“แกไหวปะเนี่ย” โยธกามองหน้าเพื่อนรักที่ยังนอนคลุมโปงอยู่บนเตียงในห้องของเธอด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อคืนสโรชามาหาโดยไม่บอกกล่าว แถมยังขอค้างคืนที่นี่อีก
“ขอนอนต่ออีกแป๊บ” เสียงอู้อี้บอกเพื่อนทั้งที่ตายังหลับอยู่
“นอนต่ออะไรยะ แกไม่ไปทำงานหรือไง” เสียงแหลมว่าให้เพื่อนพลางยืนเท้าสะเอวมองคนที่นอนคลุมโปงอยู่ เมื่อคืนเธอไม่ได้ถามว่าทำไมสโรชาถึงมาค้างที่นี่เพราะดูจากสภาพเพื่อนที่พร้อมจะหลับอยู่ตลอดเวลาแล้วน่าจะคุยไม่รู้เรื่อง
“ฉันไปกี่โมงก็ได้ เจ้านายไม่ว่า”
“ถามจริง?” คนฟังเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหู ช่วงหลัง ๆ มานี้สโรชามีหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่เพราะโยธกาเองก็ยุ่งกับการฝึกงานเลยไม่มีเวลาคุยกัน “ช่วงนี้แกแปลก ๆ นะยัยพรีม”
“อือ” คนใต้ผ้าห่มงึมงำ เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องโยธกาจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
“งั้นฉันไปทำงานแล้วนะ ชุดนักศึกษารีดไว้เผื่อแล้ว แขวนไว้ที่เดิม”
“อือ”
แกร๊ก!
เสียงบานประตูเปิดออก แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกจากห้อง สองขาเรียวก็ชะงักเมื่อบานประตูห้องฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกเช่นกัน เบื้องหน้าคือร่างกำยำในชุดสูทสีดำ ใบหน้าคมเข้มมีเคราอ่อน ๆ ปกคลุมอยู่ โยธกาใจหายวาบเมื่อเผลอสบตากับคนตรงหน้าแล้วรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง
ปัง!
ร่างเล็กรีบปิดประตูลงด้วยความตื่นตระหนกพร้อมสาวก้าวตรงไปหาเพื่อนรักที่นอนอยู่บนเตียง
“พรีม! พรีม! แกต้องตื่นเดี๋ยวนี้เลย” โยธกาดึงผ้าห่มที่คลุมตัวเพื่อนรักออกแล้วเขย่าตัวคนที่กำลังงัวเงียแรง ๆ เป็นการปลุก “ห้อง… ห้องฝั่งตรงข้ามเรามีคนน่ากลัวอยู่ด้วย”
“ยังไงก็อยู่คนละห้องอยู่แล้ว แกจะกลัวอะไร เขาก็อยู่ห้องเขา แกก็อยู่ห้องแก” คนที่พลิกตัวนอนหงายมองเพื่อนพร้อมขยี้ตาไปด้วย “ถ้ากลัวก็กลับไปอยู่บ้าน”
“ไม่เอาหรอก ฉันตั้งใจแล้วว่าจะลองใช้ชีวิตคนเดียวดู” หลังจากได้รู้ว่าตัวเองคือหนึ่งในนักเรียนทุน โยธกาก็ขอพ่อซื้อคอนโดมิเนียมไว้หนึ่งห้องเพื่อลองใช้ชีวิตคนเดียว ทำให้สโรชาได้รับผลประโยชน์ไปด้วย คือมีที่เก็บตัวเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง
“แกไม่ไปทำงานเหรอ” สโรชาพยุงตัวลุกนั่งมองหน้าเพื่อน มือเล็กข้างหนึ่งกุมท้องตัวเองไว้ ความเจ็บปนเสียดทำให้ขยับตัวลำบากโดยเฉพาะช่วงล่างที่ยังระบมอยู่
“ไปสิยะ ว่าแต่แกเถอะ ไปทำงานไหวปะเนี่ย สภาพเหมือนยัยเพิ้งเลย”
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไม่ไหวค่อยโทรไปลา”
“ดูแกสบายใจจังเลยนะ ฉันฝึกงานกับพ่อนะโคตรเหนื่อยเลย ใช้งานฉันหนักกว่าพนักงานจริง ๆ ซะอีก”
“งั้นก็ไปได้แล้ว วันนี้ไม่แน่ฉันอาจจะไปสายหน่อย เหนื่อยอะ”
“อ้าว? เห็นทำตัวสบายใจเฉิบ แล้วทำไมเหนื่อย ฝึกหนักเหมือนกันเหรอ”
“…อือ” หนักมาก สโรชานึกถึงเรื่องบนโต๊ะทำงานตัวใหม่แล้วความร้อนมากมายก็แผ่ซ่านไปทั่วหน้า
“เออ ฉันว่าจะถามนานแล้วแต่ลืมทุกทีเลย” โยธกามองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วก็นั่งลง วันนี้เธอคงไปฝึกงานสายเพราะมีเรื่องอยากคุยกับเพื่อนรักมากมาย
“ถามว่า?”
