03

2744 Words
“ท่านแม่ใจเย็นไปเถอะ ฮึกก.. ถ้าแม่ใหญ่มีน้องชายอีกคนเมื่อไหร่ ข้าและท่านและน้องชายก็จะถูกลืม” โม่ซินอ้ายกล่าวก่อนจะเดินกลับเรือนพักของตนเองไป ทิ้งให้มารดายืนมองบุตรสาวที่เดินกระทืบเท้าเสียงดังจากไป นางมีดวงตาแข็งกร้าวก่อนจะขยำกระโปรงด้วยความโมโห ใช่ว่านางจะไม่รู้สึกรู้สาที่ท่านแม่ทัพเปลี่ยนไป แต่นางจะทำอะไรได้กัน นางที่เคยสงบเสงี่ยมไม่เคยสร้างปัญหา หรือจะกล้าสร้างเรื่องเรียกร้องความสนใจ กว่านางจะทำให้แม่ทัพโม่รักได้ก็ใช้เวลานานหลายปี นางต้องทนซื่อสัตย์รอเขากลับจากสนามรบด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ทนมองเห็นเขาแต่งงานกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ทนมองเขาเข้าหอกับสตรีอื่นที่ไม่ใช่นาง ทนยอมให้ตัวเองเดินเข้าประตูเล็กหลังจวน ยอมให้ตัวเองคุกเข่าคารวะน้ำชาภรรยาเอก นางพยายามขนาดไหนกว่าจะปีนป่ายมาถึงตรงนี้ คิดว่านางไม่แค้นใจหรือที่ต้องทนเห็นบุตรของตนเองเป็นเพียงบุตรอนุ นางแค้นเรื่องนี้มากกว่าใครทั้งสิ้น และนางก็จะไม่ยอมให้บุตรชายของนางต้องชวดจากการเป็นทายาทสืบทอดตระกูลโม่โดยเด็ดขาด ความรักไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ทายาทสกุลโม่ต้องเป็นของโม่เหว่ยเฉิงเท่านั้น วันเวลาก็ผ่านไปความสัมพันธ์ภายในเรือนใหญ่นั้นดีขึ้นมากกว่าเดิมนัก แม่ทัพโม่กลายเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้กับบุตรสาว ส่วนบุตรชายคนเล็กอย่างโม่เหว่ยเฉิงก็ชอบมานั่งดูพี่สาวคนโตและบิดาต่อสู้กัน โดยมีแม่ใหญ่คอยทำขนมแสนอร่อยให้เขาทาน “เหว่ยเฉิง เจ้าอยากฝึกกระบี่กับพี่สาวเจ้า ทำไมไม่ไปขอนางเล่า” จ้าวเหลียนฮวาถามโม่เหว่ยเฉิงบุตรชายสามีที่เกิดจากอนุ โม่เหว่ยเฉิงเป็นเด็กซุกซนทั้งยังมีนิสัยที่ไม่ได้แย่นัก เขามักจะชอบมาตามติดพี่สาวอย่างโม่เฟยหรง แต่หรงเอ๋อร์ของนางนั้นขี้รำคาญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าใครนางก็ล้วนรำคาญไปหมด แม้กระทั่งแม่ทัพโม่ ระยะหลังเพราะตามใจบุตรสาวอย่างมาก ไม่ว่านางจะขออะไร ทำอะไร แม่ทัพโม่ไม่เคยขัด ความสัมพันธ์บิดากับบุตรสาวจึงดีขึ้นมาก “พี่สาวไม่ชอบข้า” “นางไม่ใช่ไม่ชอบเจ้า” “แต่นางชอบรำคาญข้านี่แม่ใหญ่” “นางก็รำคาญทุกคน” จ้าวเหลียนฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน โม่เหว่ยเฉิงนั่งกินขนมที่แม่ใหญ่ทำ คราแรกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพักหลังบิดาถึงเริ่มให้ความสำคัญกับเรือนใหญ่นัก ทั้งยังใช้เวลาอยู่ที่นี่นาน เขาเห็นแม่ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก แม่ใหญ่ไม่เหมือนฮูหยินบ้านอื่นที่มักดุดัน หรือกดขี่ ใจร้ายกับลูกอนุ แม่ใหญ่ใจดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง กิริยาท่าทางอ่อนโยน แตกต่างจากพี่สาวเป็นอย่างยิ่ง รายนั้นไม่พอใจก็วิ่งไล่ฟาดคนอื่นตั้งแต่เด็ก แม่ใหญ่ชอบทำขนม ทั้งยังพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ไม่เคยสั่งสอน หรือพูดจาร้ายกาจเหมือนแม่เล็กสักนิด เขานั้นชอบที่จะมาอยู่ที่นี่ ไม่เพียงใกล้ชิดท่านพ่อ ยังได้ใกล้ชิดพี่สาวโดยที่ไม่ถูกนางไล่ตบ ไล่ตีเหมือนหมูเหมือนหมาด้วยความรำคาญ “แม่ใหญ่ ท่านทำอาหารอร่อยทุกอย่าง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพักนี้ท่านพ่ออ้วนนัก” โม่เหว่ยเฉิงกล่าว จ้าวเหลียนฮวาหัวเราะ ท่านแม่ทัพมักจะเปลือยอกต่อสู้กับโม่เฟยหรงเสมอ เมื่อก่อนก็มีกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นมัดแน่น แต่ตอนนี้กลับเริ่มลงพุงเป็นตาแก่ แม้แต่โม่เหว่ยเฉิงยังอดทักท้วงขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าเจ้าชอบก็กินเยอะๆ เจ้าเป็นเด็กผู้ชาย วัยกำลังโต ต้องกินให้มาก” จ้าวเหลียนฮวากล่าว นางเห็นโม่เหว่ยเฉิง ในใจของนางก็รู้สึกเหมือนเป็นบาดแผลอย่างหนึ่ง นางที่ไม่อาจมีบุตรชายได้ ไม่ใช่เพราะร่างกายของนางไม่พร้อม แต่เพราะแม่ทัพโม่ไม่ต้องการให้นางมี ความรักของเขาและไป๋หลินซูเป็นรักแท้ แม้วันนี้เขาจะอยู่กับนางเสียมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าใจของเขาจะรักนางอย่างที่รักไป๋หลินซู “ขอรับ” “ไอ้เด็กอ้วน มาแย่งอาหารของข้า” โม่เฟยหรงโวยวายก่อนจะถีบน้องชายจนล้มกลิ้งคะมำไปกับพื้น แม่ทัพโม่ไม่ได้เคืองโกรธอะไร เพราะบุตรสาวคนนี้ไม่เหมือนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย นางเก่งการต่อสู้จับกระบี่เกินวัย ตัวของนางเล็กเพียงเท่านี้แต่สามารถรับกระบี่จากแรงของเขาได้ เขาเคยคิดถึงขั้นว่านี่อาจไม่ใช่บุตรสาว ไม่ใช่เด็กสาว แต่มองอีกทีนางก็ตัวเล็กเท่านี้ นางอาจจะมีพรสวรรค์โดยกำเนิด เพราะท่านตาของนางก็เป็นแม่ทัพ ตระกูลบรรพบุรุษฝ่ายมารดาก็เป็นแม่ทัพมาทุกยุค