ตอนที่ 10 องครักษ์รูปงาม

2680 Words
พลบค่ำท้องฟ้าแจ่มใส ปราศจากเงาเมฆฝน ดวงจันทร์ฉายแสงบนท้องนภา พร่างพราวด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ กลุ่มของเซียวชงอวี้ ได้เข้าพักอาศัยชั่วคราวที่หมู่บ้านข้างทาง เป็นทางผ่านกลับเมืองชายแดน พวกเขาไม่ย้อนกลับเข้าเมืองเป่าติ้ง เพียงรีบกลับค่ายทหารประจำชายแดนเหนือ เหมือนมีงานสำคัญเร่งด่วนรอช้าไม่ได้ ตอนแรกพวกเขาปรึกษากันว่า จะส่งหลิวซีกลับเมืองเป่าติ้ง แต่เหมือนไม่มีประโยชน์อันใด ในเมื่อจุดหมายปลายทางของนางคือค่ายทหารเช่นเดียวกัน เพียงส่งนกพิราบส่งข่าวเรื่องนางปลอดภัยดี แจ้งรองแม่ทัพเจียงให้ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อเดินทางพร้อมกันกับคนทั้งหมด จะได้คุ้มครองดูแลหลิวซีไม่ให้เกิดอันตรายอย่างที่ผ่านมา มิหนำซ้ำนางยังเป็นหมอช่วยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บให้เซียวชงอวี้ได้อีกด้วย บ้านดินหลังคามุงหญ้าคา ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างคล้ายดวงดาราสุกสกาว เมื่อมองจากระยะไกล หลิวซีกำลังใส่ยาทำแผลให้เซียวชงอวี้ นางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดเขาเมื่อช่วงกลางวัน เข้าใจดีว่าหวังดีไม่อยากเห็นตนต้องลำบาก “แผลท่านปริแตกอีกแล้ว หากท่านยังเคลื่อนไหวอยู่อย่างนี้ เกิดแผลบวมเป็นพิษขึ้นมา ถึงชีวิตได้เชียวนะ” น้ำเสียงตำหนิเจือความกังวลใจ มองเหงื่อผุดเต็มใบหน้าซีดเซียวเพราะเสียโลหิต บาดแผลยังไม่ทันได้สมานตัวดี ก็มีเลือดไหลซึมออกมาอีกแล้ว เกิดจากการเร่งเดินทาง ผ้าพันแผลผืนเก่าเดิมทีสีขาว ถูกย้อมไปด้วยเลือดวางทิ้งไว้ในอ่าง หลังจากนางทำความสะอาดรอบบาดแผล ใส่ยาทำแผลให้เปลี่ยนผ้าสะอาดผืนใหม่ พันทบไหล่กว้างพาดลงมาตรงหน้าอก พันรอบหน้าอกอีกครั้งก่อนมัดผูกปมเก็บชายให้เรียบร้อย หากบุรุษร่างสูงกลายเป็นเด็กชายตัวเล็กได้ นางอยากจะตีก้นสักหลายที เหตุจากการดื้อรั้นยิ่งนัก “ข้าไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงเรียบนิ่ง พูดอย่างไม่สนใจบาดแผลตามร่างกาย ขยับกายจะลุก มือบางกดร่างเขาเอาไว้ หญิงสาวอ้าปากจะพูด พลันมีเสียงพูดแทรกขึ้นมา “ชงอวี้ เรื่องทางด้านนั้นถึงมีข่าวแจ้งมา ก็ไม่น่าจะมีเหตุเร่งด่วนอะไร เดินทางช้าลงแค่วันเดียว คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระมัง ยังมีคนของเราเฝ้าดูอยู่” ม่านหน้าประตูถูกเลิกขึ้น ปรากฏเงาร่างบุรุษสูงโปร่ง ถือชามยามีไอร้อนกรุ่น ก้าวเดินเข้ามา จินเซ่อ องครักษ์หนุ่มใบหน้างดงามมีเสน่ห์ นัยน์ตาหงส์ ปากแดงฟันขาว