“เรื่องบ้านแกอะ ตกลงว่าพ่อแกได้เจรจาใหม่กับนายทุนแล้วเหรอ เห็นพ่อฉันบอกว่านายทุนทางนั้นเปลี่ยนจากเทคโอเวอร์มาเป็นถือหุ้นร่วม”
“ก็ประมาณนั้นแหละ เขากับผู้ถือหุ้นฝั่งเขาถือรวมกันสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ส่วนพ่อฉันกับผู้ถือหุ้นฝั่งเราก็ถือห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ สิทธิ์การบริหารเป็นของพ่อ เขาจะถือแค่หุ้นกับทำหน้าที่ช่วยลงทุน ก็… ประมาณนี้แหละ” สโรชาบอกเพื่อนเท่าที่บอกได้ ที่จริงมีหลายอย่างที่อยากบอกเพื่อนรักตอนนี้เลย เพราะเก็บไว้คนเดียวเธอเองก็อึดอัด แต่ติดตรงที่เขาคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเธอเลยพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
“ฉันถามพ่อดู พ่อฉันบอกว่านายทุนทางนั้นเป็นชาวต่างชาติใช่ปะ”
“ใช่ อยู่แถบอาหรับอะ แต่ไม่รู้เชื้อสายอะไร”
“หล่อปะ”
“ก็…” คำถามของโยธกาทำให้สโรชานึกถึงใบหน้าคมคายของใครบางคน “ก็ได้อยู่”
“ชื่ออะไรนะ พ่อฉันบอกว่าชื่อคาริบ ใช่ไหม”
“อืม ประธานบริษัทชื่อคาริบ” ใช่แล้ว ประธานน่ะชื่อคาริบ แต่เจ้าของตัวจริงน่ะชื่ออาซิซ แต่ไม่บอกจะดีกว่า “แกถามอะไรเยอะแยะเนี่ย สนใจเขาเหรอ”
“ไม่ได้สนใจแบบนั้น ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมประธานบริษัทใหญ่โตอย่างเขาถึงฟังคำขอของเด็กฝึกงานอย่างแกต่างหาก” โยธกาหรี่ตามองเพื่อนรักด้วยความสงสัย “หรือว่าอีตาคาริบอะไรนั่นเขาชอบแก”
“ไม่มีทาง” สโรชาส่ายหัวรัว ๆ ภาพจำของคาริบสำหรับเธอคือชายหนุ่มหน้าคมที่ชอบทำสีหน้าเบื่อหน่ายเวลาคุยกับเจ้านาย และทุกครั้งที่คุยกับเธอเขาก็ไม่เคยมองหน้าเธอเลยสักครั้ง ทำราวกับว่าใบหน้าของเธอเป็นใบหน้าของหญิงต้องห้ามอย่างไรอย่างนั้น
“ว่าแต่แกจะค้างที่นี่อีกไหม คืนนี้ฉันจะกลับบ้านนะ ตอนเย็นต้องไปงานวันเกิดเพื่อนพ่ออะ” โยธกาหยัดกายลุกพร้อมเอ่ยถามคนที่นั่งหัวฟูบนเตียง
“ขอค้างต่อสักคืนได้ไหมล่ะ ช่วงนี้พ่อกับแม่ฉันกลับบ้านดึกน่ะ ไปงานเลี้ยงหลายที่เลยตั้งแต่ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม”
“ตามสบาย แต่ห้ามพาผู้ชายเข้ามานะยะ” สองสาวหยอกเย้ากันก่อนจะแยกย้าย
โยธกาเปิดประตูห้องออกอีกเป็นครั้งที่สอง และก็เป็นอีกครั้งที่ห้องฝั่งตรงข้ามเปิดประตูออกมาเช่นกัน ทว่าคราวนี้คนที่เดินออกมาจากห้องกลับไม่ใช่คนเดิมแต่เป็นอีกคน เขาปรายตามองเธอครู่หนึ่งแล้วเดินผ่านหน้าไป สาวน้อยมองตามแผ่นหลังหนาแล้วก็เดินตามไปช้า ๆ ระหว่างทางมีกลิ่นน้ำหอมราคาแพงโชยออกมาจากตัวเขา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นรัว ๆ ทำให้คนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนต้องดีดตัวลุกจากเตียง
“อะไรของแกยัยโย” ร่างน้อยเดินโซเซออกไปเปิดประตู “แกจะเคาะทำไม ลืมรหัสผ่านเหรอ… คุณ!” แต่ทันทีที่เปิดประตูออกไปก็ต้องตกใจเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่เพื่อนรัก
“อือ ฉันเอง” เสียงทุ้มขานรับพลางรั้งประตูเอาไว้เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะปิดประตูลง
“มาได้ยังไงคะ”
“จะให้ยืนตรงนี้อีกนานไหม มีอะไรก็ไปคุยในห้อง” ชีคหนุ่มดันประตูทำท่าจะเดินเข้ามาแต่สาวน้อยรีบดันแผงอกแกร่งไว้
“ไม่ได้ค่ะ นี่ห้องเพื่อนพรีม ผู้ชายห้ามเข้า”
“งั้นก็ไปคุยที่ห้องฉัน” ว่าจบมือหนาก็กระตุกข้อมือเล็กจนสโรชาเซถลาออกไปนอกห้อง ชีคหนุ่มปิดประตูห้องลงอย่างรวดเร็วก่อนจะกดรหัสผ่านประตูห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วพาเธอเข้าไป
“นี่ห้องคุณเหรอคะ” พอเข้ามาแล้วก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ดูจากการตกแต่งแล้วไม่น่าใช่สไตล์เขา
“เช่าไว้เบี่ยงเบนความสนใจเฉย ๆ ไม่ใช่ห้องที่ใช้จริง ๆ”
“แบบนี้นี่เอง” สาวน้อยเดินไปหย่อนก้นลงโซฟาแล้วก็มองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยถาม “ว่าแต่มาหาพรีมทำไมคะ”
“คิดว่ามาทำไมล่ะ”
“…” คนถามตอบคำถามด้วยการถามกลับ ขณะเดียวกันมือใหญ่ก็ปลดกระดุมข้อมือออกแล้วมองมายังเธอ รอยยิ้มร้ายที่ปรากฏบนใบหน้าเขาทำให้สโรชาใจหาย