ภายในห้องประชุมของเอพริล ครีเอทีฟ ประกอบด้วยเครื่องตกแต่งน้อยชิ้น โทนสีที่ใช้คือขาวและดำ มีภาพถ่ายขนาดใหญ่ติดไว้สองด้าน เปลี่ยนบรรยากาศเคร่งขรึมและทรงอำนาจให้ดูบางเบาลงในที…
“วันนี้ต้องขอบคุณทุกท่านมากที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ส่วนโปรเจกต์ใหม่ที่คุณธันวาเสนอมาผมคิดว่าน่าสนใจ เอาไว้คราวหน้าเราจะมาหารือกันเรื่องนี้อีกครั้ง ขอบคุณทุกคนครับ”
เสียงขอบคุณและเสียงพูดคุยดังขึ้นจ้อกแจ้ก ไม่นานก็แยกย้ายกันออกไปจากห้อง โดยมีฉันท์ทัตเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย…
เลขาสาวสวยเดินตามเจ้านายหนุ่มเข้าไปในห้องทำงานของเขา พลางวางแฟ้มเอกสารการประชุมลงบนโต๊ะตัวใหญ่ ก้าวเข้าไปหาแล้วถือวิสาสะสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้จากด้านหลัง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วหวาน…
“วันนี้ไปกับนิวไหมคะคุณทัต” เสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยและใบหน้าที่แนบมากับแผ่นหลังกว้างทำให้ฉันท์ทัตตวัดหางตามองแวบหนึ่ง ก่อนแกะมือที่กอดรอบเอวของเขาเอาไว้ออก พลางหมุนตัวกลับมาสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา…
“อย่าทำแบบนี้อีก…”
นิดารัตน์ เลขาสาวคนสวยหน้าเจื่อนทันทีที่สบตาดุกระด้างคู่นั้น พลันถอยหลังผละห่างด้วยท่าทางนอบน้อมผิดเมื่อครู่ราวฟ้ากับดิน
“ขอโทษค่ะ…”
ฉันท์ทัตหันไปคว้าเอาสูทสีเข้มขึ้นมาถือไว้ พลางสบตาเลขาของตนอีกครั้งแล้วบอก
“พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาสายสักหน่อย เตรียมเอกสารให้พร้อม บอกเลื่อนนัดคุณชาญวุฒิให้ด้วย แล้วก็บอกยกเลิกนัดคุณมาริสาให้ที แค่นี้ละ”
พูดจบฉันท์ทัตก็เดินผ่านหน้าเลขาสาวออกจากห้อง ปล่อยให้อีกฝ่ายมองตามด้วยสายตาขุ่นเคือง มือเล็กกำแน่น ริมฝีปากเม้มสนิท…
ร่างสูงเข้ามานั่งในรถยนต์คันหรูได้เพียงอึดใจ พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มรับและพูดตอบกลับไปสองสามประโยคก่อนจะออกคำสั่งกับคนขับรถของตนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า…
“กลับบ้านด่วน”
แม้จะเป็นคำสั่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่คนขับรถ ทว่าอำนาจทำได้เพียงเคลื่อนรถยนต์สมรรถนะสูงตรงสู่คฤหาสน์ อภิลักษณ์ด้วยความเร็วตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่ม ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ฉันท์ทัตกลับบ้านแต่หัวค่ำเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาคิดว่าสิ่งนั้นอาจทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นอย่างแน่นอน…
ที่เรือนพักชั่วคราวท้ายคฤหาสน์ รอบนอกถูกห้อมล้อมไปด้วยมวลพฤกษชาติเขียวชอุ่ม มีดอกไม้หลากชนิดให้เจริญตาเจริญใจ อาจเป็นสิ่งเดียวภายในคฤหาสน์ที่ทำให้รู้สึกดีสำหรับผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาเช่น มิ่งขวัญ…
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูสามครั้งทำลายภวังค์ของมิ่งขวัญลง หญิงสาวหันกลับมาจากหน้าต่างห้องพลางสาวเท้าตรงไปยังประตู
