“น้องพรีมคะ” พี่หญิงคนดีคนเดิมเดินเข้ามาพร้อมกับสะกิดแขนเรียวเบา ๆ ก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วโน้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “ท่านประธานให้มาแจ้งว่าต่อไปนี้น้องพรีมต้องขึ้นไปทำงานที่ชั้นนั้นค่ะ”
“คะ? คุณคาริบน่ะเหรอคะ” สาวน้อยหันไปขมวดคิ้วใส่รุ่นพี่ขณะจัดชุดเอกสารไปด้วย
“ใช่ค่ะ แต่คนที่สั่งจริง ๆ น่าจะเป็นคนที่อยู่ชั้นนั้นมากกว่า”
“หมายความว่าให้พรีมขึ้นไปทำงานที่ชั้นนั้นเหรอคะ” คนอายุน้อยกระซิบกลับ ชั้นนั้น ไม่ต้องเอ่ยตรง ๆ ก็คงรู้ว่าชั้นไหน พี่หญิงเองก็คงรู้อะไรมาบ้างเลยไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ
“ใช่ค่ะ ตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ”
“เดี๋ยวพรีมถ่ายเอกสารกองนี้เสร็จแล้วค่อยขึ้นไปได้ไหมคะ”
“เดี๋ยวพี่หญิงจัดการที่เหลือเองค่ะ น้องพรีมรีบขึ้นไปเถอะ” รุ่นพี่รีบแย่งเอกสารในมือสาวน้อยไปจัดแจงเองก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างเมื่อนึกขึ้นได้ “ว่าแต่วันนั้นน้องพรีมไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ พี่หญิงลืมบอกว่าชั้นนั้นห้ามคนที่ไม่ได้รับอนุญาตขึ้นไป พี่ขอโทษนะคะ พี่ลืมจริง ๆ”
“อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ พี่หญิงไม่ต้องกังวลนะคะ” คนตาแป๋วไม่ได้ตอบความจริง ขืนบอกว่าเธอเกือบโดนยิง พี่หญิงคงหัวใจวายพอดี “แล้วปกติชั้นนั้นเคยมีเด็กฝึกงานขึ้นไปทำงานไหมคะ”
“นี่ครั้งแรกเลยค่ะที่มีเด็กฝึกงานขึ้นไป แล้วก็เป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงคนอื่นนอกจากพี่หญิงขึ้นไปด้วย ไม่นับผู้หญิงที่ถูกเรียกมาแบบส่วนตัวนะคะ” ประโยคสุดท้ายไม่ต้องอธิบายมากก็เข้าใจ
“น้องพรีมรีบไปได้แล้วค่ะ” คนอายุมากกว่าดันแผ่นหลังรุ่นน้องให้รีบไป แม้ในใจจะอยากถามหลายอย่างแต่ก็อุบไว้ การที่เธอได้ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาและรักษาตำแหน่งไว้ได้นานเกือบสิบปี แถมยังเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้ทำงานใกล้ชิดประธานและเจ้านายตัวจริง ทำให้รู้ว่าควรรู้ในสิ่งที่นายอยากให้รู้ ควรเห็นในสิ่งที่นายอยากให้เห็น และควรพูดในสิ่งที่นายอยากฟัง
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกมั้ง โปรไฟล์น้องพรีมก็ไม่ธรรมดา แถมยังถือหุ้นโรงแรมร่วมกัน น้องมันคงปลอดภัยแหละ” ว่าแล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
ติ๊ง!
บานประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับร่างอรชรในชุดนักศึกษารัดรูปเดินสะพายกระเป๋าออกมา สิ่งหนึ่งที่สโรชาสัมผัสได้คือบรรยากาศในชั้นยังเงียบสงบเหมือนเดิม ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือวันนี้ไม่มีใครเอาปืนมาจ่อหัวเธอ
เสียงรองเท้าส้นเข็มสีดำดังกระทบพื้นมันวาวตามจังหวะเยื้องย่าง ร่างน้อยเดินผ่านหน้าบอดี้การ์ดหนวดเฟิ้มนับสิบที่ยืนนิ่งไม่กระดิก และไม่สนใจเธอนับตั้งแต่ก้าวขาออกจากลิฟต์ เหลือบมองแต่ละคนที่เดินผ่านหากบอกว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งเอามาตั้งไว้ก็คงเชื่อ
“ก็นะ เจ้าชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์บ่อน้ำมันที่รั้งตำแหน่งเจ้าผู้ครองรัฐ คงไม่จ้างคนธรรมดามาเป็นบอดี้การ์ดหรอก” เสียงแผ่วพึมพำก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่เคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะยกมือเคาะ บานประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออกราวกับรู้ว่าเธอมาถึงแล้ว
“ท่านอาซิซบอกให้รีบเข้าไปครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มที่เปิดประตูออกเอ่ยขึ้นพร้อมผายมือเข้าไปด้านใน ขณะที่สโรชาเดินเข้าไป เขาและเพื่อนอีกคนที่เคยยืนประจำอยู่ก็ออกมาและปิดประตูลง
“สวัสดีค่ะ กลับมาเร็วจังเลยนะคะ” เรียวปากสวยเอ่ยทักทายร่างกำยำที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวพันรอบเอวไว้ เจ้าของห้องนั่งอ้าขาโชว์หน้าแข้งอยู่โซฟา ดูจากหยดน้ำที่ไหลลงมาตามกรอบหน้าและกลิ่นสบู่ที่ยังฟุ้งอยู่ก็พอจะรู้ว่าเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“อยากให้ฉันมาช้ากว่านี้หรือไง” ดวงตาคมหันไปมองร่างน้อยที่เสตามองไปทางอื่นเมื่อถูกจับได้ “ต่อไปที่ประจำของเธอคือตรงนั้น” ใบหน้าคมพยักพเยิดไปทางมุมหนึ่งของห้องที่มีโต๊ะทำงานตัวใหม่ตั้งอยู่
“แล้วให้ฉันมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ เท่าที่รู้มา ท่านประธานเป็นคนทำงานแทนคุณทุกอย่าง คุณไม่น่าจะมีอะไรให้ฉันช่วยนะ” หนึ่งสัปดาห์ที่เขาไม่อยู่ หลังจากเธอรับรู้ถึงตัวตนของเขาก็ได้เริ่มค้นหาข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ เลยได้รู้ว่าคาริบคือร่างอวตารของอาซิซ ท่านประธานคนนั้นทำหน้าที่แทนท่านชีคคนนี้ทุกอย่าง
“มีอยู่อย่างหนึ่งที่คาริบทำแทนฉันไม่ได้” เสียงทุ้มว่าพลางตบหน้าขาตัวเองแล้วกระตุกยิ้มเบา ๆ “มานี่สิ ฉันจะบอกว่าอะไร”
“…” ดวงหน้าน้อยร้อนผ่าว เนื้อตัวชาวาบเมื่อจู่ ๆ ภาพจำเมื่อครั้งที่เขารุกล้ำพื้นที่สงวนผุดขึ้นมาในหัว ทั้งความรู้สึกวาบหวามวันนั้นก็ยากจะลืมเลือน
“เร็วสิ ทำให้ฉันรู้ว่าการเทคโอเวอร์ครั้งนี้มันได้กำไรไม่ใช่ขาดทุน” ชีคหนุ่มโน้มไปเปิดกล่องไม้สีดำที่หุ้มด้วยหนังตัดราคาแพงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า หยิบซิการ์มวนใหญ่มีโลโก้สีทองติดอยู่ตรงปลายออกมาจุดแล้วคาบเอาไว้ ก่อนจะไล่ตามองร่างอรชรเบื้องหน้าที่ค่อย ๆ วางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วก้าวเข้ามาหาอย่างช้า ๆ สีหน้าเป็นกังวลของสโรชาในเวลานี้กระตุ้นต่อมปรารถนาของปีศาจกลางหว่างขาจนเริ่มปวดตุบ ๆ
ฟู่วว~
กลีบปากหนาพ่นควันสีขาวออกมาจนคนที่เพิ่งหย่อนก้นลงบนหน้าขาแกร่งต้องย่นคิ้วเพราะไม่ชอบกลิ่น
“แล้วชั่วโมงฝึกงานกับเอกสารรับรองล่ะคะ ฝ่ายบุคคลของที่นี่จะเขียนให้ยังไงคะ” เสียงแผ่วเอ่ยถามขณะจ้องมองกลีบปากหนาที่พ่นควันซิการ์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“คาริบจะจัดการให้ เธอแค่ทำตามสัญญาก็พอ” มือข้างหนึ่งดึงซิการ์ออกจากปาก ส่วนมืออีกข้างรั้งท้ายทอยบางเข้าไปหาพร้อมกับทาบจูบหนัก ๆ ลงโดยไม่ให้เวลาคนบนตักตั้งตัว
“อื้อ!” มือเรียวดันแผงอกเปลือยเปล่าเอาไว้ด้วยความตกใจ รสจูบหนัก ๆ ที่กระแทกริมฝีปากเธอมาพร้อมกับกลิ่นฉุนของซิการ์ทำให้หายใจไม่ออก แรงขบเม้มของกลีบปากร้อนเอาแต่ใจจนสโรชาต้องเผยอปากออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ และต้องก็สะดุ้งเมื่อลิ้นสากหยาบโลนดุนดันเข้ามาในโพรงปาก กลิ่นซิการ์ราคาที่ได้จากเขาทำสาวน้อยใจสั่นราวกับว่าเธอเป็นคนสูบมันเอง
“อืมม” เสียงคลอเบา ๆ ดังขึ้นในลำคอหนา ลูกกระเดือกก้อนใหญ่เคลื่อนขึ้นลงตามจังหวะกลืนน้ำลาย เมื่อกลีบปากหนาดูดดึงลิ้นเรียวครั้งแล้วครั้งเล่า ความหอมหวานจากโพรงปากสาวทำให้อารมณ์กระสันของชีคหนุ่มเพิ่มมากขึ้น มือใหญ่วางซิการ์ไว้บนแท่นหินอ่อนขนาดเล็กข้างกล่อง แล้วบีบเคล้นเนินเนื้ออวบอิ่มที่ล้นทะลักจนกระดุมเสื้อนักศึกษาปริ ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็รั้งท้ายทอยไว้แน่นไม่ยอมให้ดวงหน้าน้อยหันหนี
“อื้อ!” เสียงร้องท้วงดังขึ้นในลำคอบางเมื่อรสจูบหนักหน่วงกำลังช่วงชิงลมหายใจไป สโรชากลั้นใจแล้วกัดเข้าที่กลีบปากหนาแรง ๆ จนร่างใหญ่ผงะ
“หะ หายใจไม่ออก” เสียงหอบดังขึ้นทันทีที่ชีคหนุ่มผละออกจากจูบ หากไม่ทำแบบนี้คนที่ตายคงเป็นเธอ
“มันเจ็บนะ” เสียงดุเอ่ยพร้อมจ้องมองดวงหน้าน้อยตาเขม็ง
“ก็คุณไม่ให้ฉันพักหายใจนี่คะ” ว่าเขาพลางเม้มปากตัวเองแน่น พลันนั้นเอง กลิ่นคาวคลุ้งก็โชยเข้าจมูก พอเห็นคนตรงหน้าเลียริมฝีปากตัวเองเท่านั้นแหละ ดวงตากลมก็เบิกกว้างขึ้นทันที “เลือด…”
อือ เขาปากแตก!
“เธอเห็นเลือดฉันแล้ว คราวนี้ให้ฉันเห็นเลือดเธอบ้างสิ สโรชา”
“...”