เป็นคนสนิทของเซียวชงอวี้ เมื่อทั้งสองอยู่เคียงข้างกัน ดุจภาพวาดของจิตรกรเอกเสกสรรปั้นแต่ง ทั้งเหมือนเทพเซียนทิ้งสวรรค์ลงมาเมืองมนุษย์ อยากลิ้มลองรสชาติความลำบากดูบ้าง ไม่รู้ทำไมบรรยากาศในห้องเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จากมืดครึ้มทึมทึบ ค่อยสว่างจนตาพร่า คล้ายตาฝาด เห็นเหล่าผีเสื้อหลากสีโบยบินอย่างอิสรเสรี ท่ามกลางสายรุ้งทอประกาย สัมผัสถึงสายลมแรกของฤดูใบไม้ผลิ พัดพาความอ่อนโยนแผ่วเบา เข้ามาทางหน้าต่าง ม่านบางขยับพลิ้วไหว บุปผาล่องลอย ท้องฟ้าดูสดใส แสงแดดอบอุ่นจนเคลิ้มฝัน ชวนให้หญิงสาวในห้องหอ ฝันกลางวันน้ำลายยืด แต่แล้วจู่ ๆ หลิวซียื่นมือเข้าไปในภาพมายาเบื้องหน้า ฉีกภาพอันงดงามตระการตาตรงหน้าลง ให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเป่าปลิวหายไปในอากาศ อย่างคนใจร้ายขาดสุนทรียภาพ ความงดงามเหมือนมายาใช้ล่อลวงให้คนตายมานักต่อนัก ไม่สามารถชักนำจิตใจของหญิงสาว ให้คลั่งไคล้เพ้อฝันไปได้ จินเช่อผู้นี้เป็นองครักษ์คนสนิทของเซียวชงอวี้ มีตำแหน่งขุนพลควบคุมทหารนับพัน ถือว่าฐานะในกองทัพไม่ธรรมดา หลิวซีเคยพบเห็นคนหน้าตาดีมาก่อน เช่น ฮ่องเต้ ฮองเฮา ในอดีตเรียกได้ว่า ติดอันดับหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า บุรุษหล่อเหลาสง่างาม โฉมงามอรชรพริ้มเพรา ปัจจุบันนับเป็นคู่มังกรหงส์แห่งยุค นางรับรู้เพียงว่าได้พิศชมสิ่งเจริญหูเจริญตาเท่านั้น มองคล้ายชมละครพระนางของคณะงิ้ว ความคิดไม่ว่อกแว่กเป็นอื่นแต่อย่างใด “ข้ารู้ ถ้าเช่นนั้นเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าก็แล้วกัน” เซียวชงอวี้ไม่คิดเปลี่ยนใจ ยังคงร้อนใจ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้อื่น แต่งานนี้เขาเฝ้าติดตามมานานแล้ว เพิ่งได้รับข่าวตอนเย็น ทำให้อยากรุดหน้าไปจัดการเอง หลิวซียืนฟังทั้งสองพูดคุยกัน ขยับมือหยิบจับเครื่องมือเก็บใส่ล่วมยา นางได้ไปพักอยู่อีกห้องซึ่งติดกัน เป็นเพียงผ้าดิบขึงกั้นแบ่งเป็นห้อง พวกชาวบ้านตามท้องถิ่น ทำอาชีพการเกษตรทั่วไป รายได้แค่พอเลี้ยงตัว ไม่ได้มีบ้านเรือนใหญ่โตแต่อย่างใด สร้างเป็นห้องโล่งกว้าง แล้วหาของขึงกั้นแบ่งห้องเท่านั้น “อุ่นแล้ว” จินเช่อเป่ายาให้เย็นลง แล้วยื่นชามยาให้เซียวชงอวี้ พร้อมทั้งล้วงกล่องในอกเสื้อ เมื่อเปิดออกมา กลิ่นหอมหวานของพุทราเชื่อมลอยฟุ้งเต็มห้อง “ร้านเดิมที่เจ้าชอบ ความหวานพอดีไม่เลี่ยนมาก” แม่ทัพหนุ่มเพียงพยักหน้ารับ ยกชามยาขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียว ตามด้วยผลพุทราเชื่อม นิ้วมือขยับไปมา องครักษ์รูปงามยังยื่นผ้าเช็ดมือให้อย่างรู้ใจ กลัวว่ามือของเจ้านายตน จะเปื้อนเลอะจากผลพุทราเชื่อม หลิวซีคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มท่าทางองอาจกล้าหาญ เห็นการบาดเจ็บตัวเองเป็นเรื่องเล็กน้อย ถึงขนาดกินยาขมไม่ได้ต้องหาผลไม้เชื่อมกินตาม เมื่อดูตามพฤติกรรมการกระทำของทั้งสองคนตรงหน้า เป็นธรรมชาติลื่นไหลไม่มีที่ใดไม่สะดุดขัดตา เหมือนคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี คนหนึ่งดื่มยาอีกคนแทบจะป้อนให้ ดูจากลักษณะการพูดจาโต้ตอบ คล้ายห้องนี้มีเพียงพวกเขาสองคน ถ้าไม่ติดที่นางยืนอยู่ เหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่งในห้อง พวกเขา..น่าจะหวานกันมากกว่านี้ นี้กระมังสิ่งที่เซียวฮองเฮากังวล เรื่องพวกบุรุษชมชอบตัดแขนเสื้อ [บุรุษชอบเพศเดียวกัน] นางเคยได้ยินมาว่ามี พวกราชนิกุลวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ หรือพวกร่ำรวยมักมีรสนิยมทางด้านนี้ ชมชอบแอบเลี้ยงชายงาม หรือไปเที่ยวหอโคมแดงเข้าประตูข้าง เพื่อหาความสำราญจากบุรุษ ให้เอาอกเอาใจเติมเต็มความสุข เป็นเรื่องธรรมดาค่ายทหารมีแต่ชายล้วน ๆ ย่อมเกิดเรื่องราวความรักหลังค่ายกำแพงสูง ความจริงเรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับนาง แต่เซียวฮองเฮาทุกข์ใจกับน้องชายเพียงคนเดียวยิ่งนัก กลัวจะหาผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลไม่ได้ จะไร้ซึ่งทายาทไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษในอนาคต แต่ในมุมมองของหลิวซี กลับนึกสงสารความรักของทั้งสองยิ่ง คงทำได้เพียงแค่จับตาเฝ้าดู อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ก็ได้ ฮ่องเต้ส่งสาวงามมา ในความคิดของนางหากเซียวชงอวี้ได้ยลโฉม หัวใจอาจหวั่นไหวก็เป็นได้ เมื่อย้อนนึกถึงเซียวฮองเฮาเป็นผู้มีพระคุณกับหลิวซีมาก เรื่องที่เป็นหนามแทงใจ คือความห่วงใยน้องชายผู้นี้ นางจะไม่ทำให้พระนางต้องผิดหวัง จะดูแลรักษาอาการบาดเจ็บเขาให้ดี การมาเยือนทางเหนือเพื่อตอบแทนบุญคุณของเซียวฮองเฮา และช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เมื่อความคิดโลดแล่นไปไกล เหมือนโลหิตในร่างกายร้อนแรงพลุ่งพล่าน ความคิดเห็นตกผลึก ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยจัดเจน หลิวซีเผลอแสดงกิริยาออกมาตามจิตใต้สำนึก “แปะ!” เสียงตบมือดังขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่นางเหมือนเป็นคนนอก สภาวะหยุดชะงัก เซียวชงอวี้ค้างอยู่ในท่าเช็ดมือ จินเช่ออยู่ในท่ายื่นถ้วยน้ำชาส่งให้ ทั้งสองหันหน้ามองหญิงสาวตรงมุมหนึ่งพร้อมกัน หลิวซีนิ่งอึ้ง กลอกตา เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ว่าเผลอลืมตัว “ข้าตบยุง ดูสิ! อยู่ท่ามกลางป่าเขาเป็นธรรมดายุงป่ามักชุกชุมยิ่ง” แสร้งตบยุงไม่มีจริงในอากาศ แปะสองแปะ จินเช่อขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเซียวชงอวี้ไปช่วยหญิงสาวผู้นี้ ก็ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้แน่ ความรู้สึกที่มีต่อนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขารู้ตัวว่าไม่อาจไปตำหนิหลิวซีได้ เพราะเรื่องราวดูเหมือนจะเป็นอุบัติเหตุ และเกิดจากความเข้าใจผิด แต่เขายอมรับว่าจิตใจคับแคบ ไม่อยากเห็นคนซึ่งเป็นทั้งสหายและเจ้านาย ได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกไหนจะพิษร้ายนั่น หากร่างกายอ่อนแอพิษร้ายกลับมากำเริบ เซียวชงอวี้จะไม่เจ็บปางตายเลยหรือ ไหนจะงานใหญ่ที่วางแผนไว้เสียดิบดี เกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา แผนก็พังสูญสลายกันพอดี เห็นองครักษ์จ้องถมึงถึงใส่ หญิงสาวหาได้หวาดกลัวไม่ เพียงคิดว่าบุรุษพวกนี้ไม่มีความเป็นมิตร เห็นนางเป็นบ่อนทำลายบรรยากาศดีงามนั้นไปได้ เก็บล่วมยาคล้องไหล่พลางเอ่ย “ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ทุกเมื่อ ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน” นางพลิกม่านเข้าห้องด้านข้าง ดวงตะวันสูงเด่นแสงสว่างเจิดจ้า อากาศภายนอกสดใส ท้องฟ้าปรากฏกลุ่มเมฆสีขาวลอยละล่อง ได้ยินเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเสนาะหู ภายในรถลากเทียมม้า รอบด้านทั้งสี่ทิศมีผ้าคลุม ยามสายลมพัดมาผ้าที่แขวนไว้ตีสะบัดพึ่บพั่บ บนพื้นมีผ้านวมวางซ้อนกันหลายชั้น แต่ยังได้รับความสะเทือนสั่นไหวโคลงเคลง ยามกีบเท้าม้าย่ำพื้นดินขรุขระ รถม้าคันนี้ถูกดัดแปลงมา ด้วยจินเช่อไปถามซื้อจากชาวบ้าน เดิมทีเป็นรถลากผูกติดกับลาตัวหนึ่ง ใช้ขนส่งสิ่งของทางการเกษตร ความสะดวกสบายย่อมแตกต่างจากรถม้าโดยปกติ หลิวซีใช้นิ้วเกี่ยวผ้าขึ้นมองดูทิวทัศน์ต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทาง เสื้อผ้าที่สวมใส่ค่อนข้างเนื้อหยาบสีธรรมดา แต่ก็ไม่ใส่ใจ อย่างน้อยได้ผลัดเปลี่ยนให้รู้สึกสบายตัว ทหารได้นำมาให้ตั้งแต่เมื่อคืน เห็นว่าซื้อต่อจากหญิงสาวชาวบ้านมาอีกที นางเกล้ามวยผมอย่างเรียบง่าย ใช้ปิ่นเสียบไว้ นั่งเท้าคางกอดเข่า เหม่อลอย ใจคิดไปถึงหลันฮวาป่านนี้น่าจะเป็นห่วง ความจริงส่งข่าวไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก แต่หญิงสาวรู้ใจสหายเป็นอย่างดี เวลานี้คงร้อนใจมาก เร่งอยากมาพบเจอนาง ดูให้เห็นกับตาว่าสบายดีหรือไม่ รู้สึกถึงชายเสื้อกระตุก จึงหันกลับมามอง เห็นเด็กชายตัวน้อย ส่งสายตาเป็นประกายมาให้ นางส่งยิ้มตอบ จับเขามานั่งบนตัก “มาฮัน เจ้าอยากดูภายนอกใช่หรือไม่ ดูสิ! นั้นนกน้อยสีเหลือง น่ารักใช่ไหมเล่า” เสียงหวานพูดภาษาต่างเผ่าอย่างอารมณ์ดี ชี้นิ้วชวนดูตรงนั้นทีตรงนี้ที เด็กตัวน้อยยิ้มกว้างดวงตาหยี พยักหน้าหงึ ๆ อย่างร่าเริงสดใส เมื่อวานหลิวซีได้สอบถามประวัติ เรื่องราวของเด็กชายจากนายกอง เขาบอกเพียงเล็กน้อยว่าชื่อ ‘มาฮัน’ มาจากเผ่าเซียง หญิงสาวนึกทบทวนความรู้ที่อ่านมาจากบันทึกร้อยเผ่า เผ่าเซียงอยู่ใต้การปกครองของเผ่าทูเจวี้ย มีเชื้อสายผสมผสานใกล้ชิด ทั้งใช้ภาษาเดียวกัน ภาษาพูดทูเจวี้ย นับเป็นเรื่องบังเอิญมากที่นางรู้ภาษาทูเจวี้ย เมื่อประมาณสามปีก่อน เป็นรับสั่งจากเซียวฮองเฮา บอกเพียงว่าอยากให้หญิงสาวได้เรียนรู้หลายภาษา หนึ่งในนั้นก็คือภาษานี้ และเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวเจ้าอดทนอีกนิดเมื่อไปถึงชายแดน ข้าจะรักษาอาการใบ้ให้ จะได้กลับมาพูดคุยได้อีกครั้งดีหรือไม่” ขยับมือลูบผมคนตัวเล็กอย่างนึกเอ็นดู แววตาเด็กชายเปล่งประกายสดใสไร้เดียงสา พยักหน้ายิ้มรับอย่างเข้าใจ หลิวซียังไหว้วานให้นายกองผู้นั้น ส่งข่าวให้พวกเด็ก ๆ ซึ่งเดินทางติดตามขบวนของราชสำนัก มาพบนางที่ค่ายทหาร “เจ้าพูดภาษาต่างเผ่าได้คล่องนัก” เสียงทุ้มแฝงความเรียบเรื่อยเอ่ยถาม บนรถม้าดัดแปลง มีผู้โดยสารอยู่สามคน สตรี เด็ก และคนป่วย คนป่วยย่อมเป็นเซียวชงอวี้ เขานอนเหยียดตัวยาวเต็มพื้นที่ แต่นางก็มิได้เอ่ยทักท้วงแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้ขออาศัยร่วมเดินทาง จำต้องสงบเสงี่ยม ระวังมือระวังเท้า “ต้องยกความดีความชอบให้แก่ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูข้ามา ถึงพอมีวิชาความรู้ติดตัวอยู่บ้าง” กล่าวพลาง ขยับนิ้วมือสางผมให้เด็กชายจัดทรงให้เรียบร้อย “เป็นหมอ พูดภาษาเผ่าทูเจวี้ยได้ มีวรยุทธ์ติดตัว เพราะเหตุใดถึงเลือกมาชายแดนเหนือ ทำไมท่านพี่ถึงหักใจยอมส่งเจ้ามา” คำพูดแม่ทัพหนุ่มมีนัยแฝง แสดงว่าได้สืบเรื่องราวภูมิหลังนางมาพอสมควร เป็นธรรมดาใครซึ่งถูกส่งตัวมาชายแดนเหนือ เขาย่อมต้องตรวจสอบประวัติความเป็นมา “ฮองเฮามีพระเมตตาเลี้ยงดูข้ามาเป็นอย่างดี ถ้าพระองค์สั่งให้บุกน้ำลุยไฟข้าพร้อมเต็มใจ” น้ำเสียงหลิวซีไม่อ่อนไม่แข็ง แววตาจริงจัง เมื่อกล่าวถึงเซียวฮองเฮา