ทันทีที่ประตูเปิดกว้าง รอยยิ้มหวานที่เปิดค้างจึงค่อยๆ จางลงเมื่อได้พบกับสีหน้าและแววตาไม่เป็นมิตรของผู้มาเยือน โดยเฉพาะหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นซึ่งมีหญิงสาวอีกคนยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง…
“เอ่อ มีอะไรหรือคะ” เอ่ยถามเสียงเบา รู้สึกประหลาดใจในสีหน้าและแววตาของทั้งคู่ที่มองมานัก โดยเฉพาะสายตาของหญิงชราบนรถเข็นซึ่งมองกราดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทำให้มิ่งขวัญร้อนวูบไปทั้งใบหน้า เกิดความไม่พอใจแต่ไม่อาจแสดงออกได้อย่างที่คิด…
“นี่นะหรือ เลขาส่วนตัวคนใหม่ของตาทัต ไหนบอกฉันสิแม่ต่าย ว่าจากที่มองด้วยสายตาแล้วเธอคิดว่าผู้หญิงตรงหน้าเหมาะที่จะเป็นอะไรมากกว่ากัน ระหว่าง… เลขาส่วนตัว หรือว่าเลีย… ขาส่วนตัว”
คนฟังหัวใจกระตุกวาบ ใบหน้าซีดสลับแดงด้วยความโกรธ
“คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง…”
“หยุดนะ!” มัลลิกาตะคอกกลับเมื่อมิ่งขวัญขยับเข้าใกล้คุณฉัตรฉาย
“แต่คุณคนนี้…”
ดวงตาของคุณฉัตรฉายวาบขึ้น มัลลิกาจึงกล่าวออกมาว่า
“คุณคนนี้ที่เธอว่าคือคุณฉัตรฉาย ท่านคือคุณผู้หญิงของบ้าน อภิลักษณ์ เป็นคุณแม่ของคุณทัตเจ้านายคนใหม่ของเธอยังไงล่ะ คุณเลขาคนใหม่!!”
ถ้อยคำชัดเจนจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลังรถเข็นทำให้มิ่งขวัญเย็นเยียบไปทั้งร่าง พลันสายตาก็หลุบมองหญิงชราที่มีผมสีขาวแซมดำประปรายอย่างไม่คาดคิด หญิงสาวขบเม้มเรียวปากอย่างอดกลั้นแล้วประนมมือทำความเคารพ…
“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง ดิฉัน…”
“บอกชื่อหล่อนมาสิ แม่เลขา…”
น้ำเสียงเหยียดหยันและสายตาดูถูกของคนบนรถเข็นทำให้มิ่งขวัญต้องอดทนอย่างถึงที่สุด เพียงชั่วโมงแรกที่เหยียบลงบนคฤหาสน์อภิลักษณ์ก็ต้องพบกับการต้อนรับอย่างไม่เป็นมิตรเสียแล้ว
“ดิฉันชื่อมิ่งขวัญค่ะ มีหน้าที่คอยดูแลคุณฉันท์ทัต” ไหนๆ ก็ไหนๆ มัวอมพะนำไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้บอกให้รู้เสียตอนนี้คงดีกว่าจะมานั่งอธิบายกันภายหลังว่าหล่อนเข้ามาอยู่ในฐานะอะไร
คุณฉัตรฉายมองหญิงสาวร่างระหงตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดๆ ชัดเจนว่าไม่พอใจหญิงสาวมากแค่ไหน
“ไม่ว่าหล่อนจะเข้ามาในฐานะอะไรก็ตาม แต่ฉันขอบอกเอาไว้เลยว่าอีกไม่นานฉันจะเป็นคนเฉดหัวหล่อนออกไปจากที่นี่เอง ที่นี่คือบ้านของฉัน ไม่ใช่โรงแรมที่ตาทัตจะพาอีตัวที่ไหนมานอนกก! แล้วก็อย่าคิดจะจับลูกชายฉันเด็ดขาด เพราะผู้หญิงอย่างหล่อนมันก็แค่อีตัวข้างถนนที่ตาทัตหน้ามืดตามัวหลงหิ้วหล่อนเข้ามาเท่านั้น”
“คุณกล่าวหาดิฉันมากเกินไปแล้วนะคะ!” มิ่งขวัญกำมือแน่น หน้าตาแดงก่ำ ทว่าฝ่ายเจ้าบ้านกลับแสยะยิ้ม
“ใครว่ามากยะหล่อน! นี่แหละกำลังดีเชียว หล่อนโชคดีแค่ไหน เพราะฉันไม่ถนัดด่าใครต่อใครนัก นี่ก็สรรหาแต่คำพูดดีๆ มาพูดกับหล่อนแล้วนะนี่ อ้อ!! แล้วก็อย่าคิดเอาเรื่องนี้ไปฟ้องตาทัตเด็ดขาด เพราะถึงหล่อนฟ้อง เขาก็ไม่มีทางทำอะไรฉันได้… ไปแม่ต่าย ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้นาน เดี๋ยวเสนียดจะกระโดดมาเกาะตัวฉัน!”
