หลังจากที่ปะทะอารมณ์เสร็จ ภพก็รีบพาพรีมออกจากบ้านทันที ระหว่างทางทั้งสองเอาแต่นิ่งเงียบไม่มีใครเอ่ยปากคุยกันสักคำ
“ลงไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องคิดมาก”
รถหรูสีขาวจอดหน้าคอนโดทว่าร่างบางกลับไม่มีท่าทีจะลงจากรถ ฝ่ามืออุ่นเลื่อนไปลูบผมของน้องสาวตัวเองเบา ๆ อย่างถนุถนอม
“บางที...พรีมอาจจะไม่เหมาะกับงานในวงการบันเทิงอย่างที่พ่อพูดก็ได้”
“.....”
“หรือพรีมจะลาวงการแล้วมาช่วยงานพี่ดี”
“จิ๊บ”
สิ้นเสียงหวานก็หันดุน้องสาวด้วยสายตาทันที เพราะเขารู้ว่าพรีมรักงานในวงการมากแค่ไหนหากสิ่งใดที่น้องสาวคนนี้ทำแล้วไม่มีความสุขพี่ชายอย่างภพไม่เคยสนับสนุน
“.....”
“ลงไปได้แล้ว วันหลังถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก นี่ถ้าพี่ภูมิรู้เข้าคงได้โดนบ่นจนหูชาแน่”
“ว่าแต่...พี่รู้ได้ยังไงหรอว่าพรีมอยู่ที่นั้น”
“มีเรื่องแบบนี้ทีไร เธอก็ไปอาละวาดที่บ้านตลอด”
“นั้นสิ ทำไมพรีมต้องกลับไปที่นั้นตลอดด้วย”
“ลงไปได้แล้ว พรุ่งนี้แถลงข่าวก็เอาให้มันเคลียร์ ๆ ไปเลย”
“รู้แล้วน้า”
“มีอะไรก็โทรหาด้วย อย่าเงียบหายเหมือนวันนี้”
“ไม่ได้หายสักหน่อย พรีมแค่ไม่มีเวลา”
พรีมย่นจมูกใส่พี่ชายตัวเองก่อนจะเปิดประตูลงจากรถทันที
“ถ้าแม่ยังอยู่เราสามคนพี่น้องคงจะได้อยู่บ้านหลังนั้นอยู่ใช่ไหม” พรีมคิดถามตัวเองแบบนั้นอยู่ซ้ำ ๆ จนอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องเธอถึงต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นด้วย บ้านที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด บ้านที่เคยมีแต่ความสุขตอนนี้กลับกลายเป็นนรก บ้านที่เธอเฝ้าบอกตัวเองว่าจะไม่ไปเหยียบแต่ทำไมทุกครั้งที่มีปัญหาถึงต้องไปโผล่อยู่ที่นั้นราวกับคนไร้สติ รู้ตัวอีกทีก็ไปโผล่อยู่นั้นแล้ว เหมือนกับวันนี้...
หรืออาจจะเป็นเพราะความเคยชินตั้งแต่เด็ก ที่กลับบ้านทีไรจิตใจเธอก็ดีขึ้นหรืออาจจะเป็นเพราะอยากจะไปเห็นกับตาว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันไม่แย่เท่าบ้านหลังนี้เลยด้วยซ้ำ ทว่าเป็นเพราะเธอยังรักและผูกพันธ์กับบ้านหลังนี้อยู่ถึงแม้ภายในใจจะบอกว่าเกลียดมันมากก็ตาม
--วันต่อมา—
“ขอบคุณพี่สื่อมวลชนทุกท่านนะคะ ที่ให้ความสนใจและให้โอกาสเราได้พูดในวันนี้หวังว่าการออกมาพูดในครั้งนี้ของน้องพรีมจะไม่ทำให้พี่ ๆ ทุกคนผิดหวังนะคะ ขอตัวนะคะ ขอบคุณค่ะ”
หมีพูร์ผู้จัดการส่วนตัวเอ่ยปิดท้ายการแถลงข่าว กล่าวขอบคุณทุกคนด้วยรอยยิ้มก่อนจะรีบพาพรีมออกจากตรงนั้นทันที
@ห้องรับรอง
หลังจากที่แถลงข่าวเสร็จผู้จัดการส่วนตัวก็พาพรีมเข้ามาพักที่ห้องรับรองทันที ทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาราวกับยกภูเขาออกจากอก
“ต่อไปนี้ทำอะไรก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน เธอก็รู้ว่าพ่อเธอไม่จบง่าย ๆ แน่”
ผู้จัดการส่วนตัวกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง เขารู้เบื้องหลังของข่าวนี้ดี ใจจริงก็อยากจะแจ้งความเอาผิดคนปล่อยข่าวแต่ทว่ากลับไม่มีหลักฐานเลยสักชิ้นอีกทั้งหากทำพลาดคนที่เดือนร้อนที่สุดก็คือพรีม การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คงอยู่เงียบ ๆ และคอยแก้ข่าวแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
“....”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโด เธอก็พักผ่อนสะ พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายแบบปกนิตยสาร S”
“ไม่เป็นไร พรีมกลับเองได้ พี่หมีพูร์กลับไปพักเถอะค่ะ พี่เรียงบทสัมภาษณ์มาทั้งคืน”
เธอว่าแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้ผู้จัดการได้ทักท้วง ถึงแม้ในวงการจะรู้จักหมีพูร์ในนามผู้จัดการส่วนตัว แต่สำหรับพรีมแล้ว...เธอคือคนในครอบครัวอีกคนหนึ่ง ที่อดทนกัดฟันผ่านช่วงเวลาร้าย ๆ มาด้วยกัน หากไม่มีหมีพูร์คงจะไม่มี พรีม พิมพิษา กนิษฐานันท์
เอี๊ยดดดด!!!!
เสียงล้อรถหรูเบียดกับพื้นรถเมื่อคนขับเอาแต่ใจลอยจนลืมสังเกตว่ามีคนกำลังจะข้ามถนน หญิงสาวจับพวงมาลัยแน่นหัวใจตกลงไปอยู่ตาตุ่ม เนื้อตัวของเธอเปียกชื้น อุณหภูมิในร่างกายเธอสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับฟ้ารังแกให้เจอแต่เรื่องแย่ ๆ พึ่งจะเคลียร์ข่าวเกาเหลาไปหมาด ๆ ยังมาเจออุบัติเหตุอีก
“คุณ เป็นอะไรรึเปล่าคะ???” ถึงแม้จะกลัวแต่ก็ตัดสินใจเดินลงจากรถถามไถ่คู่กรณีอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“แม่ง!”
คนที่พึ่งล้มไปกับพื้นสบทออกมาอย่างไม่สบอารมณ์พรางตวัดหางตาเงยขึ้นมองหญิงสาวที่ยืนตรงหน้าอยู่ด้วยใจหวาดหวั่น แววตาของชายคนนี้เหมือนมีป้ายติดไว้ว่าเขาคนนี้ไม่ควรสร้างมิตร
“เอ่ออ....คือ ฉะ...ฉันช่วยค่ะ” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าพยายามตะเกียดตะกายดันตัวเองให้ลุกขึ้น จึงอาสาเข้าไปช่วย แต่ทว่ากลับโดนปฏิเสธ เขาผลักเธออย่างแรงจนเซไปข้างหลัง
“ขับรถไม่มีตาดูรึไง!”
“ก็ฉันเห็นว่ามันเป็นไฟเขียว ใครจะไปคิดว่าคุณจะเดินออกมา คุณนั้นแหละ ไม่ดูรถรึไง”
“ไฟเขียวคนข้ามถนน จะไม่ให้ฉันเดินได้ไง!!!”
“.....”
หญิงสาวที่พยายามเถียงกลับหน้าซีดเป็นไก่ต้มเมื่อเงยขึ้นมองสัญญาณจารจร เป็นไฟเขียวก็จริงแต่มันสำหรับคนเดินข้ามถนน
“ซวยชิบหาย! สืบพยานไม่ได้เรื่องแถมยังต้องมาเจ็บตัวเพราะคนพวกนี้อีก” เขาบ่นให้เธอได้ยิน
“ฉันขอโทษ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“ไม่จำเป็น”
“ฉันอยากรับผิดชอบค่ะ”
“ฉันไม่ต้องการ”
“...ฉันช่วยค่ะ”
ไม่ฟังอะไร ถึงแม้ชายตรงหน้าจะปฏิเสธหัวชนฝาเธอก็ยังอยากรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ด้วยนิสัยของเธอเป็นคนที่ค่อนข้างหัวรั้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ร่างบางจึงเดินเข้าไปแทรกตัวจับแขนของชายตัวสูงพาดไหล่ตัวเองเพราะดูเหมือนขาของเขาจะเจ็บไม่น้อย
“ฉันชื่อพรีม คุณชื่ออะไรหรอ?”
“....”
ไร้ซึ่งคำตอบ พรีมเงยขึ้นมองชายหนุ่ม ดวงตาที่เธอมองเขามันไร้เดียงสาต่างจากอีกฝ่ายที่มองเธอด้วยสายตานิ่งเรียบ ไม่มีความรู้สึกถึงแม้ว่าภายใต้จิตใจของเขากำลังด่าเธอก็ตาม
“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่อย่าเอาเรื่องฉันเลยนะคะ ฉันจะรับผิดชอบคุณอย่างเต็มที่ ขอร้องละ” เธอทำหน้าตาออดอ้อนชายหนุ่มอย่างน่าสงสาร เพราะกลัวว่าเขาจะเอาเรื่องจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ดูเหมือนเขาเป็นคนไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่
“คาลวิน”
“???”
“ชื่อฉัน คาลวิน”