04

2845 Words
“อาทิตย์หน้าพ่อจะพาเจ้าสองคนไปขี่ม้า” แม่ทัพโม่กล่าวกับบุตรสาวและบุตรชาย พวกเขาโตพอที่จะเรียนรู้การขี่ม้าแล้ว โม่เหว่ยเฉิงย่อมดีใจเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างจากโม่เฟยหรงที่นางไม่ได้รู้สึกอะไร ตอนนี้พลังปราณเซียนในร่างกายของนางเยอะมากพอแล้วสำหรับร่างมนุษย์วัยเยาว์ พละกำลังของนางแทบจะมากกว่าแม่ทัพโม่ด้วยซ้ำ ยิ่งนางฝึกความแข็งแกร่งให้กับร่างกายทุกวัน ยิ่งทำให้วรยุทธ์ของนางสูงมากขึ้น “ดีเลยขอรับท่านพ่อ ข้าขอม้าตัวโตนะขอรับ” โม่เหว่ยเฉิงกล่าวด้วยความยินดีก่อนจะหันไปหาพี่สาวอย่างโม่เฟยหรง แต่พี่สาวกลับยืนนิ่งอยู่หน้ามารดาให้แม่ใหญ่เช็ดหน้าเช็ดตา “พี่สาวทำไมท่านขี้เกียจเช่นนี้” “ก็แล้วเจ้าจะทำไม ข้าจะขี้เกียจแล้วเจ้าจะทำไม” “เพ้ย… ท่านนี่ช่างไม่อ่อนโยนเลยสักนิด เห็นพี่สาวข้าหรือไม่ นางทั้งอ่อนหวาน เก่งงานบ้านงานเรือน” โม่เหว่ยเฉิงกล่าว เขาเพิ่งจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่เคยเอาชนะพี่สาวคนนี้ได้เลย นางเก่งกาจจนสามารถต่อสู้เล่นสนุกกับบิดาได้ แตกต่างจากเขาที่ไม่สามารถทำได้ “แล้วข้าใช่นางหรือไม่ ข้าไม่ชอบทำงานพวกนี้ ผ้าจะปักทำไม ขายตามตลาดเต็มไปหมด งานบ้านก็ไม่เห็นต้องเรียนรู้ บ่าวไพร่มีอยู่เต็มจวนไปหมด โง่หรือเปล่า” โม่เฟยหรงกล่าว นางไม่ชอบการถูกเปรียบเทียบมากที่สุด อีกทั้งเรื่องนี้ก็ถือเป็นปมหนึ่งอย่างที่ตั้งแต่นางเกิดมาเป็นคุณหนูตระกูลโม่ นางก็ไม่สามารถทำได้ แม้นางจะมีสมาธิมาก แต่เพราะอคติในใจ ทำให้นางไม่สามารถมานั่งทำเรื่องพวกนี้ได้ อีกทั้งเป้าหมายในชีวิตนี้ของนางก็ยิ่งใหญ่มากกว่านี้นัก “อย่าดูถูกงานพวกนี้สิหรงเอ๋อร์ เจ้าจะเอาน้องสาวเจ้าไปเทียบกับผ้าปักชาวบ้านได้อย่างไร” จ้าวเหลียนฮวากล่าวตำหนิบุตรสาวเล็กน้อย นางเองก็เข้าใจความหมายของบุตรสาวของนางอยู่บ้าง แต่ว่าเรื่องนี้นางก็พูดตรงเกินไป “ขะ ข้าจะพยายามปักให้งามกว่านี้เจ้าค่ะ” โม่ซินอ้ายหน้าเศร้า นางบอกโม่เฟยหรง แต่รายนั้นไม่ได้สนใจ ท่านแม่ทัพรู้ว่าบุตรสาวคนโตเป็นคนเถรตรง ทั้งไม่ค่อยนึกถึงจิตใจของใครเท่าไหร่ ตัวเขาไม่คิดมากกับคำพูดของนาง แต่โม่ซินอ้ายก็เป็นดั่งดวงใจของเขา เห็นนางเศร้าเสียใจก็พลันสงสาร จึงได้ลูบศีรษะของนางด้วยความเอ็นดู “เจ้าเก่งมากแล้วอ้ายเอ๋อร์ของพ่อ” แม่ทัพโม่กล่าว โม่เฟยหรงมองการกระทำของบิดาด้วยความรู้สึกหลากหลาย นางรู้สึกอิจฉาริษยาโม่ซินอ้ายไม่น้อย แต่นางก็แข็งเกินกว่าจะยอมลดตัวลงไปทำท่าทางอ่อนหวาน น่าสงสารเช่นนั้น เมื่อในอดีตนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว นางจึงได้รับความรักทั้งจากบิดาและมารดา และจากคนรอบข้าง ไม่เคยสักครั้งที่นางจะต้องมารู้สึกเช่นนี้ …การโดนแย่งความรัก ค่ำวันนั้นทั้งห้าคนก็นั่งทานอาหารกันอย่างมีความสุขตามประสา ท่านแม่ทัพโม่เมื่อมองทุกคนก็รู้สึกคิดถึงไป๋หลินซู เขาไม่ได้ไปหานางนานมากแล้วก็เกรงว่านางคงจะต้องน้อยอกน้อยใจเป็นแน่ แต่ละวันบุตรสาวบุตรชายของนางก็มาอยู่ที่เรือนหลัก ปล่อยให้มารดาของพวกเขาต้องโดดเดี่ยวอยู่ที่เรือน “ท่านพี่” จ้าวเหลียนฮวากำลังจะพูดเรื่องที่บิดาของนาง และพี่ชายของนางที่กำลังจะเข้าเมืองหลวงมา แต่แม่ทัพโม่ก็ยกมือขึ้นทำท่าห้ามปราม เขาคิดว่านางจะพูดให้เขาไปพักที่เรือนของนางตามปกติ "คืนนี้ข้าจะไปค้างที่เรือนโหย่วอี้" แม่ทัพโม่กล่าวเสร็จก็เดินจากไปทันทีท่ามกลางความมืด จ้าวเหลียนฮวาที่ได้ครอบครองความรักจากสามีมาหลายเดือนก็อดยิ้มอย่างเศร้าใจไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นเช่นเดิม นางไม่อาจเทียบไป๋หลินซูได้เลย ภายในใจของสามียังคงมีอนุนางนี้ตลอดมา “ท่านแม่มายืนตากน้ำค้างอะไรตรงนี้” โม่เฟยหรงกล่าว ความจริงนางมาที่เรือนของมารดา เพื่อจะสอบถามว่านางจะต้องทำตัวเช่นไรเมื่อได้พบท่านตา และท่านลุงทั้งหลาย แต่เพราะภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้นางไม่กล้าเดินเข้ามาหาท่านแม่คนงามของนาง “อืม… หรงเอ๋อร์มาหาแม่เวลานี้มีอะไรหรือลูก” “อ๋อ… ข้าแค่อยากรู้ว่าท่านตา และท่านลุงมีนิสัยอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ เผื่อข้าผู้เป็นหลานจะได้ทำตัวถูกเจ้าค่ะ" โม่เฟยหรงกล่าว จ้าวเหลียนฮวารีบเก็บสีหน้าก่อนจะมองไปทางบุตรสาวที่กำลังยืนมอง ยามที่นางทอดสายตามองบุตรสาว เด็กคนนี้รู้ความมากกว่าที่คิดมาตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว นางย่อมมองออกมาว่าตอนนี้แม่ของนางกำลังรู้สึกเช่นไร “เข้ามาคุยกันในห้องเถอะลูกมา” จ้าวเหลียนฮวากล่าว โม่เฟยหรงก็เข้าใจ นางคิดแล้วว่าคืนนี้นางจะนอนกับท่านแม่ เป็นเพื่อนคุยให้ท่านแม่คลายเหงา ความจริงนางก็ไม่เข้าใจวิถีชีวิตของสตรีที่ต้องทนเฝ้ารอบุรุษเลย “เช่นนั้นคืนนี้ข้านอนกับท่านแม่แล้วกัน” โม่เฟยหรงกล่าว จ้าวเหลียนฮวายิ้มก่อนจะไปนั่งหน้ากระจกเพื่อให้เจินเจินสาวรับใช้คนสนิทของนางถอดเครื่องประดับ และแก้มัดผมให้ ต่างจากโม่เฟยหรงที่สามารถนอนได้เลย เพราะนางทำทุกอย่างที่ควรทำมาก่อนแล้ว “ท่านตาเป็นคนเช่นไรบ้างเจ้าคะ” โม่เฟยหรงที่นอนข้างมารดาถามด้วยความอยากรู้ ตั้งแต่นางเกิดและเติบโตยังไม่เคยพบท่านตาผู้นี้เลย นางพอจะทราบมาอยู่บ้างว่าท่านตาเป็นแม่ทัพใหญ่ตะวันตกของแคว้นเสวี่ย มีทหารสังกัดในกองทัพหลักแสนนาย เป็นกำลังทหารที่สำคัญต่อฮ่องเต้ตั้งแต่ต้นรัชกาลราชวงศ์เซี่ยจนมาถึงปัจจุบัน “ท่านตาเจ้าเป็นบุรุษที่สุขุมนุ่มนวล เป็นผู้มีสติปัญญาดี เป็นทั้งทหาร เป็นทั้งกุนซือ รู้จักพูด ไม่ดุดันอย่างทหารทั่วไปนัก แต่ท่านยายของเจ้าบอกว่าท่านตาเจ้านั้นร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง แม่เองก็ไม่รู้เรื่องการศึก กลยุทธ์อะไรนัก แต่เท่าที่แม่เห็น ท่านตาของเจ้าเป็นพ่อที่ใจดีที่สุด” จ้าวเหลียนฮวากล่าวพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต ตัวนางเป็นบุตรสาวแสนรักคนเดียวในจวนตระกูลจ้าว แม้จะอยู่ชายแดน ไม่มีสิ่งใดเจริญหูเจริญตาเท่าเมืองหลวง แต่ที่นั่นกลับอบอุ่น เต็มไปด้วยความรักของครอบครัว แม่ใหญ่ แม่เล็กรักนางทั้งคู่ พี่ชายทุกคนก็รักนางประหนึ่งแก้วตาดวงใจ “แล้วท่านตารู้สึกอย่างไรเจ้าคะที่ท่านแม่แต่งงานมาเมืองหลวง” โม่เฟยหรงกล่าว ด้วยนิสัยเช่นนี้ของมารดา คนเช่นนี้มักจะเกิดในครอบครัวที่ดี และอบอุ่น ตัวนางในอดีตก็ไม่ต่างกัน แม้จะถูกกล่าวขานว่าเป็นนางมารร้าย แต่เนื้อแท้ของนางก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร นางแค่แบ่งแยกดีชั่วชัดเจน และปฏิบัติตามกฎอย่างเข้มงวด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันไปทั้งสามโลก “เจ้าจะอยากรู้ไปทำไมหื้ม…” จ้าวเหลียนฮวากล่าว นางไม่อยากตอบเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายไม่น้อย หากบุตรสาวต้องมารู้เรื่องในด้านที่ไม่ค่อยจะดีของมารดานัก “ให้ข้าทายไหมว่าท่านชอบท่านพ่อเลยยอมที่จะมาเมืองหลวง” โม่เฟยหรงกล่าว นางพอจะรู้เรื่องจากผู้อื่นอยู่บ้าง และนางก็รู้ว่าท่านแม่นั้นรักท่านพ่อ ถึงได้ยอมมาอยู่กับญาติตระกูลหม่า ญาติทางฝั่งมารดา หรือท่านยายของนางนั่นเอง “เจ้าไปรู้จากใครมาล่ะ” จ้าวเหลียนฮวากล่าวอย่างรู้ทัน บุตรสาวคนนี้ขนาดเลี่ยงจะไม่ตอบแล้ว นางยังหาเรื่องในพูดเรื่องนี้จนได้ จ้าวเหลียนฮวาถอนหายใจก่อนจะยอมเล่าแต่โดยดี “ตอนนั้นพ่อเจ้าไปเป็นทหารกองหนุนที่เมืองสุ่ยโจว เมืองชายแดนที่ท่านตา และแม่อยู่นั่นแหละ ตอนนั้นแม่ได้พบเขาครั้งแรก ทั้งสง่างาม