ความสามารถจึงปรากฏทางสายเลือด “หรงเอ๋อร์ เจ้าอย่าแตะน้องแบบนั้นอีก ไม่ดีเลยนะลูก” “ไอ้หมูตอนแย่งอาหารข้า” “เหตุใดจึงเป็นคนเช่นนี้นะ” จ้าวเหลียนฮวาถอนหายใจ แต่ไม่ทันไรบุรุษร่างโตก็เข้ามานั่งใกล้ชิดนาง ก่อนจะหอมแก้มนางต่อหน้าบุตรทั้งสอง นางได้แต่เขินอายหน้าแดงก่ำ คนหยาบช้า เหตุใดไม่รู้จักอับอายด้วย ต่อหน้าบุตรทั้งสอง แต่พอมองบุตรสาวนางก็ไม่ได้เมียงมองมา แต่โม่เหว่ยเฉิงกลับมองด้วยรอยยิ้ม จ้าวเหลียนฮวาอับอายนางจึงได้รีบหนีกลับเรือนไป “ท่านพ่อขอรับ ท่านช่างเป็นคนเปิดเผยยิ่งนัก” โม่เหว่ยเฉิงเอ่ย เขาเห็นบิดาทำเช่นนี้บ่อยครั้งกับมารดาของตนเองบ่อยครั้ง แต่ท่านแม่ของเขามีจริตของสตรีที่แสนยั่วยวนก็ไม่แปลกที่ท่านพ่อจะพึงพอใจ แต่ต่างจากแม่ใหญ่ แม่ใหญ่ไม่ค่อยมีจริตยั่วยวนแบบสตรี แต่เป็นสตรีที่งดงามอ่อนโยน เขารู้สึกอิจฉาท่านพ่อยิ่งนักที่โชคดีมีภรรยาสวยงาม ทั้งยังอยู่อย่างสุขสงบภายในจวน “น่าเกลียด อุบาทว์ หน้าไม่อายมากกว่า” โม่เฟยหรงกล่าว แต่ลึกภายในใจนางก็ยินดีที่ได้เห็นท่านแม่ของนางมีความสุข ในอดีตนางก็มีครอบครัวเหมือนกัน บิดารักมารดา ผู้คนในหุบเขาเหวนรกรักกันแบบภรรยาเดียว ไม่มีเอกอนุ ทำให้ครอบครัวนั้นมีความสุขมากกว่านี้ แต่พอมาโม่เฟยหรง นางก็ได้เรียนรู้สังคม วัฒนธรรมที่แปลกไป แต่นั่นก็เพราะว่าบุรุษเป็นใหญ่ กดข่มสตรีจนแทบไม่มีที่ยืนในสังคม เอกกวีนักปราชญ์ไม่มีสตรีสักคน “เมื่อไหร่เจ้าจะอ่อนหวานเหมือนน้องสาวเจ้าบ้าง หรงเอ๋อร์” “อยากได้บุตรสาวอ่อนหวานก็ไปหาบุตรสาวที่อ่อนหวานสิ มาบังคับข้าทำไม” “เจ้านี่นะ” แม่ทัพโม่ได้แต่ถอนหายใจ บุตรสาวคนนี้ราวกับเติบโตมาในกองทัพ ท่าทางคำพูดของนางแข็งยิ่งนัก ยิ่งพูดกับเขายิ่งไม่มีความอ่อนหวานเสียเท่าไหร่ แต่หากพูดกับมารดาของนางก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ตลอดเวลาผ่านไปสองเดือน ท่านแม่ทัพโม่ก็ยังเอาแต่อยู่เรือนใหญ่เป็นหลัก ทั้งยังเอาแต่เสน่หาฮูหยินเอกของตนราวกับต้องมนตรา หลายครั้งโม่เฟยหรงยังอดคิดไม่ได้ว่ามารดาทำอะไร ทำไมบิดาถึงได้หลงไม่เลิกเช่นนี้ แต่เพราะนางเองก็เคยได้ยินพวกสาวใช้นินทาเรือนเล็กอยู่บ้าง ไป๋หลินซูเป็นสตรีที่มาจากชนชั้นต่ำ ไม่ใช่บุตรสาวขุนนาง นางมักร้องขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ ชอบพูดจาเหน็บแนม หรือกระทำตนที่ไม่เคยเหมาะสมนัก ทำให้แม่ทัพโม่เบื่อหน่าย “ท่านแม่ ถ้าเราปล่อยไว้เช่นนี้ แม่ใหญ่ก็จะต้องตั้งครรภ์ได้นะเจ้าคะ แล้วเช่นนี้เฉิงเอ๋อร์ของพวกเราล่ะเจ้าคะ" โม่ซินอ้ายกล่าวกับมารดาของนางด้วยความคับแค้นใจ นางมักจะเห็นบิดากลับจากงานที่กองทัพก็ตรงไปที่เรือนใหญ่ หลายครั้งนางเห็นบิดาต่อสู้กับพี่สาว ได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของน้องชายที่ยังไปอยู่กับพวกเรือนใหญ่ คิดแล้วมันช่างน่าน้อยใจนัก “แล้วเจ้าจะให้แม่ทำอย่างไร ให้ไปโวยวายหรือ อ้ายเอ๋อร์ แม่เก็บตัวเงียบในจวน ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้พ่อเจ้า ฮูหยินใหญ่ เจ้าคิดว่าแม่ไปเรียกร้องแล้วจะได้อะไร” ไป๋หลินซูกล่าว นางเป็นเพียงสาวชาวบ้าน ที่ได้เข้าจวนนี้ก็เพราะความรักอันลึกซึ้งกับแม่ทัพโม่ หากนางเป็นสตรีเจ้าอารมณ์ ช่างริษยาจนเกินไป ชีวิตนางจะดีได้อย่างไร ทุกวันนี้ฐานะของนางมั่นคงก็เพราะโม่เหว่ยเฉิง “แล้วท่านคิดจะปล่อยให้แม่ใหญ่ได้ทุกอย่างหรือเจ้าคะ ท่านไม่สนใจอนาคตของเหว่ยเฉิง และข้าบ้างหรือ” “ทำไมข้าจะไม่สนใจ ข้าไม่ปล่อยให้นางตั้งครรภ์ได้หรอก เจ้าเองก็เถอะ หัดเก็บอาการ ควบคุมอารมณ์ ความคิดของตนเองบ้าง” “แล้วทำไมท่านถึงยังนิ่งอยู่ได้เช่นนี้” “ก็เพราะว่าข้ายังไม่มีจังหวะน่ะสิ บิดาเจ้าไม่ใช่คนโง่ หากข้าไม่มีความสามารถก็คงไม่กดนังจ้าวเหลียนฮวาได้มาหลายปีหรอก เจ้าเองก็เถอะ อย่าได้ทำตัวโง่เปิดเผยตัวเองโดยเด็ดขาด หากตีสนิทพี่สาวเจ้าได้ก็จงไปทำดีกับนาง หัดทำตัวให้มันกลมกลืนบ้าง” ไป๋หลินซูกล่าวกับบุตรสาวโง่งมของตัวเอง เพราะชีวิตของนางผ่านอะไรมาเยอะ จึงเรียนรู้มาได้ว่านางควรอยู่อย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไรให้ปลอดภัย แต่โม่ซินอ้ายนั้นไม่เหมือนกัน นางเกิดและเติบโตมาอย่างสุขสบาย ยิ่งจ้าวเหลียนฮวาใจดีต่อบุตรอนุ ยิ่งทำให้นางไม่รู้จักความลำบาก และไม่รู้จักเก็บอารมณ์ “เจ้าค่ะ ท่านแม่” “เจ้าเป็นลูกของแม่ และเจ้าก็เป็นคนฉลาด อย่าทำให้แม่ผิดหวัง ยิ่งนางเฟยหรงมันมีนิสัยต่ำทราม เจ้าก็ต้องทำให้นางดูเป็นนางเด็กต่ำทรามเข้าใจไหม” ไป๋หลินซูกล่าว นางยังถือไพ่เหนือกว่าจ้าวเหลียนฮวาหลายขุม ไม่ว่าจะมีบุตรสาวที่ดี บุตรชายที่แม่ทัพโม่รัก นางจะด้อยกว่าจ้าวเหลียนฮวาตรงไหน ก็แค่ชาติกำเนิดเท่านั้น “พี่สาวเจ้าคะ ข้าเล่นกับพวกท่านด้วยได้หรือไม่” โม่ซินอ้ายยืนกล่าวกับพี่สาวด้วยท่าทีขอร้อง โม่เฟยหรงมองเด็กสาวคนนี้ด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่ อายุเพียงเท่านี้แต่กลับเริ่มเสแสร้งเป็นแล้ว ทั้งนิสัยยังร้ายกาจเกินไป นางไม่ค่อยอยากยุ่งด้วย แต่แม่ของนางนั่งอยู่จึงไม่อยากแสดงออกมากนัก “เล่นอะไร เจ้าจับกระบี่เป็นด้วยหรือ” “ขะ ข้า” “ไปให้พ้น อย่ามาที่นี่อีก” โม่เฟยหรงกล่าว โม่เหว่ยเฉิงเห็นใจพี่สาวของตนอยู่บ้าง แต่ที่นี่ก็ไม่เหมาะให้นางมาเล่นด้วย พี่สาวโม่เฟยหรงนั้นเล่นแรงเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเขายังแทบจะช้ำไปทั้งตัว หากไม่ใช่กระบี่ไม้ก็คงมีแต่รอยแผลเป็นแน่ โม่ซินอ้ายเป็นสตรีบอบบาง แค่ยกกระบี่ไม้ยังไม่น่าจะไหวด้วยซ้ำ “พี่สาวข้าเพียงอยากมาอยู่กับพวกท่าน ข้าไม่มีเพื่อนสักคน” โม่ซินอ้ายกล่าวด้วยท่าทางน่าสงสาร จ้าวเหลียนฮวามองมาทางเด็กสาวก็นึกสงสาร โม่เฟยหรงเป็นคนเด็ดขาดอย่างยิ่ง บางทีถ้านางบอกว่าไม่ก็คือไม่จริงๆ “ซินอ้าย เจ้าคงเล่นกระบี่กับพี่สาวน้องชายเจ้าไม่ได้หรอก มานั่งช่วยข้าปักผ้าก็ได้มา” จ้าวเหลียนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โม่ซินอ้ายยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ไฉนนางจะไม่ยินดี แม่ใหญ่เป็นสตรีชนชั้นสูง กิริยามารยาทสูงส่ง ทั้งงานบ้านงานเรือนถือเป็นเอกแบบที่มารดาของนางไม่มีทางเทียบได้ นางย่อมต้องรู้สึกดีใจหากว่าแม่ใหญ่จะยอมสั่งสอนนาง “แม่ใหญ่จะสอนข้าหรือเจ้าคะ” “หากว่าเจ้าอยากเรียน ข้าก็จะสอนเจ้าเอง” จ้าวเหลียนฮวากล่าว นางไม่ได้ไม่ชอบลูกอนุ ที่ตระกูลจ้าวบิดามีฮูหยินเอกมารดาของนางหนึ่งคน อนุหนึ่งคน พวกนางสองคนอยู่กันอย่างปรองดอง อนุรู้หน้าที่อยู่ในส่วนของตน ท่านแม่ของนางก็มีเมตตา เหล่าพี่ชายไม่ว่าจะเกิดจากเอกหรืออนุก็มีหน้าที่ตำแหน่งในกองทัพด้วยความสามารถของตนเองทั้งสิ้น ไม่ถือเรื่องชาติกำเนิดเลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นข้าฝากตัวเป็นศิษย์แม่ใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ” โม่ซินอ้ายพื้นฐานเป็นเด็กสาวมีนิสัยขี้อ้อน ทุกคำพูดของนาง ท่าทางของนางจะแฝงไว้ด้วยกริยาชวนเอ็นดูอยู่หลายส่วน การที่จ้าวเหลียนฮวาเห็นและจะเอ็นดูนางก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร โม่เฟยหรงที่เห็นเช่นนั้นนางก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่างน้อยมารดาของนางจะได้ไม่มาบีบบังคับให้นางปักผ้าพวกนั้น ให้โม่ซินอ้ายเรียนรู้ไปนั่นแหละดีแล้ว เวลาผ่านไปในจวนตระกูลโม่เป็นเวลาหลายเดือน โม่ซินอ้ายมักจะมาขลุกอยู่กับจ้าวเหลียนฮวา แม้จะเป็นบุตรสาวอนุ แต่จ้าวเหลียนฮวากลับเป็นแม่ใหญ่ที่ใจดี และมีความเท่าเทียมกับบุตรทุกคน จนหลายครั้งโม่ซินอ้ายก็อดคิดไม่ได้ว่า เพราะแม่ใหญ่เป็นคนดีมีจิตใจเมตตาเช่นนี้ ท่านพ่อถึงได้รู้สึกดีกับแม่ใหญ่นัก “แม่ใหญ่เจ้าคะ ข้าปักลายดอกมู่ตานสวยหรือไม่เจ้าคะ” โม่ซินอ้ายกล่าวก่อนจะยื่นผ้าปักของนางให้แม่ใหญ่ดู จ้าวเหลียนฮวามองโม่ซินอ้ายด้วยความพอใจ เด็กคนนี้เรียนเก่งหัวไวคล่องแคล่ว ทุกวันนางมักจะรีบมาหานางแต่เช้า เพื่อเรียนรู้งานปัก และทุกครั้งที่ปักนางก็มักจะนั่งปักอยู่ข้างสนามประลองกระบี่ของโม่เฟยหรง และโม่เหว่ยเฉิง “ปักได้ดีมาก แต่เจ้าต้องระวังฝีเข็ม อย่าได้ปักซ้อนทับกัน งานพวกนี้เป็นงานละเอียด ต้องใจเย็นกว่านี้” จ้าวเหลียนฮวากล่าว ไม่นานก็ปรากฏร่างบุรุษผู้เป็นเจ้านายของจวน เขากลับมาจากงานในกองทัพ ภาพที่เห็นแล้วชวนต้องอบอุ่นใจทุกครั้ง บุตรชายบุตรสาวประลองดาบกันกลางลาน บางครั้งโม่เฟยหรงก็หลับตาทำสมาธิของนาง ส่วนข้างสนามก็มักจะปรากฏสตรีงดงามที่กำลังนั่งสอนปักผ้าบุตรสาวอีกคนของเขาด้วยความเมตตา “ท่านพ่อกลับมาแล้ว” โม่ซินอ้ายลุกขึ้นคารวะบิดาด้วยท่าทางเรียบร้อยน่ารัก จ้าวเหลียนฮวาหันไปยิ้ม ก่อนจะเรียกท่านพี่เบาๆ แม่ทัพได้แต่ยิ้มก่อนจะนั่งลงข้างจ้าวเหลียนฮวา และโม่ซินอ้าย “วันนี้ลูกปักผ้าลายอะไรหืม” “ลายดอกมู่ตานเจ้าค่ะ” “พวกเจ้าไปบอกให้คุณหนูใหญ่ กับคุณชายพวกเจ้าพักได้แล้ว” ท่านแม่ทัพกล่าว เขาลืมประโยคที่บุตรสาวเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ ผ้าปักลายดอกมู่ตานกลายเป็นสิ่งที่บิดาไม่ถาม แม่ใหญ่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่หันไปมองโม่เฟยหรง โม่ซินอ้ายมองโม่เฟยหรงด้วยความอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเด็กสาวที่ชอบจับกระบี่ผู้หนึ่ง แต่นางก็ได้รับการถ่ายทอดทางสายเลือดเป็นความงาม จ้าวเหลียนฮวางามอย่างไร โม่เฟยหรงก็งามไม่ต่างกัน ทั้งนางมักจะได้รับคำชื่นชมจากบิดาตลอด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD