สุมาลีและแพรวาอยู่จัดการบังคับอคิณกินข้าวกินยามื้อเย็นจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกลับไป คล้อยหลังทั้งคู่ไม่นาน ดนัยและวรรณาก็มาเยี่ยมอคิณ
“คุณปู่ คุณย่าเล็ก ทำไมมาค่ำนักละครับ” คนเจ็บรีบวางเอกสารรายงานกระประชุมที่กำลังอ่านอยู่แล้วกล่าวทักทายผู้อาวุโสทั้งสองท่าน
“หมอนัดตรวจหลังผ่าตัดหกเดือนน่ะ เพิ่งตรวจเสร็จ เลยแวะมาเยี่ยมแกซะหน่อย แล้วนี่เป็นไง อยู่โรงพยาบาลมาเป็นเดือนแล้วเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน” คุณปู่ถามด้วยความห่วงใย ผิดกับย่าเล็กที่นั่งเชิดหน้าคอตั้ง
“อีกสองวันก็กลับบ้านได้แล้วครับ แต่ยังต้องทำกายภาพบำบัดทุกวันจนกว่าจะเดินได้คล่องกว่านี้”
“แล้วเรื่องริษาจะเอายังไง” วรรณาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นอย่างห่างเหิน ลึกๆ แล้วเธอเกลียดขี้หน้าอคิณมาก เพราะถ้าไม่มีอคิณ เจษฎา ลูกชายของเธอซึ่งมีอายุเท่ากับแพรวาก็คงจะได้รับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารโรงแรมต่อจากดนัยไปแล้ว
“ตอนนี้ผมทราบแล้วครับว่าริษาหนีไปอยู่ที่ไหน ผมจะให้คนไปตามตัวเธอกลับมา”
“ตามกลับมา ปู่ก็ไม่รับเป็นหลานสะใภ้แล้วนะ” ดนัยกระแทกไม้เท้าลงพื้นเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“ผมก็ไม่คิดจะรับผู้หญิงอย่างนั้นมาเป็นภรรยาแล้วเหมือนกันครับ ผมแค่อยากได้เครื่องเพชรประจำตระกูลมาคืนคุณแม่ แล้วให้ริษากลับมาชดใช้สิ่งที่เธอทำกับผมเท่านั้น” ใครที่กล้าทรยศหักหลังเขา ต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม
“อย่างนี้ก็แปลว่าอคิณจะมีหลานชายให้คุณปู่ภายในหนึ่งปีไม่ได้แล้วสินะ เราจะทำยังไงกันดีคะคุณท่าน” วรรณาที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับสุมาลีหันไปถามสามีวัยเจ็ดสิบห้าปีด้วยสีหน้าที่แสร้งทำเป็นกลัดกลุ้ม
“ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก อคิณจะไปมีลูกกับใครก็ได้ ขอแค่ให้มีทายาทสืบสกุลให้ปู่ให้ได้ภายในหนึ่งปีก็พอ”
“ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วยครับ คุณปู่ก็เห็นว่าตอนนี้ผมยังเดินไม่คล่องเลย แล้วจะมีลูกได้ยังไง”
“แกก็รู้ว่าโรคหัวใจที่ปู่เป็นอยู่ จะหัวใจวายตายเมื่อไหร่ก็ได้ ปู่ไม่อยากตายไปแบบมีห่วง”
อคิณดูออกว่าปู่ไม่ได้แกล้งดราม่าเพื่อบีบบังคับเขา แต่ท่านเป็นกังวลเรื่องนี้มากจริงๆ จึงได้แต่นิ่งเงียบด้วยความเข้าใจ ในขณะเดียวกัน ดนัยเองก็ยอมยืดหยุ่นตามสถานการณ์เช่นกัน
“ปู่ให้เวลาแกรักษาตัวให้หายเป็นปกติหกเดือน แล้วหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี แกต้องมีทายาทสืบสกุลให้ปู่ให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ปู่จะยึดตำแหน่งประธานกรรมการบริหารคืน แล้วย้ายแกไปเป็นพนักงานยกกระเป๋า”
“คุณปู่...” ผู้บริหารหนุ่มที่กำลังจะถูกริบตำแหน่งคืนประท้วงเสียงอ่อนระโหย
“ถ้าแกไม่อยากเป็นพนักงานยกกระเป๋า ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของปู่ให้ได้”
“ครับคุณปู่ ผมจะต้องทำให้ได้” เขาจะยอมทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องร่วงจากตำแหน่งสูงสุดของโรงแรมมาเป็นพนักงานยกกระเป๋า
เวลาสามทุ่มกว่า ภายในบ้านสวนหลังเล็กแถบชานเมือง อมลรดาที่อยู่ในชุดนอนแบบเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นผ้าเนื้อนิ่มสีชมพูพาสเทลกำลังเคร่งเครียดอยู่กับการโทร. หาพ่อและพี่สาว แต่ทั้งคู่ปิดเครื่อง หรือบางทีอาจจะปิดเบอร์ทิ้งไปแล้วก็ได้
“เฮ้อ หนีไปอยู่ที่ไหนกันนะ” หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนแผ่กลางเตียงนอนที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาสารพัดสัตว์อย่างสิ้นหวังและโดดเดี่ยว แต่แล้วก็ต้องเด้งตัวขึ้นมาใหม่เมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ตอนแรกเธอนึกว่าเป็น ‘นาน่า’ เพื่อนสนิทข้างบ้าน แต่พอลงมาเปิดประตูกลับพบว่าเป็นชายแปลกหน้ารูปร่างผอมสูง ผิวขาวสะอาด อายุไม่น่าเกินสามสิบปีซึ่งอยู่ในชุดสูทสีดำ ลักษณะคล้ายบอดี้การ์ดหรือไม่ก็พวกลูกน้องมาเฟีย ทว่ารอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้าหล่อตี๋แบบอินเตอร์ของเขาก็ทำให้อมลรดาใจชื้นขึ้นมาบ้าง ว่าเขาน่าจะมาดี
“มาหาใครคะ”
“คุณ” เขาตอบสั้นๆ พลางชี้นิ้วมาที่ตัวเธอ
“แต่เราไม่รู้จักกัน”
ชายในชุดสูทสีดำยิ้มสุภาพอีกครั้ง “ผมคงพูดสั้นไป คนที่ต้องการพบคุณไม่ใช่ผม แต่เป็นเจ้านายของผมครับ”
“ใครคะเจ้านายคุณ”
“เจ้านายผมรออยู่ในรถครับ” หนุ่มตี๋อินเตอร์เดินไปที่รถยุโรปราคาหลักสิบล้านสีดำแล้วเปิดประตูรถด้านหลังพร้อมผายมือเชิญอมลรดาให้เข้าไปนั่งด้านใน “เชิญครับ”
หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ประตูรถแล้วก้มหน้าส่องเข้าไปดูด้านในอย่างระมัดระวังตัว จากนั้นก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “คุณอคิณ!”
“แค่เห็นหน้าผมต้องตกใจขนาดนี้เลยเหรอ” ชายหนุ่มในชุดคนไข้พูดพลางดึงข้อมือหญิงสาวให้เข้ามานั่งในรถแล้วเอื้อมมือผ่านตัวเธอมาดึงประตูรถปิด
“คุณออกจากโรงพยาบาลมาได้ยังไง”
“ก็นั่งรถมา” อคิณตอบหน้าตาย
“ฉันหมายถึง หมออนุญาตให้คุณออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอ” อมลรดามองชุดคนไข้ที่เขาสวมอยู่แล้วคิดว่าไม่น่าใช่ “นี่คุณหนีออกจากโรงพยาบาลมาเหรอ?”
“ผมแค่ออกมาคุยธุระกับคุณแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับไปนอนโรงพยาบาลเหมือนเดิม”
“ธุระอะไร สำคัญมากถึงขนาดต้องมาหาฉันดึกขนาดนี้เลย”
อคิณไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับย้อนถาม “วันนี้ที่คุณไปหาผมที่โรงพยาบาล คุณตั้งใจไปแสดงความรับผิดชอบเรื่องพ่อคุณจริงๆ ใช่มั้ย”
“ใช่”
“แล้วเรื่องพี่สาวคุณล่ะ ไม่คิดจะรับผิดชอบแทนบ้างเหรอ” ชายหนุ่มเริ่มตะล่อมอย่างใจเย็น
“ฉันรับปากคุณแม่คุณไปแล้วว่าจะเอาเครื่องเพชรมาคืนให้ภายในหนึ่งเดือน”
“มันไม่ใช่แค่นั้น”
“ยังมีอะไรอีก”
“คุณต้องมาทำหน้าที่ ‘ภรรยา’ ของผมแทนพี่สาวของคุณ”
“ทุเรศ! พูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง” อมลรดาด่าเสียงดังลั่นรถที่ปิดประตูสนิททั้งสี่บานพร้อมกับตวัดมือขึ้นตบหน้าอคิณอย่างแรงจนเขาหน้าหัน “พูดแบบนี้เหมือนไม่รักพี่ริษาเลย”
“ผมไม่ได้รักพี่สาวคุณ” อคิณกัดกรามแน่น เจ็บจนหน้าชา
“หมายความว่าไง” อมลรดาไม่เข้าใจ ถ้าไม่รัก แล้วจะแต่งงานกันทำไม
“คุณไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับครอบครัวคุณเลยจริงๆ เหรอ”
“ฉันไปเรียนอังกฤษตั้งแต่ไฮสกูลจนถึงปริญญาตรี เจ็ดปีเต็มที่ฉันไม่ได้กลับบ้านเลย มีโทร. คุยกับคุณพ่อบ้าง แต่ก็คุยกันแค่เรื่องเรียน ส่วนกับพี่ริษา เราไม่ค่อยสนิทกันเพราะคนละแม่” หญิงสาวตอบไปตามตรง แม่ของวริษาเป็นภรรยาคนแรกของพ่อ เธอพอรู้มาบ้างว่าเลิกกันเพราะช่วงนั้นพ่อติดการพนันหนักมาก ส่วนแม่ของเธอเป็นภรรยาคนที่สอง ซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อสิบปีที่แล้ว