“บางทีอาจจะเป็นเหมือนที่พรีมเคยพูดตอนนั้นก็ได้”
ฉันเดินถือน้ำในมือมาหาพี่ชายทั้งสองที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งเครียด พี่ภูมิหันมามองฉันด้วยความสงสัยกับสิ่งที่ฉันเพิ่งบอกไป
“เธอหมายความว่ายังไง”
“พวกนั้นอาจจะมีเส้นสายใหญ่โต ในบริษัทก็ได้ ถ้าลองมาคิดดูดี ๆ ลำพังวางแผนกันแค่สามคนไม่น่ารอดมาได้ขนาดนี้หรอก”
ฉันอธิบายตามข้อสงสัยที่สังเกตมาตลอด ใช่ ตอนนี้เราสามคนกำลังคุยกับเรื่องบริษัท เนื่องจากพี่ภูมิกับพี่ภพตรวจพบว่ามีการยักยอกเงินในบริษัทไปหลายสิบล้าน ซึ่งเรื่องนี้ก็ติดตามด้วยตัวเองมาด้วยตลอดแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบตัวต้นเหตุมีเพียงแค่ผู้ต้องสงสัยที่ดูเหมือนพี่ชายทั้งสองของฉันจะสงสัยคนไปทั่วบริษัทแล้ว ไม่เว้นแต่พี่น้องของตัวเอง
“มันก็จริง แต่น่าแปลกที่ฝ่ายตรวจสอบกลับปล่อยตัวเลขงบให้พ้นตาไปอย่างง่ายดาย”
พี่ภูมิเอ่ยพรางเหลือบตามองพี่ภพที่เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายตรวจสอบ
“เอ้า!! พูดแบบนี้ได้ไง พี่จะโทษผมคนเดียวได้ไง ชิ!”
“หรือมันไม่จริง แกทำงานไม่รอบคอบ”
“เอกสารที่ส่งมาผมมั่นใจว่าอ่านละเอียดแต่มันไม่มีจุดผิดสังเกตเลยสักนิด! อีกอย่าง...พี่อย่าพึ่งมาโทษกันเองเลย ผมไม่ทำให้บริษัทที่แม่สร้างมาล้มละลายไปกับมือหรอก”
“เอาเถอะ ๆ อย่าพึ่งมาจับผิดกันเลยค่ะ จากงบที่พวกพี่ให้พรีมดูมาตลอด หากไม่สังเกตดี ๆ ก็คงไม่มีอะไรน่าแปลก แต่ว่ามันน่าแปลกที่ไอ้พวกเหล่าวัชพืชนั้นทำงานสายเดียวกันหมดเลย ซึ่งเป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรอที่ทั้งสามคนจะร่วมมือกัน”
“เธอกำลังจะบอกว่า...กอไม้ กอไผ่ และกอหญ้า คือคนที่น่าสงสัยที่สุดงั้นหรอ”
“ก็ไม่เชิง พี่ลองคิดดูสิคะ กอไม้เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายบริหาร ซึ่งเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกแผนก กอไผ่เป็นผู้อำนวยการอยู่ฝ่ายนิติ ดูแลเรื่องกฎหมาย ทุกครั้งที่พี่ยืนฟ้องให้ฝ่ายนิติตรวจสอบแต่กลับไม่มีอะไรคืบหน้าเลย และกอหญ้า...เธอคือคนจัดการทุกอย่าง งานสายตรงแบบเธอทำทุกอย่างได้สบายอยู่แล้ว ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีแบบเธอแค่เปลี่ยนตัวเลขในงบก็จบ” ฉันอธิบายให้พี่ภูมิและพี่ภพฟังอีกครั้ง เพราะสามคนนี้คือคนที่น่าสงสัยที่สุด (ก็ไม่ได้อคติเท่าไหร่หรอก) ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ทำงานในบริษัทแต่ก็รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะพี่ชายสองคนนี้มาเล่าให้ฟังและจากที่สังเกตมาทุกครั้ง สามคนนี้คือผู้ต้องสงสัยหลัก
“แถมเธอยังสนิทกับผู้จัดการฝ่ายการเงินอีกด้วย” พี่ภพพูดทันทีเมื่อนึกขึ้นได้
“แกรู้ได้ไง??”
“เมื่อไม่นานนี้ผมเห็นญ่าออกไปข้างนอกด้วยกันค่อนข้างบ่อย”
“ถ้าหากทั้งสามคนนั้นสนิทกับคณะกรรมการอาวุโสของบริษัทจริง...ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกพี่หาหลักฐานการทุจริตไม่เจอ”
ว่าแค่นั้นฉันก็เดินไปหยิบไอแพดตัวเองแล้วเข้าเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อดูข้อมูลงบการเงินของไตรมาสนี้ที่พึ่งสรุปยอดไปหมาด ๆ โดยใช้ยูสเซอร์และพาสเวิร์ดของพี่ภูมิที่สามารถเข้าถึงทุกระบบในบริษัท จากนั้นก็เปิดดูรายการสั่งซื้อที่น่าสงสัย
“ถ้าเทียบกันแบบผ่าน ๆ เลยคือ...งบประมาณที่บริษัทตั้งไว้ใช้หมดทุกปี และทุก ๆ ปี มีการจัดสรรงบที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับได้วัสดุที่สั่งซื้อในปริมาณที่น้อยกว่าที่คาดไว้มาก ๆ ในรายงานระบุไว้ว่าราคาวัสดุแพงขึ้นทุกปี...แต่ถ้าลองไปดูราคาตลาดโลกแล้วกลับมีราคาที่ต่ำกว่าในงบที่ปรากฏ”
เป้าะ!!
เสียงดีดนิ้วของพี่ภูมิดังขึ้นเมื่อฟังสิ่งที่ฉันพูดจบ เขารีบแย่งไอแพดออกจากมือฉันแล้วเลื่อนไปดูรายงานงบไปมาเพื่อเปรียบเทียบ ถามว่าฉันรู้เรื่องพวกนี้ได้ไง ถึงแม้ฉันจะเป็นดาราแต่ฉันเรียนคณะบริหารธุรกิจ สาขาบัญชี เรื่องดูงบอะไรพวกนี้ฉันต้องดูเป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าพี่ทั้งสองของฉันไม่เก่งนะ แต่พวกพี่ ๆ อาจจะถนัดการมองหาปัญหาใหญ่ ๆ เสียมากกว่าที่จะสงสัยความผิดปกติในจุดเล็กน้อย ๆ พอเห็นว่าเงินหายไปหลายล้านก็คงคิดว่ามันต้องทำด้วยการใหญ่ แต่หารู้ไม่ ข้อผิดพลาดจากจุดเล็ก ๆ นี่แหละที่สามารถโกงได้นานมารู้ตัวอีกทีก็โกบเงินไปหลายล้านแล้ว
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตรวจไม่เจอ ตัวเลขในงบตรงกันทุกตัวสินะ”
“พรีมว่า...เราควรเปลี่ยนคณะตรวจสอบภายในใหม่” ฉันหันไปบอกพี่ภพทันที เพราะนี่คือสายงานของพี่ภพโดยตรง
“พี่เปลี่ยนทุกปีนะ แต่...ทุกปีที่หามาก็เหมือนจะอยู่กับไอ้ไม้หมด” พี่ภพว่าพรางไหวไหล่ไปทีอย่างช่วยไม่ได้
“ลองเปิดสัมภาษณ์โดยไม่ให้ไอ้กอไม้เข้าร่วมดูสิ บางทีพวกมันอาจจะอาศัยทีเผลอแอบไปคุยกับพวกตรวจสอบหน้าใหม่แล้วเอาเงินให้ใต้โต๊ะเป็นสองเท่าก็ได้”
“อื้มม....ถึงมันจะเป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่แปลว่าจะเป็นไปได้” พี่ภพว่าก่อนจะเอนการพิงพนักโซฟายกขาขึ้นไขว้อย่างวางมาด
“อีกอย่าง...เวลาประชุมใหญ่พี่ก็อย่าพึ่งเอาเรื่องนี้ไปพูด ถึงพูดไปเราก็ไม่มีหลักฐานหรอก ทำเหมือนกับว่าลืมเรื่องนี้ไปก่อนเถอะ เพื่อให้พวกนั้นตายใจ” ฉันหันไปบอกพี่ภูมิ
“เห็นไหม ผมบอกแล้วอย่าเอาไปพูด พี่เข้าประชุมทีไรก็เอาแต่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ก็ฉันร้อนใจนิวะ เงินบริษัทหายไปไม่ใช่น้อย ๆ นะเว้ยยย”
“ผมมีอีกอย่างที่สงสัย...ถ้าเป็นไอ้สามคนนั้นจริง ทำไมทุกครั้งที่เราวางแผนจี้ไปที่พวกมัน เราถึงจับมันแบไตไม่ได้...”
“นั้นแหละคือสิ่งที่พรีมกำลังจะพูด”
ฉันลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกค์ตัวจิ๋วที่เก็บไว้ในลิ้นชัก ออกมาวางให้พี่ชายทั้งสองได้ดู ซึ่งดูเหมือนทั้งสองเองก็งงว่าฉันกำลังสื่อความหมายอะไรอยู่
“นี่คือเครื่องดักฟัง พรีมเจอมันอยู่ที่รถของพรีมเอง”
“!!!”
“มันไปอยู่ที่รถพรีมได้ยังไง ในเมื่อพรีมไม่เคยใช้อุปกรณ์พวกนี้”
“เธอกำลังจะบอกว่า…”
“พรีมก็แค่สงสัย...มันน่าแปลกตรงที่ว่า ในห้องทำงานของไอ้กอไผ่ที่บ้าน มีเครื่องดักฟังลักษณะแบบนี้ที่มันเก็บไว้เป็นลัง”
“เธอรู้ได้ไงว่าไอ้ไผ่มันมี?” พี่ภูมิรีบถามอย่างสงสัย
“พรีมเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง แถมยังเจอจอมอนิเตอร์กล้องวงจรปิดภายในบ้านทุกตัว ซึ่งความจริงแล้วของพวกนี้ควรอยู่ที่ชั้นใต้ดินไม่ใช่หรอ ทำไม...ทำไมถึงได้ไปอยู่ที่ห้องไอ้กอที่ 2 ได้ละ” กอที่ 2 ที่ฉันหมายถึงก็คือ กอไผ่นั้นแหละ เพราะเป็นพี่คนกลางไง
“ให้ตาย!!”
“ถ้ามันสามารถติดเครื่องดักฟังนี้ไว้ในรถของพรีมได้ พวกพี่ก็คงไม่รอด นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ว่า...เราไม่เคยไล่ตามพวกมันทันก็ได้” เพราะพวกมันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรายังไงละ
“ถึงแม้มันจะดูเหมือนละคร แต่ฉันก็แอบคิดว่ามันก็มีความเป็นไปได้สูง”
“มันสามารถเจาะเข้าระบบวงจรปิดในบ้านเราได้....ระบบในบริษัทก็ไม่เป็นเรื่องยาก”
“ก็แหง่สิ มันเรียนจบวิศวะคอมมานิ เรื่องแฮงค์ระบบมันต้องชำนาญออยู่แล้ว” พี่ภูมิพูด
“ยังไงก็เถอะ เราต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน อีกอย่าง...พี่ก็อย่าพึ่งเอาเรื่องนี้ไปพูดในที่ประชุมละ ผมละปวดหัวจะตามพี่เต็มที ทั้งในห้องประชุมมีแต่ผมเนี่ยแหละที่เข้าข้างพี่” พี่ภพกรอกตามองบนใส่พี่ภูมิ
“เอ้อ ๆ ” พี่ภูมิตอบอย่างรำคาญใจ เมื่อถูกย้ำจากน้องชาย
“แล้วเธอเถอะ เป็นไงบ้าง?” ก่อนจะหันมาถามฉันด้วยสายตาและท่าทางเป็นห่วง
“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ แย่ลงเรื่อย ๆ ”
“พ่อยังสร้างข่าวอีกหรอวะ” ดูเหมือนพี่ภพจะเป็นฝ่ายที่หัวร้อนกว่าใคร ๆ ในที่นี้
“มันก็มีมาเรื่อย ๆ แหละ ทางบริษัทก็ปิดข่าวไว้ พี่หมีพูร์เลยรับงานให้พรีมค่อนข้างน้อย”
“มิน่าละ ถึงได้มีเวลามาคุยกับพวกพี่ขนาดนี้”
“แล้วคราวนี้ข่าวอะไรละM” พี่ภูมิถามอีกครั้ง
“ข..ขายตัว”
“ห้ะ!! / ห้ะ!! WTF!”
ทั้งสองอุทานด้วยความตกใจ ใช่แล้ว ฟังกันไม่ผิดหรอก พ่อฉันปล่อยข่าวว่าฉันเป็นผู้หญิงขายตัว หึ! น่าเจ็บใจไหมละ ลูกของตัวเองแท้ ๆ แต่กลับทำร้ายกันได้ลงคอ แค่นั้นยังไม่พอ ส่งข้อความมาย้ำฉันด้วย
‘ข่าวขายตัวแบบนี้ มันก็เหมาะสำหรับอาชีพเต้นกินรำกินแบบแกดีนิ ฉันจะไม่ยอมเลิก จนกว่าแกจะกลับมาทำงานให้บริษัท!!’
ต้องเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่ไหนถึงจะสร้างข่าวทำลายลูกสาวตัวเองได้ลงคอขนาดนี้ เกลียดที่สุด! เกลียดพ่อตัวเองมันบาป อันนี้ฉันเข้าใจ...แล้วที่เขาทำกับฉันมันเหมือนลูกตรงไหนหรอ? ทำไมฉันจะเกลียดเขาไม่ได้