มิ่งขวัญสะอึก เมื่อคุณฉัตรฉายทิ้งท้ายให้เจ็บใจเล่น เช่นเดียวกับพยาบาลสาวที่เหลือบตามองหล่อนด้วยสายตาเยาะเย้ยแสยะปากน่าเกลียดแล้วดันรถเข็นของผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินห่างออกไปด้วยท่วงท่าเนิบๆ
หญิงสาวกลับเข้าห้องแล้วรีบปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงรัวราวจะโลดออกมา เจ็บใจจนอยากจะกรีดร้องให้ดังลั่น ไม่ทันไรหล่อนก็ถูกเล่นงานด้วยฝีมือของเจ้าของบ้านอีกคนเสียแล้ว
“บ้าที่สุด!!” รางบางทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนุ่ม น้ำตาเอ่อรื้น เจ็บใจจนอยากร้องไห้ แม่ยังขนาดนี้ แล้วลูกชายจะขนาดไหน รู้จักแค่เพียงชื่อ หน้าตาเป็นแบบไหนยังไม่เคยเห็น เขาจะใจร้ายปากจัดเหมือนมารดาของเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ หากเป็นอย่างที่นึกกังวลหล่อนจะทำอย่างไร ต้องกล้ำกลืนฝืนทนไปจนกว่าจะหมดสัญญาใช่ไหม…
ด้านของทนายโกสุมหลังจากถูกตามตัวได้ไม่นานก็เดินทางมาถึงบ้านอภิลักษณ์ เขาเข้าไปรอคุณฉัตรฉายอยู่ที่ห้องรับแขกเรียบร้อย เมื่อฝ่ายนั้นได้รับรายงานจากสาวใช้จึงให้มัลลิกาพาไปพบกับทนายประจำบ้านทันที
“สวัสดีคุณโกสุม ฉันอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับแม่นั่น…”
ทนายโกสุมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนผ่อนลมหายใจแผ่วเบา รับรู้ทันทีว่า ‘แม่นั่น’ ที่คุณฉัตรฉายเอ่ยออกมาหมายถึงผู้ใด…
“เรื่องนี้ผมว่าคุณฉายน่าจะลองถามคุณทัตดูก่อนนะครับ…”
“ถามคุณนี่ละเหมาะที่สุดแล้ว!” คุณฉัตรฉายโพล่งขึ้นทันควัน ไม่รอให้อีกฝ่ายยืดเวลาออกไปอีก ทนายโกสุมจึงได้แต่ทอดถอนใจ ขยับริมฝีปากเตรียมเอื้อนเอ่ย ทว่าเสียงรถยนต์คุ้นหูก็แล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้ามุข เรียกสายตาของคนทั้งสามให้หันไปยังที่มาของเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน…
“ฮึ! มาเร็วดีนี่” เปรยพลางปรายตามองไปยังทนายโกสุมอย่างรู้ทัน ทว่าฝ่ายนั้นกลับทำไม่รู้ไม่ชี้
เสียงย่ำเท้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอก้าวเข้ามาภายในห้องโถง ดวงตาสีเข้มเรียบสนิทดั่งทะเลลึกกวาดตามองทุกคน เพียงครู่เดียวผู้ที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้าก็เข้าไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ สาวใช้รีบวิ่งเอาน้ำมาเสิร์ฟแล้วกลับออกไปอย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มสบตามารดาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมให้เสียเวลาเช่นเดียวกัน
“คุณแม่มีอะไรจะถามคุณโกสุมอย่างนั้นหรือครับ ถ้าเป็นเรื่องภายในบ้านถามผมก็ได้ไม่เห็นจะต้องรบกวนคุณโกสุมเลยสักนิด” เขาว่าพลางดึงเอาซองบุหรี่วางลงบนโต๊ะตัวกลางพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้างเตรียมตอบคำถามมารดา
“ฉันอยากรู้เรื่องแม่นั่น” คุณฉัตรฉายไม่ยอมน้อยหน้าบุตรชาย ท่านเอ่ยเสียงเข้มขึ้นทันทีเช่นกัน
“ฮึ…” ฉันท์ทัตหัวเราะในลำคอพลางหยักยกริมฝีปากขึ้นนิดๆ “ถ้าคุณแม่หมายถึงคุณมิ่งขวัญแล้วละก็ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”
คำตอบของฉันท์ทัตทำให้ผู้เป็นมารดาและมัลลิกาต้องฉงน
“แกหมายความว่ายังไงตาทัต”
ชายหนุ่มสบตามารดายิ้มๆ พลางหันไปยังเด็กรับใช้แล้วออกคำสั่ง
“ไปเชิญคุณมิ่งขวัญมาที่นี่”
“จะให้มันมาทำไม ที่นี่มีไว้สำหรับผู้ดีเท่านั้น ผู้หญิงข้างถนนไม่มีสิทธิ์!” คุณฉัตรฉายเอ่ยเสียงกร้าวอย่างไม่พอใจสักนิด แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มกว้างและพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้มารดาออกมาเต้นแร้งเต้นกาได้
“คุณแม่ก็พูดเกินไป คุณมิ่งขวัญไม่ใช่ผู้หญิงข้างถนนแน่ จริงไหมคุณโกสุม...”
คุณฉัตรฉายและพยาบาลสาวหันไปมองทนายโกสุมเป็นตาเดียวและคาดคั้น เป็นเหตุให้อีกฝ่ายอึกอักกระแอมกระไอ หันมองตัวการที่ยิ้มเย็นแล้วต้องถอนหายใจยาวเหยียด...
“อะแฮ่ม! คือคุณมิ่งขวัญเธอ...”
“ช่างเถอะคุณโกสุม” ฉันท์ทัตตัดบท ทำให้มารดาหันมาค้อนขวับที่เขา “ในเมื่อคุณแม่อยากรู้เรื่องของคุณมิ่งขวัญ ผมเลยคิดว่าถามเจ้าตัวน่าจะดีกว่าถามคนอื่น แล้วทีนี้พวกเราทั้งหมดจะได้รู้จักเธอพร้อมๆ กันเสียที”
รอยยิ้มบาดใจโปรยไปทั่วห้องอย่างอารมณ์ดี ต่างจากมารดาเจ้ายศเจ้าอย่างที่มองเขาราวจะกินเลือดกินเนื้อ…
เพียงไม่นานนักมิ่งขวัญก็เดินตามสาวใช้ออกมา หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ กระทั่งเดินมาหยุดตรงหน้าคนทั้งหมดหญิงสาวก็ต้องนิ่งอึ้ง เมื่อสบตาคมปลาบที่มองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หล่อนไม่รู้หรอกว่าผู้ชายใบหน้าคมคายไร้ที่ติตรงหน้าคือใคร ทว่ามีบางอย่างกำลังบอกว่าเขาคือบุคคลสำคัญ ที่มีนิสัยเสียไม่แพ้กับคุณผู้หญิงของบ้านนี้เลยสักนิด เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็น…
“เชิญนั่งสิ คุณมิ่งขวัญ…” น้ำเสียงทุ้มนุ่มติดเยาะนิดๆ เอ่ยขึ้น ทำให้หญิงสาวที่ยืนนิ่งเริ่มลังเลไม่รู้ว่าจะนั่งตรงไหนดี เพราะโซฟาตัวในคุณทนายก็นั่งเสียแล้ว อีกตัวผู้ชายคนนี้ก็นั่งครอง ส่วนตัวสุดท้ายคุณฉัตรฉายก็ขวางเอาไว้เสียเต็มที่ แล้วคุณฉัตรฉายที่มองด้วยสายตาหมั่นไส้ก็โพล่งออกมา
“ถ้าไม่รู้ว่าจะนั่งตรงไหนก็นั่งมันบนพื้นนั่นแหละ เหมาะกับหล่อนที่สุดแล้ว!”
เจอคำตอบนั้นเข้าไปหญิงสาวก็ถึงกับสะอึก เหลือบตามอง ฉันท์ทัตโดยอัตโนมัติ ทำให้อีกฝ่ายต้องถอนใจยาว พลางบอกออกมาว่า
“มานั่งข้างผมสิ” เขาบอกพลางตบมือลงบนเบาะนุ่มข้างตัว หญิงสาวมองตามพลางนิ่วหน้า ใครจะนั่งลงไปได้ เพราะถ้านั่งลงไปก็ต้องเบียดกับต้นขาของเขา ดังนั้น หญิงสาวจึงเลือกที่จะนั่งลงบนพื้นตามที่คุณฉัตรฉายบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันนั่งบนพื้นก็ได้” บอกพลางยอบตัวลงนั่ง ทว่าฉันท์ทัตเร็วกว่า เขาลุกขึ้นพร้อมกับคว้าท่อนแขนกลมกลึงของหญิงสาวแล้วรั้งร่างบางให้นั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันท่ามกลางสายตานึกไม่ถึงของทุกคนโดยเฉพาะมิ่งขวัญที่ทำอะไรแทบไม่ถูก
“ตาทัต!” คุณฉัตรฉายแหวเสียงสูงขณะที่มิ่งขวัญแข็งค้าง
“คุณ! ปล่อยฉัน…” พอรู้สึกตัวจึงรีบร้องบอก ใจกระตุกวาบเมื่อถูกชายแปลกหน้ากอดรัดเอวกิ่วของตนเอาไว้แน่น ลำตัวด้านข้างแนบไปกับอกแกร่งถนัดถนี่ จนไม่ทันได้สังเกตว่าคุณฉัตรฉายเรียกชายหนุ่มว่าอะไร
“หยุดทำบ้าๆ เดี๋ยวนี้นะ!!” คุณฉัตรฉายร้องขึ้นอย่างขัดใจ เช่นเดียวกับมัลลิกาที่มองมิ่งขวัญอยู่ ในขณะที่ทนายโกสุมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ ทำใจกับสภาพเหตุการณ์ตรงหน้าระหว่างแม่และลูกคู่นี้…
แต่แล้วเหตุการณ์ชุลมุนเล็กๆ ก็ต้องสะดุดลง เมื่อเจ้าของน้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในที่สุด
“เอาล่ะหยุดดิ้นเสียทีคุณมิ่งขวัญ!” น้ำเสียงห้าวทุ้มที่กร้าวขึ้นทำให้คนที่ดิ้นรนเพื่อออกจากอ้อมแขนของคนแปลกหน้าต้องหยุดชะงัก เช่นเดียวกับมารดาที่กำลังจะอ้าปากต้องหุบฉับ…
“ไหนลองแนะนำตัวคุณซิ ว่าเป็นใครมาจากไหน” คำถามของชายหนุ่มสร้างความมึนงงให้กับหญิงสาวมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อกวาดตามองไปทั่วห้องก็จำต้องตอบคำถามนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ความจริงพวกคุณรู้จักฉันกันทุกคนแล้วว่าฉันชื่อมิ่งขวัญ เป็นคนธรรมดาที่มาจากครอบครัวธรรมดาๆ คนหนึ่ง มาทำงานให้กับคุณฉันท์ทัต แค่นี้แหละค่ะ…” หญิงสบตาคนที่กอดหล่อนเอาไว้อย่างไม่ใคร่พอใจนัก และไม่ยอมปล่อยมือที่ดันอกกว้างของเขาเช่นเดียวกับที่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยแขนที่กอดเอวหล่อนไว้เช่นกัน
ฉันท์ทัตสบตาหญิงสาวยิ้มๆ พลางกวาดดวงตาไปทั่วดวงหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางทุกชนิดแล้วหยุดนิ่งที่ริมฝีปากสีเรื่อเป็นธรรมชาติด้วยแววตาพึงพอใจ ก่อนจะหันไปมองมารดาและทนายโกสุมพลางกล่าว
“ได้ยินชัดแล้วนะครับคุณแม่ ผู้หญิงคนนี้ชื่อมิ่งขวัญ เธอเป็น…”
เขากวาดตามองร่างระหงจนหญิงสาวร้อนวูบวาบก่อนบอกยิ้มๆ ว่า
“ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่กำลังจะมาทำงานให้กับผมโดยตรง หวังว่าทุกคนคงเข้าใจตรงกันนะครับ”
ลำพังคนอื่นไม่เท่าไร ทว่ามิ่งขวัญสิที่ต้องนั่งนิ่งตัวชาวาบเย็นเฉียบตลอดร่าง ดวงตาเบิกค้างมองคนที่กอดตนไว้อย่างนึกไม่ถึง แท้จริงแล้วเขาคือผู้ชายที่ยอมจ่ายเงินล่วงหน้าครึ่งหนึ่งให้ก่อนที่หล่อนจะทำงานให้กับเขาเสียอีก!
“สวัสดีคุณมิ่งขวัญ ยินดีที่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ… ตัวจริงคุณน่ารักกว่าในรูปตั้งเยอะ” เขาสบตากลมโตที่เบิกมองอย่างขบขัน ไม่มีทีท่าเดือดร้อนอะไรเลยสักนิด ต่างไปจากคุณฉัตรฉายที่หน้าร้อนผ่าวไม่อาจทนมองภาพนั้นได้อีกต่อไป จนต้องตะเบ็งเสียงขึ้นขัดจังหวะ
“พอได้แล้วตาทัต! ขอร้องอย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อนักเลย อย่างน้อยแกก็ควรจะเกรงใจคุณโกสุมบ้าง”
ชายหนุ่มหันไปมองมารดายิ้มๆ เขาเหลือบตาไปยังคนที่ยืนเป็นแบล็กกราวด์ด้านหลังมารดาแวบหนึ่งจนฝ่ายนั้นต้องหลบตา
“คุณแม่จะมาโทษผมได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อคุณแม่สั่งให้คนโทร.ตามคุณโกสุมมาที่นี่ อยากรู้ว่ามิ่งขวัญเป็นใครผมก็ทำให้รู้ แล้วทีนี้คุณแม่จะโวยวายให้ได้อะไรขึ้นมาอีกล่ะครับ”
“ตาทัต!” คุณฉัตรฉายตัวสั่นอยู่บนรถเข็น ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายค่อยๆ จางลง
“คุณต่าย พาคุณแม่ไปพักผ่อนได้แล้ว”
มัลลิกาไม่รอช้ารีบขยับรถเข็นเตรียมพาคุณฉัตรฉายกลับตามคำสั่ง ทว่าคนเจ้าอารมณ์กลับยกมือขึ้นห้ามเอาไว้…
“ฉันยังไม่ไปตราบใดที่ยังคุยไม่รู้เรื่อง!” ดวงตาคมกริบสองคู่สบกันนิ่ง ทั้งดื้อดึงและท้าทายเหมือนกันไม่มีผิด แต่แล้วในที่สุดย่อมต้องมีคนหนึ่งที่เสียสละเป็นฝ่ายยอม...
“ตกลงครับ คุณแม่อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเสียให้หมด ผมจะได้พักผ่อนเสียที” คำตอบเหมือนรำคาญของชายหนุ่มทำให้มารดาต้องเม้มปาก ก่อนตวัดสายตาไปยังร่างเล็กของมิ่งขวัญแล้วมองด้วยสายตารังเกียจ…
“แม่ไม่อยากให้แกเอาผู้หญิงคนนี้มาอยู่ในบ้านของเรา แกจะเอาใครที่ไหนแม่ไม่เคยว่า แต่ขออย่างเดียวอย่าเอามาอยู่ในบ้าน เพราะที่นี่คือที่พักอาศัยสำหรับผู้ที่มีเกียรติและคนในตระกูล อภิลักษณ์เท่านั้น ไม่ใช่โรงแรมที่จะเปิดให้ผู้หญิงจับฉ่ายที่ไหนก็ไม่รู้เข้าๆ ออกๆ แบบนี้!”
ใช่เพียงมิ่งขวัญที่หน้าแดงก่ำไปกับคำผรุสวาทของคุณ ฉัตรฉาย ทว่าทนายโกสุมเองยังนิ่งอึ้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งฉันท์ทัตที่มีสีหน้าเข้มจัดเมื่อมารดากล่าวอย่างไม่ไว้หน้า…
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอลา” เขากล่าวพลางรั้งมิ่งขวัญให้ลุกขึ้นยืน
“นั่นแกจะไปไหน” คุณฉัตรฉายผวาตามจนมัลลิกาต้องรีบจับเอาไว้เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะตกจากรถเข็น ทนายโกสุมเองก็ต้องผ่อนลมหายใจยาวกับสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะบานปลาย
“คุณแม่ทราบดี ว่าถ้าคุณแม่ไล่คนของผมออกจากบ้าน ก็เหมือนกับไล่ผมออกไปด้วย เพราะที่นี่คุณแม่เป็นใหญ่ ไม่ใช่ผม! มิ่งขวัญ ไปเก็บข้าวของ เราจะออกไปอยู่ที่อื่นกัน!”
เขาผลักหญิงสาวออกห่าง และมิ่งขวัญก็ไม่คิดจะอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป หญิงสาวเดินแกมวิ่งกลับไปยังห้องพักของตนทันที ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก มือเล็กกำแน่น และในที่สุดก็ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากลงเมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องตามลำพัง ขังตัวเองไว้กับความเจ็บแค้นแน่นทรวง…