นางมักจะนึกถึงความเอาใจใส่ดูแล รักใคร่เหมือนญาติสนิท เปรียบเหมือนพี่สาว มารดา แสงสว่างของดวงจันทร์ยามค่ำคืน แผ่ความอบอุ่นปลอบประโลมจิตใจให้หายความหวาดหวั่น เมื่อนึกย้อนวันเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเรื่องใดที่นางสนใจ เซียวฮองเฮามักจะให้โอกาสส่งเสริมในการเรียนรู้ ไม่แต่เฉพาะนางทั้งคนรอบข้าง เผื่อแผ่ถึงอาณาประชาราษฎร์ บ่อยครั้งที่เซียวฮองเฮาลักลอบออกจากวังหลวง เดินทางตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ของชาวบ้านคนธรรมดา ยื่นมือช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากหลายครั้ง มักจะตกอยู่ในห้วงอันตรายจากการลอบจู่โจมสังหาร แต่หัวใจพระนางกลับเข้มแข็ง ไม่คิดล่าถอยเพราะเจออุปสรรค เรื่องใดสามารถทำได้ รีบดำเนินการทันที เรื่องไหนซึ่งเกินความสามารถ จะนำกลับมาปรึกษาฮองเต้เพื่อช่วยหาแนวทางแก้ไข อย่างเช่น ครั้งอดีตพวกนางไปเยือนหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง ณ ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยเด็ก และคนชรา เพราะภัยจากสงครามต้องเกณฑ์บุรุษไปทำศึก ทั้งยังถูกผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ บีบบังคับคนหนุ่มสาวที่เหลือ ลงชื่อใช้แรงงานเถื่อนในสัญญาทาส เมื่อเซียวฮองเฮารู้เรื่องเข้า ปิดบังปลอมตัวเพื่อสืบหาเรื่องราว ถึงรู้ว่าเป็นพรรคพวกของขุนนางใหญ่ในราชสำนักขนาดฮ่องเต้ยังไว้หน้าถึงสี่ส่วน ครั้งนี้ถ้าไม่หาหลักฐานมัดตัวได้อย่างแน่นหนา เห็นทีจะนำความยุ่งยากมาสู่การใช้อำนาจในการปกครองแผ่นดิน พวกนางถึงกลับปลอมตัวเสี่ยงชีวิตเข้าไปในถิ่นศัตรู เพื่อหาพยานหลักฐานจนเกือบเอาตัวไม่รอด เมื่อนำกลับไปฟ้องที่ว่าการในเมืองท้องถิ่นเรื่องกลับเงียบ จำต้องทำหนังสือทูลฮ่องเต้ ส่งหลักฐานพยานให้อย่างครบถ้วน สามารถลากคอขุนนางท้องถิ่นจนถึงในราชสำนักออกมารับโทษในคราวนั้น แต่แน่นอนยังมีเรื่องจำพวกสละเบี้ยรักษาขุน พวกที่ได้รับโทษเป็นเพียงพวกตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น ทว่าแต่อย่างน้อยก็ได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากออกมา หลิวซีสัมผัสด้วยตนเองอย่างลึกซึ้ง เห็นหัวใจที่แข็งแกร่งของเซียวฮองเฮา พร้อมทุ่มเทช่วยเหลือผู้คนแม้โลหิตจะไหลรินก็ตาม ในชั่วขณะนั้น ภายในใจพลันร้อนระอุ โลหิตเดือดพล่านไหลเวียนทั่วร่าง เต็มไปด้วยความคึกคักฮึกเหิม หญิงสาวสาบานว่าชาตินี้ ตนจะจงรักภักดีต่อพระนางแม้ตัวตายก็ตาม .......................................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD