“ว๊ายยยยย” จ้าวเหลียนฮวาที่กำลังถืออาหารว่างที่ทำ เตรียมมาให้บุตรสาวร้องตกใจจนทิ้งถาดอาหารในมือ ก่อนจะวิ่งมาคว้าร่างบุตรสาวที่ล้มกระแทกไปกับพื้น น้ำตาของนางร่วงเผาะด้วยความตกใจกลัว นางหันไปมองสามีด้วยแววตาตัดพ้อก่อนจะหันมามองเนื้อตัวบุตรสาวเพื่อดูร่องรอยบาดแผล “เจ็บมากไหมลูก ฮึกก” จ้าวเหลียนฮวาร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ น้อยใจ ผสมปนเปกันไปหมด โม่เฟยหรงเห็นมารดาร้องไห้ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นบาปหนายิ่งนักที่ทำให้มารดามีน้ำตาได้
“ข้าไม่เจ็บ ท่านแม่อย่าร้องไห้” โม่เฟยหรงกล่าวออกมา พร้อมกับเอามือที่เลอะสกปรกหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเอง ก่อนจะนำมาซับน้ำตามารดา หากว่าบุตรสาวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด นางคงไม่เสียใจ เท่ากับบุตรสาวไม่มีน้ำตาสักหยด นางหันไปมองแม่ทัพโม่ผู้เป็นสามีด้วยความเสียใจ
“ท่านพี่ ท่านโกรธเกลียดอะไรนาง เหตุใดต้องลงมือลงไม้ด้วย” จ้าวเหลียนฮวาถามสามีทั้งน้ำตา ความน้อยใจของนางมีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด นางรู้ว่าเขารักอนุไป๋ นางก็ยอมให้เขาแต่งอนุเข้ามาตั้งแต่ยังไม่ครบปีที่นางแต่งงานเข้ามา อนุไป๋มีบุตร นางก็ยินยอมให้พวกเขามีชีวิตที่ดี ทั้งที่นางทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว แต่เขากลับยังใจร้ายกับนางและลูกเสมอ
“ขะ ข้า ข้าขอโทษ ฮวาเอ๋อร์” ท่านแม่ทัพโม่กล่าว สำหรับเขา เขามักจะรู้สึกผิดกับนางเสมอ จ้าวเหลียนฮวาเป็นสตรีที่ดีงามทั้งกายใจ นางไม่เคยสร้างความลำบากใจ หรือปัญหาให้เขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็กภายในจวน นางล้วนจัดการได้อย่างดีเยี่ยม เป็นฮูหยินที่มีเกียรติของเขา แต่เพราะเขาไม่ได้รักนาง ทำให้เขามักรู้สึกผิดกับนางเสมอ
“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงต้องทนขนาดนี้ด้วยเจ้าคะ” ข้าถามท่านแม่ที่ยังนั่งน้ำตาไหล แต่กำลังทายารักษารอยช้ำที่แขนของข้าอยู่ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดท่านแม่จะต้องมีน้ำอดน้ำทนขนาดนี้ด้วย บิดาโฉดชั่วชัดเจนแล้วว่าจะมีทายาทเป็นโม่เหว่ยเฉิง มารดาก็คงไม่มีบุตรชายเป็นที่พึ่งพาได้อีก
“เจ้ายังเด็ก ยังไม่เข้าใจหรอก” จ้าวเหลียนฮวาบอกบุตรสาวของตนเอง บุตรสาวตัวน้อยเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนาง จ้าวเหลียนฮวาทราบดีว่าภายใต้ความงดงามนุ่มนิ่มแสนน่ารัก บุตรสาวของนางแทบจะถอดแบบความห้าวหาญของท่านตาของนางมาหมด ทำไมนางจะไม่เห็นวีรกรรมสุดแสบของบุตรสาว แต่เพราะนางเห็นว่าบุตรสาวแท้จริงแค่ไม่ชอบการเรียนในแบบของสตรีเท่านั้น จึงได้บ่ายเบี่ยงไม่ยอมเรียน
“ข้าไม่เข้าใจ เพราะข้าไม่อยากเห็นท่านแม่ร้องไห้ ในชีวิตของข้ามีแต่ท่าน ข้าอยากให้ท่านมีความสุข” ข้ากล่าวก่อนจะลงจากตั่งที่นั่งก่อนจะเดินจากไป จ้าวเหลียนฮวาที่ได้ยินคำพูดบุตรสาวก็น้ำตาซึมออกมา สาวใช้ที่ได้ยินคุณหนูกล่าวก็เห็นด้วยไม่ต่างกัน ฮูหยินของนางเติบโตมาจากครอบครัวที่ดี แต่ไฉนกลับต้องมาแต่งให้กับบุรุษเช่นนี้ด้วย
“ฮูหยิน ท่านจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ” สาวใช้อย่างเจินเจินถามฮูหยินของตนเอง นางรับใช้มาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ ฮูหยินของนางเป็นดั่งแก้วตาดวงใจแม่ทัพจ้าว ชีวิตที่ควรจะดีไม่น่าจะต้องมาเป็นเช่นนี้เลย
“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไรเจินเจิน ข้าแต่งงานไปแล้ว ข้าเป็นฮูหยินสกุลโม่แล้ว ข้าจะทำอย่างอื่นได้อย่างไร” จ้าวเหลียนฮวากล่าว นางชอกช้ำระทมใจขนาดไหน ไม่มีใครรู้ดีกว่านางอีกแล้ว นางคิดมาตลอดว่าคนที่คิดดีทำดีเช่นนาง สักวันหนึ่งก็ต้องชนะใจของแม่ทัพโม่ได้บ้าง แต่เวลาก็ผ่านมาถึงเจ็ดปีแล้วนางก็ไม่เคยจะชนะไป๋หลินซูผู้นั้นได้เลย
“คุณหนู ท่านจะปล่อยให้ฮูหยินเป็นเช่นนี้หรือเจ้าคะ” เสี่ยวซานถาม โม่เฟยหรงได้แต่ถอนหายใจ นางจะไปทำอะไรได้ อายุก็เพียงห้าขวบปี จะทุบหัวบิดาลากมานอนเรือนมารดาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม่ทัพโม่ตัวเท่าควายยักษ์ มารดาก็อ่อนแอปวกเปียกไม่สู้คน ไม่มีจริตมารยา ไม่ใช่ว่าแบบนี้ไม่ดี แต่มันก็ไม่ถูกใจบุรุษเสมอไป ไป๋หลินซูผู้นั้นงดงามเย้ายวนใจ อกเอวล้นเสื้อผ้าแทบจะไหลไปกองกับพื้น ยามย่างก้าวแต่ละครั้งทรวงอกกระเพื่อมสั่นไหว ขนาดนางเป็นสตรียังอดมองไม่ได้ แล้วแม่ทัพที่อยู่กับกองทัพ มีแต่บุรุษตัวเหม็นตลอดเวลาจะไม่ชอบสตรีเจนจัดได้อย่างไร ระบายอารมณ์ใคร่ปรารถนาได้ดีกว่าสตรีเรียบร้อยที่ต้องมานั่งคอยทะนุถนอม
“แล้วจะให้ข้าทำอะไร เจ้าทำอะไรได้หรือยังไง” โม่เฟยหรงถามเสี่ยวซาน นางเป็นสาวรับใช้ตัวน้อยที่อายุมากกว่านางเพียงสองปี ก็แค่เด็กเจ็ดขวบจะไปทำอะไรได้
“โถ่… คุณหนูของข้า”
“ไปทำอะไรก็ไป ข้าอยากทำสมาธิ” โม่เฟยหรงกล่าว เสี่ยวซานที่คอยดูแลคุณหนูน้อยมาตั้งแต่ห้าขวบย่อมเข้าใจดีว่าคุณหนูมักจะชอบทำสมาธิเสมอตั้งแต่เยาว์วัย แต่ความจริงแล้วโม่เฟยหรงต้องการรวบรวมพลังปราณเซียน และต้องการฝึกสมาธิและลมหายใจของตนเอง และในยามนอนนางมักจะลุกขึ้นมาฝึกกระบวนท่าวิชาเคลื่อนเจ็ดดารา วิชาศักดิ์สิทธิ์แห่งหุบเหวนรก
เวลาผ่านไปนานหลายปีจนกระทั่งข้าโม่เฟยหรงอายุสิบขวบปี เรื่องราวภายในจวนก็ดั่งบทละครหนึ่ง ท่านแม่ทัพโม่ที่ไม่ต้องอยู่กองทัพได้อยู่บ้านมากขึ้น สตรีที่มีรสเลิศอย่างไป๋หลินซูก็เริ่มน่าเบื่อ ต่างจากจ้าวเหลียนฮวาที่เป็นดั่งสายลมอบอุ่น อยู่แล้วสบายใจ บุตรสาวตัวน้อยที่นับวันพันปีไม่เคยร้องขอสิ่งใด กลับอยากเรียนฝึกยุทธ์ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่เพราะโม่เฟยหรงไม่เคยร้องขอสิ่งใดมาก่อน นางพูดกับเขาที่เป็นบิดานับคำได้ ทั้งยังไม่ยอมเรียกขานเขาว่าบิดา กลับเอ่ยมาครั้งหนึ่งให้เขาชื่นใจ
“หรงเอ๋อร์ ไม่ร้อนหรือลูก” จ้าวเหลียนฮวาถามบุตรสาวที่กำลังร่ายรำกระบี่อย่างงดงามที่กลางสวน แม่ทัพโม่ที่กำลังนั่งมองบุตรสาวด้วยความพอใจ บุตรชายของเขาร่ำเรียนกระบี่มาตั้งแต่วัยเยาว์ยังเทียบไม่ได้กับบุตรสาวที่เรียนรู้กระบี่เพียงไม่ถึงอาทิตย์ แต่กลับคล่องแคล่วถึงขนาดนี้ …นางมีพรสวรรค์และสายเลือดนักรบโดยแท้
“ลูกสาวคนนี้ไม่กลัวร้อนหรอก ดูเอาเถอะ ความสามารถของนางช่างยอดเยี่ยม” แม่ทัพโม่กล่าว เขาอยู่ที่เรือนของไป๋หลินซูก็จะได้ความรู้สึกไปอีกแบบ บุตรสาวอย่างโม่ซินอ้ายขี้อ้อนช่างเอาใจเหมือนมารดาของนาง ส่วนบุตรชายแม้ไม่ได้ความมากมาย แต่ก็ช่างพูด ต่างจากเรือนหลัก จ้าวเหลียนฮวามันไม่เซ้าซี้หรือพูดอะไรมาก นางมักถามความต้องการของเขาเป็นที่ตั้ง ส่วนบุตรสาวพูดนับคำได้ แต่เป็นคนจริงจัง และฉลาดเฉลียวเกินวัย เป็นความสบายใจที่แตกต่างกัน และเพราะอายุก็เริ่มมากขึ้นแล้ว การได้อยู่กับจ้าวเหลียนฮวานั้นถือว่าสบายใจกว่ามาก
“มาพักก่อนเถอะลูก” จ้าวเหลียนฮวากล่าว โม่เฟยหรงยอมลดกระบี่ในมือก่อนจะส่งให้สาวใช้ แล้วเดินเข้ามาหามารดา นางในวัยสิบขวบปี ความสัมพันธ์กับบิดาก็เริ่มดีขึ้นบ้าง เพราะบิดานั้นไม่ทำร้ายจิตใจมารดาเหมือนในอดีต ทั้งยังดีต่อมารดาของนางมากกว่าเดิม
“ท่านแม่ข้าอยากดื่มเหล้าท้อ” โม่เฟยหรงกล่าวความต้องการของตนเอง จ้าวเหลียนฮวาย่อมส่ายหน้า เหล้านี้นางเอาไว้ให้ท่านพี่ทาน บุตรสาวยังเยาว์ ทั้งยังเป็นสตรีจะมาดื่มเหล้าเช่นนี้ไม่เหมาะ
“ไม่ได้”
“ท่านพ่อข้าอยากดื่ม”
“พ่อให้เจ้าดื่มสองจอกเท่านั้น” แม่ทัพโม่กล่าว จ้าวเหลียนฮวาหันมามองค้อนเขา นางเป็นเช่นนี้ก็งดงามน่าดูชม บุตรสาวตัวแสบ ไม่ยอมเรียกขานท่านพ่อ ยกเว้นนางจะร้องขอสิ่งใดเท่านั้น ช่างเป็นเด็กร้ายกาจ เขาเองก็อยากได้ยินเสียงหวานของบุตรสาวเรียกขาน จึงไม่อยากขัดใจให้นางเคืองโกรธ เพราะบุตรสาวคนนี้ง้อยากยิ่งกว่าสตรีใดในโลก
“ขอบคุณท่านพ่อ” โม่เฟยหรงกล่าว นางรีบยกเหล้าดอกท้อกรอกเข้าปากทันที จ้าวเหลียนฮวาตกใจผวาจะคว้าโถเหล้า แต่บุตรสาวตัวดีนั้นว่องไวกว่ามาก นางขโมยโถเหล้าดอกท้อก่อนจะวิ่งหายไปทันที
“หรงเอ๋อร์ พ่อเจ้าให้ดื่มแค่สองจอกนะลูก” จ้าวเหลียนฮวาพยายามร้องบอกลูกสาว แต่ลูกสาวคนนี้ดื้อด้านนัก นางไม่สนใจเสียงเรียกของมารดาเลยแม้แต่น้อย “ท่านพี่เหตุใดตามใจนางเช่นนี้เจ้าคะ นางเป็นสตรี ทั้งยังเป็นบุตรสาวคนโตด้วย”
“นางเป็นลูกหลานแม่ทัพ จะให้นางแก่นหน่อยจะเป็นอะไรไป เช่นนี้ก็น่ารักดีออก หน้าตาผิวพรรณงดงามเหมือนเจ้า แต่นิสัยตรงกันข้ามกับเจ้าทุกอย่าง” แม่ทัพโม่กล่าวด้วยความเอ็นดู มารดาเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ แต่บุตรสาวกลับมีนิสัยเหมือนบุรุษไม่มีผิด
“แต่งานบ้านงานเรือน อะไรที่สตรีควรเรียนรู้ นางกลับทำไม่ได้สักอย่าง”
“ถ้าจับกระบี่ได้ก็ออกรบได้ จะต้องเรียนไปทำไม งานบ้านงานเรือน บ่าวมีเต็มจวน”
“ท่านพี่ บุตรสาวเป็นลูกสาวนะเจ้าคะ วันหน้าก็ต้องแต่งงาน ข้ากลัวว่านางจะลำบาก” จ้าวเหลียนฮวากล่าวด้วยความเป็นห่วง ท่านแม่ทัพโม่ก็เข้าใจที่ฮูหยินของตนเป็นห่วง ชีวิตของนางก็มีเพียงแค่บุตรสาวคนเดียว เขาเคยคิดมาตลอดว่าจะมีบุตรแค่สามคน มีโม่เหว่ยเฉิงเป็นทายาทสืบทอด แต่พอเห็นฮูหยินของตนเองในมุมนี้ก็พลันเข้าใจความลำบากของนาง อนาคตนางจะมีที่พึ่งพาได้อย่างไรหากไม่มีบุตรชาย
“เช่นนั้นเรามีบุตรอีกสักคนดีหรือไม่ วันหน้าเจ้าและหรงเอ๋อร์จะได้พึ่งพาเขาได้” ท่านแม่ทัพโม่กล่าว จ้าวเหลียนฮวาตัวชาวาบ นางไม่เคยคิดว่าเขาจะพูดเช่นนี้ ไม่ว่าใครในจวนก็ทราบดีว่าแม่ทัพโม่ตั้งใจว่าจะให้โม่เหว่ยเฉิงเป็นทายาทสืบทอดของเขา
“แต่ท่านพี่…”
“ข้าขอโทษที่เมื่อก่อนข้าไม่ทันคิด ข้าเป็นห่วงแต่ผู้อื่นจนหลงลืมว่าเจ้ากับหรงเอ๋อร์เองก็ลำบากไม่น้อยเหมือนกัน” แม่ทัพโม่กล่าว เพราะเขาในยามนั้นยังเป็นเพียงบุรุษหนุ่มวัยเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้น แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปหลายปี เขาเริ่มรู้อะไรควรไม่ควร ที่ผ่านมาจ้าวเหลียนฮวาเป็นฮูหยินที่ดีมาโดยตลอด นางไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย แม้ว่าเขาจะทำไม่ถูกต้อง
“ข้าไม่คิดว่าท่านจะเห็นใจข้าบ้างเช่นนี้เลย” จ้าวเหลียนฮวาร้องไห้น้ำตาซึม นางไม่กล้าแม้แต่จะสะอึกสะอื้นส่งเสียงให้เขารำคาญใจ แม่ทัพโม่มองนางก็อดเอ็นดูไม่ได้ แม้กาลเวลาจะผ่านมาสิบปีแล้ว แต่นางก็ยังคงงดงามเหมือนวันวานที่เขาแต่งงานกับนางดังเดิมเสมอ
“อย่าร้องไห้อีกเลย” แม่ทัพโม่ดึงร่างของฮูหยินมานั่งบนตักก่อนจะโอบกอดนาง จ้าวเหลียนฮวาตกใจจนหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย นางพยายามที่จะลงจากตักของท่านแม่ทัพ อายุก็ไม่น้อย บุตรสาวก็โตแล้ว บ่าวไพร่เต็มไปหมด แต่ท่านแม่ทัพกลับหัวเราะชอบใจที่ได้หอมแก้มนุ่มนิ่มของฮูหยินผู้เขินอายของตน ส่วนบ่าวไพร่ก็รีบหันหน้าหนีไม่รับรู้ แต่เรือนทั้งเรือนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ยกเว้นโม่ซินอ้ายที่ยืนแอบดูด้วยความคับแค้นใจ
“ฮือออ ท่านแม่ ท่านแม่” โม่ซินอ้ายวิ่งกลับเรือนของตนเองทั้งน้ำตา อนุไป๋หลินซูตระหนกตกใจที่เห็นบุตรสาววิ่งมาหาทั้งน้ำตา โม่ซินอ้ายเป็นบุตรสาวดั่งแก้วตาดวงใจของนาง เห็นบุตรสาวร้องไห้เสียใจคนเป็นแม่ย่อมเสียใจไม่ต่างกัน
“เป็นอะไรไปอ้ายเอ๋อร์ของแม่ เจ้าร้องไห้ทำไม ใครแกล้งเจ้ากัน”
“ฮึกก ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมท่านพ่อถึงไปรักแม่ใหญ่ กับพี่สาวด้วย” โม่ซินอ้ายกล่าว ไป๋หลินซูรู้สึกหน้าชา นางเคยเป็นภรรยาแสนรักของสามี แต่เวลาผ่านไปความรักมันก็จืดจางลง ไม่ว่านางจะสรรหาอะไรมาสร้างบรรยากาศรัก แต่มันก็ไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย นางก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี แต่อย่างน้อยแม่ทัพโม่ไม่ลืมนาง กับลูกก็น่าจะพอแล้ว ฮูหยินเอกผู้นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับนาง และลูกทั้งสองเลย
“พ่อเจ้าแค่ไปเยี่ยมพวกเขาเท่านั้น เจ้าก็รู้ธรรมเนียมนี่อ้ายเอ๋อร์”
“ท่านแม่ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องเป็นอนุ ทำไมข้าต้องเป็นลูกสาวอนุด้วย ฮืออ ข้าเห็นท่านพ่อกอดแม่ใหญ่ หอมแม่ใหญ่ หอมแม่ใหญ่ต่อหน้าบ่าวไพร่เต็มไปหมดเลย ฮึกกก” โม่ซินอ้ายกล่าวด้วยความอิจฉาและคับแค้นใจ ในอดีตบิดามักจะให้เวลามารดาของนางเสมอ ทั้งยังเอาอกเอาใจนางเป็นอย่างดี แต่พอเวลาผ่านไปท่านพ่อก็เปลี่ยนไป จากที่เคยมาบ่อยก็มาน้อยลง จากที่เคยให้เวลากับนางกับท่านแม่ก็น้อยลงไปอีก แต่กลับอยู่เรือนใหญ่มากกว่าเดิม ทำไมทุกอย่างถึงได้แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้
“เจ้าอย่าน้อยใจไปเลยอ้ายเอ๋อร์ ท่านพ่อรักเจ้ามากนัก”
“ไม่จริง ท่านพ่อมอบกระบี่ให้พี่สาว ทั้งยังสอนกระบี่ให้พี่สาวด้วย” โม่ซินอ้ายกล่าว เรื่องนี้ไป๋หลินซูไม่เห็นด้วย บุตรสาวภรรยาเอกผู้นั้นชอบจับดาบจับอาวุธเป็นที่สุด ทั้งนางยังมีกริยาแปลกประหลาดไม่เหมือนลูกผู้ดี สตรีในห้องหอแม้แต่น้อย ทั้งที่แม่ของนางพร่ำสอน แต่กลับไม่ได้ความเป็นอย่างยิ่ง และเพราะเป็นแบบนี้นางจึงเห็นดีเห็นงามที่โม่เฟยหรงจะมีกริยาเช่นนั้น บุตรสาวของนางจึงจะได้โดดเด่นกว่า
“เพราะพี่สาวเจ้าชอบอาวุธ น้องชายเจ้าก็ได้เหมือนกัน”
“ท่านแม่ใจเย็นไปเถอะ ฮึกก.. ถ้าแม่ใหญ่มีน้องชายอีกคนเมื่อไหร่ ข้าและท่านและน้องชายก็จะถูกลืม” โม่ซินอ้ายกล่าวก่อนจะเดินกลับเรือนพักของตนเองไป ทิ้งให้มารดายืนมองบุตรสาวที่เดินกระทืบเท้าเสียงดังจากไป นางมีดวงตาแข็งกร้าวก่อนจะขยำกระโปรงด้วยความโมโห ใช่ว่านางจะไม่รู้สึกรู้สาที่ท่านแม่ทัพเปลี่ยนไป แต่นางจะทำอะไรได้กัน นางที่เคยสงบเสงี่ยมไม่เคยสร้างปัญหา หรือจะกล้าสร้างเรื่องเรียกร้องความสนใจ กว่านางจะทำให้แม่ทัพโม่รักได้ก็ใช้เวลานานหลายปี นางต้องทนซื่อสัตย์รอเขากลับจากสนามรบด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ทนมองเห็นเขาแต่งงานกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ทนมองเขาเข้าหอกับสตรีอื่นที่ไม่ใช่นาง ทนยอมให้ตัวเองเดินเข้าประตูเล็กหลังจวน ยอมให้ตัวเองคุกเข่าคารวะน้ำชาภรรยาเอก นางพยายามขนาดไหนกว่าจะปีนป่ายมาถึงตรงนี้ คิดว่านางไม่แค้นใจหรือที่ต้องทนเห็นบุตรของตนเองเป็นเพียงบุตรอนุ นางแค้นเรื่องนี้มากกว่าใครทั้งสิ้น และนางก็จะไม่ยอมให้บุตรชายของนางต้องชวดจากการเป็นทายาทสืบทอดตระกูลโม่โดยเด็ดขาด ความรักไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ทายาทสกุลโม่ต้องเป็นของโม่เหว่ยเฉิงเท่านั้น