราะวิญญาณของข้าเป็นวิญญาณผู้ใหญ่ ข้าจึงมีนิสัยพูดน้อยจนแทบไม่พูด ยิ่งข้าได้รับสืบทอดความงามจากมารดา ข้าก็ยิ่งไม่ชอบ ผิวของข้าขาวราวกับหิมะ ทั้งที่ข้ามักตากแดดตลอดทั้งวันก็ยังไม่เปลี่ยนสี ใบหน้าของข้างดงาม ดวงตากลมโตหวานซึ้ง ยิ่งมองก็ยิ่งน่าโมโห …ข้าไม่เหลือความห้าวหาญโหดเหี้ยมเลยสักนิด
ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวนั้นย่ำแย่ ท่านแม่ทัพโม่ต้องออกศึกทำสงครามบ่อยครั้ง ปีหนึ่งจะเจอหน้าของเขาได้ไม่กี่วัน แต่ละวันที่กลับเมืองหลวงมาก็คลุกอยู่แต่กับอนุและบุตรชายบุตรสาวคนโปรดจนแทบไม่เหลือเวลาให้ท่านแม่ของข้า นางเอาแต่เฝ้ารอเขา ทำงานดูแลภายในจวนทุกอย่าง ส่วนอนุกับบุตรทั้งสองกลับใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แม้นางจะไม่สร้างปัญหา แต่กับบุตรทั้งสองนั้นสร้างปัญหาให้แก่ข้าอย่างมาก พวกนั้นจะชอบมาก่อกวนยามที่ข้ากำลังตั้งสมาธิ กลิ่นอายปราณเซียนยังหลงเหลือในโลกมนุษย์ แต่เบาบางเป็นอย่างยิ่ง อดีตข้าใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ ข้าก็ดึงพลังปราณเซียนเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว แต่นี่ไม่เหมือนกัน เพราะความเบาบาง และไม่ใช่หุบเขาเหวนรก ทำให้ข้าต้องใช้สมาธิมากกว่านั้นมาก
“พี่หญิง ท่านทำอะไร” น้องชายที่ข้ากำลังนึกถึงอย่างโม่เหว่ยเฉิงก็โผล่มาพร้อมกระบี่ไม้ เขาเป็นทายาทคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ฝึกกระบี่ วรยุทธ์ การต่อสู้ ข้าเป็นสตรีก็มักถูกเคี่ยวเข็ญให้เรียนตามขนอบธรรมเนียมของสตรี แต่เพราะข้าเป็นบุตรสาวแสนรักของมารดา ทำให้ข้าสามารถอ้อนวอนที่จะแอบหนีเรียนออกมาทำสมาธิดึงพลังปราณเซียนได้
“แล้วเจ้าเห็นไหมว่าข้าทำอะไร” ข้าไม่ชอบมารดาพวกเขา ย่อมไม่ชอบพวกเขาเช่นกัน แต่น้องชายผู้นี้นิสัยเถรตรง ไม่เจ้าเล่ห์ ทั้งยังสอดรู้สอดเห็นตามประสาเด็ก พยายามอยากจะสนิทกับนางนัก แต่ตรงกันข้ามกับโม่ซินอ้าย นังเด็กปีศาจนั่นชอบหาเรื่องให้ข้าโมโห สุดท้ายก็ใส่ร้ายว่าข้ากลั่นแกล้งนางเป็นประจำ ข้าจำได้ว่าข้าเคยถูกเจ้าแม่ทัพโม่บิดาโง่นั่นดุจนหูข้าแทบแตก แม่ของข้าร้องไห้อย่างน่าเวทนา ข้าจึงไม่ยอมพูดคุยกับเขาอีก
“พี่สาว ท่านยังโกรธพวกข้าอยู่หรือ ท่านอย่าโกรธข้าเลย เรื่องคราวนั้นพี่สาวของข้าไม่ได้ตั้งใจหรอก” โม่เหว่ยเฉิงกล่าว เขาชอบพี่สาวคนโตมากที่สุด นางสุขุม เยือกเย็น และมักจะสงบนิ่งเกินอายุ เขาเคยเอากระบี่ฟาดพี่สาวด้วยความไม่ทันระวัง แต่นางกลับใช้เพียงฝ่ามือเดียวจัดการเขาจนล้มหงายได้ …พี่สาวเก่งที่สุด
“ข้าไม่อยากยุ่งกับพวกเจ้า ออกไป” ข้าตวาดใส่เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ แม้ข้าและพวกเขาจะเกิดวันเดียวกัน เวลาห่างกันไม่นาน แต่ข้าไม่นับว่าพวกเขาเป็นน้องของข้า เพราะข้ามีมารดาเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนเจ้าโง่นั่นข้าไม่นับมันเป็นบิดาเด็ดขาด
“ทำไมต้องตวาดน้องเจ้าเสียงดังเช่นนี้” แม่ทัพโม่ที่ได้ยินเสียงบุตรสาวคนโตตวาดบุตรชาย เขายืนฟังนานแล้วก็อดสงสารไม่ได้ที่บุตรชายพยายามเข้าหาพี่สาว แต่นางกลับไม่ยินดี และตวาดใส่อย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ แต่กลับมีนิสัยอารมณ์โมโหร้าย นางไม่ได้ร้ายเพียงแต่กลับน้องเท่านั้น แต่กับบิดาก็เช่นกัน
“แล้วทำไมท่านต้องตวาดข้า” ข้าลุกขึ้นยืนมองหน้าเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ข้าไม่เคยหวาดกลัวเขา และไม่เคยเรียกขานเขาว่าบิดา ข้ารู้ว่าเขาไม่พอใจข้า แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรข้า เหนือหัวข้ามีมารดา เหนือหัวมารดาข้ามีท่านตา
“แม่เจ้าไม่สั่งสอนหรืออย่างไร เวลาพูดกับบิดาต้องพูดเช่นไร” แม่ทัพโม่มองบุตรสาวคนโตด้วยความโมโห มารดาของนางเป็นสตรีอ่อนแอ อ่อนหวาน ทั้งยังอ่อนโยน เป็นดั่งดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมบริสุทธิ์ นุ่มนิ่มที่ไม่มีพิษมีภัย แต่บุตรสาวที่ถอดแบบความงามของมารดามาแทบทั้งหมด เป็นดั่งเทพธิดาตัวน้อยกลับไม่เคยดีกับบิดาแม้แต่น้อย ตั้งแต่นางเกิดมา จะเรียกขานเขาบิดา หรือท่านพ่อสักคำก็ไม่มี หากนางไม่ใช่บุตรสาวของเขา เขาคงลงโทษนางสถานหนักไปแล้ว
“แล้วแม่ท่านไม่สอนหรืออย่างไรว่าควรพูดจากับบุตรสาวเช่นไร” ข้าตอบเขาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ แม่ทัพโม่ขบกรามแน่นด้วยความโมโห เขาตรงเข้ามาหวังจะกระชากร่างน้อยของโม่เฟยหรง คราแรกนางคิดจะหลบเขา เพราะแรงของบุรุษใหญ่โตเช่นนี้ นางที่ยังเยาว์วัยเพียงหกขวบคงไม่อาจต่อสู้ หรือทนต่อความเจ็บปวดได้ แต่เมื่อหางตาของนางเห็นชายกระโปรงสีเขียวอ่อนของมารดา ข้าจึงไม่ยอมหลบ และยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น แม่ทัพโม่ที่เห็นแววตาเช่นนี้ของบุตรสาวก็พลันตกใจ เขาหยุดไม่ทัน เขาคว้าร่างของนางก่อนจะเหวี่ยงจนล้มลงกับพื้น
“ว๊ายยยยย” จ้าวเหลียนฮวาที่กำลังถืออาหารว่างที่ทำ เตรียมมาให้บุตรสาวร้องตกใจจนทิ้งถาดอาหารในมือ ก่อนจะวิ่งมาคว้าร่างบุตรสาวที่ล้มกระแทกไปกับพื้น น้ำตาของนางร่วงเผาะด้วยความตกใจกลัว นางหันไปมองสามีด้วยแววตาตัดพ้อก่อนจะหันมามองเนื้อตัวบุตรสาวเพื่อดูร่องรอยบาดแผล “เจ็บมากไหมลูก ฮึกก” จ้าวเหลียนฮวาร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ น้อยใจ ผสมปนเปกันไปหมด โม่เฟยหรงเห็นมารดาร้องไห้ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นบาปหนายิ่งนักที่ทำให้มารดามีน้ำตาได้