หล่อเหลา องอาจ และยังมีน้ำใจเป็นอย่างมาก แค่เพียงแรกเห็นแม่ก็รู้สึกชอบพ่อเจ้ายิ่งนัก” จ้าวเหลียนฮวากล่าว แม้มันจะเป็นเรื่องน่าอับอายไม่น้อยที่จะต้องมาเล่าให้บุตรสาวฟัง “อืม… ท่านคงเห็นแค่ภายนอกจริงๆ นั่นแหละ” “เจ้านี่นะ… จะไม่ว่าพ่อเจ้าสักครั้งไม่ได้หรือ” “เขาก็ไม่เลว แต่เขาทำท่านเสียใจ ข้าเป็นลูกของท่านแม่ ข้าก็ต้องรู้สึกไม่ชอบเป็นธรรมดา” โม่เฟยหรงกล่าว บิดาเป็นเหมือนของไป๋หลินซู นางยังจดจำภาพเรื่องราวในอดีตก่อนหน้าได้ไม่ลืม ภาพที่ทุกคนไปรอเขากลับมาที่หน้าจวน แต่ทันทีที่เขาลงจากรถม้า ก็ทำเหมือนมองไม่เห็นมารดาของนาง เข้าไปกอดไป๋หลินซู ทั้งยังอุ้มโม่ซินอ้าย กับโม่เหว่ยเฉิงที่แขนทั้งสองข้าง ก่อนจะพากันกับเรือนโหย่วอี้ ความหมายของเรือนนี้ก็แปลว่ามีมากกว่า เห็นได้ชัดว่าภายในใจของเขามีแต่คนเรือนเล็กเท่านั้น “เพราะแม่เองนั่นแหละที่ดึงดันอยากแต่งงานกับพ่อของเจ้า ไม่ใช่ความผิดของพ่อเจ้าหรอก” จ้าวเหลียนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า ในอดีตนางเดินทางมาถึงเมืองหลวงด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น เพราะฐานะของนางก็ไม่ได้ด้อยกว่าคุณหนูในเมืองหลวงเลย นางเป็นบุตรสาวของหม่าเสี่ยนอี้ และแม่ทัพจ้าวหลง มารดาของนางเป็นคุณหนูที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แต่สุดท้ายกลับได้พบว่าแม่ทัพโม่นั้นมีใจรักกับสตรีนางหนึ่งที่เป็นเพียงสตรีชาวบ้านธรรมดา ความรักของคนทั้งคู่ถูกพูดถึงอย่างมากในเมืองหลวง ตระกูลโม่ไม่มีฮูหยินผู้เฒ่า และนายผู้เฒ่า ทำให้โม่ชุนเฉิงทำตามอำเภอใจด้วยการรักกับไป๋หลินซู แต่เพราะเขาเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ชั้นสูง แม้จะทำตามอำเภอใจได้ แต่ฮ่องเต้กลับไม่คิดเช่นนั้น ในตอนนั้นเพราะได้ข่าวจากหม่าเฉิงเว่ย ท่านลุงของจ้าวเหลียนฮวาว่าหลานสาวมีใจให้กับโม่ชุนเฉิง สมรสพระราชทานจึงถูกกำหนดขึ้นทันที หลังจากโม่ชุนเฉิงกลับมาจากสงครามปราบชนเผ่าทางใต้ “เพราะแม่แย่งพ่อเจ้ามาจากไป๋หลินซู การที่เขาไม่รักแม่ก็ช่างเถอะ แต่พ่อเจ้าก็รักเจ้านะ” “แต่น้อยกว่าโม่ซินอ้าย โม่เหว่ยเฉิง” โม่เฟยหรงกล่าว จ้าวเหลียนฮวาสะอึกทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ภาพในอดีตมากมายที่เขามักจะมีความสุขกับเรือนเล็ก และทิ้งนางกับลูกที่เรือนใหญ่ สำหรับจ้าวเหลียนฮวา เพราะบุตรสาวมีนิสัยเงียบ เรียบร้อย จึงไม่มีปัญหาในการดำเนินชีวิต แต่ได้ยินเช่นนี้แล้วนางก็อดเสียใจไม่ได้ “ช่างเถอะท่านแม่ ชีวิตของข้ามีท่าน และชีวิตของท่านก็มีข้า อย่าไปสนใจเรื่องอื่นเลย” โม่เฟยหรงที่รู้ว่านางทำท่านแม่เสียใจก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “อืม นอนกันเถอะลูก แม่รักลูกนะ” “ข้าก็รักท่านแม่” โม่เฟยหรงกล่าว แม้ชีวิตนี้ของนางจะขมขื่นไปสักหน่อย แต่นางก็มีท่านแม่ที่งดงามแสนดี ทั้งยังเกิดมาในตระกูลใหญ่มีข้าทาสบริวารมากมาย ไม่ต้องทำงาน หรือตกระกำลำบาก ทั้งยังมีเวลาฝึกวิชาอยู่มาก โม่เฟยหรงที่ยามหลับ ร่างกายของนางจะเข้าสู่ภาวะจำศีล ลมปราณในกายของนางจะเคลื่อนอย่างเป็นธรรมชาติ และดูดซับพลังปราณเซียนที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ บรรยากาศยามเช้าโม่เฟยหรงที่ตื่นหลังมารดา นางตื่นมาล้างหน้าล้างตาก็เห็นโจ๊กหมูของมารดาที่ทำไว้รอนาง โม่เฟยหรงรีบวิ่งมานั่งประจำที่ของตนเอง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานด้วยความเอร็ดอร่อย อาหารของท่านแม่นั้นดีที่สุดแล้ว “ท่านแม่วันนี้ข้าขอไปนั่งสมาธิคนเดียวในห้องพระนะเจ้าคะ” โม่เฟยหรงกล่าว นางเคืองใจไม่น้อย ไม่อยากเห็นหน้าโม่เหว่ยเฉิง โม่ซินอ้าย นางไม่ใช่นางเซียนใจดีอะไร ยิ่งมาอยู่ในร่างเด็กเช่นนี้ ความรู้สึกอารมณ์ของนางยังไม่มั่นคง ทำให้ใจไม่อาจสงบได้ดีนัก “ทำไมล่ะหื้ม” “ข้าไม่อยากเจอใครเจ้าค่ะ ท่านก็รู้” “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ แม่เองก็อยากจะพักเหมือนกัน” จ้าวเหลียนฮวากล่าว หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ โม่เฟยหรงก็เข้าไปในห้องพระเพื่อทำสมาธิ ร่างกายของนางฝึกได้ทั้งสองทาง แต่ตอนนี้ทางเลือกฝึกทางปราณเซียนเป็นหลัก เพราะนางเป็นเพียงเด็กน้อย อารมณ์นิวรณ์ทั้งหลายไม่คงที่ หากฝึกปราณมาร นางอาจจะควบคุมร่างกายได้ไม่ดีนัก เพล้งงงง “ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ” เจินเจินรีบวิ่งเข้ามาหาจ้าวเหลียนฮวาที่เดินอยู่ก็ล้มหน้ามืดไปปัดถ้วยน้ำชาจนล้มลงไปกับพื้น จ้าวเหลียนฮวาเอามือปิดตาของตนเอง เพราะนางรู้สึกว่ามันพร่ามัวชวนเวียนหัวจนมองอะไรไม่เห็นเลย “ขะ ข้าไม่เป็นอะไรเจินเจิน” “เช่นนั้นฮูหยินไปนอนพักที่เตียงก่อนเจ้าคะ เดี๋ยวข้านำเครื่องหอมแก้เวียนหัวมาให้ท่านเอง” เจินเจินกล่าวก่อนประคองฮูหยินของนางไปที่ตั่งเตียง จัดท่าทางให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบออกไปหาเครื่องหอมด้านนอก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แม่ทัพโม่ชุนเฉิงนั้นกลับมาเรือนใหญ่พอดี แม้ว่าเขาจะค้างทั้งคืนที่เรือนเล็ก แต่ก็อดคิดถึงคนที่เรือนใหญ่ไม่ได้ บรรยากาศเงียบเหงาอย่างที่ไม่ปกติ เขาจึงได้เดินมาที่เรือนพักของจ้าวเหลียนฮวาก่อนจะพบนางนอนอยู่บนเตียง “ฮวาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป” แม่ทัพโม่ถาม เขาเห็นนางนอนเอามือปิดตาอยู่ก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ จ้าวเหลียนฮวาลดมือลงก่อนจะมองท่านแม่ทัพโม่ ในความรู้สึกของนางตอนนี้ไม่มีความน้อยใจอะไร นอกจากความเวียนหัวจนลืมไปหมดสิ้น “ข้าเวียนหัวเจ้าค่ะ ไม่รู้ทำไม เมื่อครู่ก็รู้สึกมืดจนเป็นลมล้มลงไป” “แล้วคนอื่นไปไหนหมด เจินเจินเล่า ทำไมปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวเช่นนี้” “นางไปหาเครื่องหอมมาให้ข้าเจ้าค่ะ ไม่ได้ทิ้งข้า” “เครื่องหอมแก้เวียนหัวมันจะไปพออะไร อาคุนเจ้าไปตามท่านหมอมา” ท่านแม่ทัพโม่กล่าวกับอาคุน ข้ารับใช้คนสนิท เขารับคำสั่งเจ้านายของตน ก่อนจะออกไปสั่งให้ข้ารับใช้คนอื่นไปตามท่านหมอมา ไม่นานก็ปรากฏร่างของท่านหมอที่มาพร้อมกับเครื่องมือแพทย์ “ท่านหมอเชิญขอรับ” แม่ทัพโม่กล่าวกับท่านหมออย่างสุภาพ ท่านหมอค้อมศีรษะเล็กน้อยให้ท่านแม่ทัพโม่ “ฮูหยินอาการของท่านเป็นเช่นไรบ้างขอรับ" “ข้ารู้สึกเวียนหัว เหมือนทุกอย่างมันวูบดับไป แต่ยังรู้สึกตัวเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นข้าขออนุญาตตรวจชีพจรของท่านหน่อยขอรับ” ท่านหมอกล่าว จ้าวเหลียนฮวายื่นมือมาให้ท่านหมอ ผ้าขาวบางถูกวางบนข้อมือ เพื่อไม่ให้ชายหญิงถูกเนื้อต้องตัวกันตามธรรมเนียม ก่อนท่านหมอจะตรวจจุดชีพจรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทุกคนในห้องจึงพาลเครียดตาม “เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” “สบายใจได้เลยขอรับแม่ทัพโม่ ข้าน้อยขอแสดงความยินดีด้วย ฮูหยินตั้งครรภ์ได้เดือนกว่าแล้วขอรับ” ท่านหมอกล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี การมีบุตรเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดอยู่แล้วสำหรับทุกบ้าน โดยเฉพาะหากฮูหยินเอกตั้งครรภ์เมื่อไหร่ จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไปอีก แม่ทัพโม่มีบุตรชายแล้วก็จริง แต่เป็นเพียงบุตรชายของอนุเท่านั้น จะมาเทียบเทียมบุตรชายจากฮูหยินเอกได้อย่างไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD