ตอนที่ 3 แม่ทัพผู้เย็นชา

2816 Words
หลินซือหยูรู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวในลำคอขณะที่เธอถูกเสี่ยวหลานดันหลังให้ไปซ่อนตัวหลังม่านผ้าสีครามหนาที่ยื่นลงจากเพดาน เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ มันหนักแน่นราวกับจังหวะกลองศึก นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความกลัวปนตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ “อย่าส่งเสียงนะเจ้าคะ!” เสี่ยวหลานยกมือขึ้นปิดปากเธอ กระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ดวงตาของเสี่ยวหลานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ซือหยูสัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมาในทันที ถ้าหากบุคคลนี้เป็นคนที่หมายจะเอาชีวิตหลินซือเยว่ ร่างที่เธอมาอาศัยอยู่ในตอนนี้ เธออาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะหาคำตอบว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง “ฉันต้องหนี!” ซือหยูพูดเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นพลางสะบัดมือเสี่ยวหลานออก คว้าจี้หยกจากโต๊ะข้างเตียงที่เธอเพิ่งวางทิ้งไว้หลังจากกำไว้ในมือมาตลอดแล้วมองไปที่ประตูหลัง ก๊อก ๆ ๆ ซือหยูและเสี่ยวหลานหน้าซีดเผือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ไม่ทันแล้ว... ซือหยูนึกในใจ สลับมองที่ประตูด้านหลังกับประตูด้านหน้าด้วยความตระหนก เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าของเธอ ในวินาทีนั้นก่อนจะสายเกินไปเสี่ยวหลานจึงรีบผลักให้เจ้านายของตนเข้าไปหลบอยู่หลังผ้าม่านสีทึบแทน ตึง!!!! “ว้าย!!” เสี่ยวหลานกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อประตูหน้าเรือนถูกถีบออกอย่างแรงจนมันพังลงมากองอยู่ที่พื้น เสียงบานประตูไม้ถูกกระแทกดังขึ้นทำให้ซือหยูสะดุ้ง เธอพยายามยืนนิ่งซ่อนตัวหลังม่านให้แนบสนิทยิ่งขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงจนเธอได้ยินมันก้องอยู่ในหู เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นก้าวเข้ามาภายในห้อง เงาของแขกผู้มาเยือนทอดยาวบนพื้นไม้จากแสงตะเกียงที่สั่นไหว “ท่านแม่ทัพ!” เสี่ยวหลานร้องออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก แล้วรีบก้มหัวลงทำความเคารพทันที “หลินซือเยว่ล่ะ” เสียงที่เอ่ยถามเป็นโทนเสียงทุ้มของชายหนุ่มที่เธอรู้สึกคุ้นหู ซือหยูที่ซ่อนอยู่หลังม่านรู้สึกถึงพลังในน้ำเสียงนั้นทันที แม้มันจะมีความอบอุ่นและนุ่มนวลที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น แต่ทว่าน่าเกรงขามราวกับเป็นคำสั่งจากฟ้าที่ไม่อาจขัดขืน เธอขนลุกโดยไม่รู้ตัว เสียงนั้นทำให้เธออยากแอบมองออกไปดูว่าเจ้าของเสียงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ความกลัวก็ตรึงเธอไว้กับที่ เธอได้แต่คิดว่าหากเธอขยับเพียงนิด หรือหายใจแรงกว่าที่เป็นอยู่ วิญญาณของเธออาจถูกชายผู้นั้นกระชากออกจากร่างก็เป็นได้ “ข้าต้องการคำตอบจากนางเดี๋ยวนี้!” ท่านแม่ทัพพูดต่อ น้ำหนักของคำพูดนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้มาเล่น ๆ “ท่านแม่ทัพจ้าว คุณหนู... คุณหนูยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะ! ท่านหมอบอกว่านางยังอ่อนแอจากพิษ ข้าขอร้อง อย่าเพิ่งรบกวนนางเลยนะเจ้าคะ” เสียงของเสี่ยวหลานสั่นระหว่างที่บอกปัด แม้ในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความกลัวก็ตาม แต่เธอก็ยังพยายามรักษาความนอบน้อมเอาไว้ ซือหยูที่ฟังอยู่รู้สึกถึงความพยายามของเสี่ยวหลานที่ช่วยปกป้องเธอ เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกมา “ยังไม่ฟื้นงั้นหรือ น่าแปลก...” ชายที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพจ้าวพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง “ข้าไม่บังอาจพูดเท็จกับท่านเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานย้ำคำ “ข้าเพิ่งได้รับรายงานว่านางอาจรู้ข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการกบฏในเมืองหลวง ข้าจะไม่รอให้เรื่องนี้ลุกลามหรอกนะ” ซือหยูรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไหลลงตามเส้นกระดูกสันหลังเมื่อได้ยินคำว่า “กบฏ” เธอจำได้จากตำราประวัติศาสตร์ว่าในช่วงเวลาของราชวงศ์ถังเต็มไปด้วยการเมืองและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันวุ่นวาย เขามาที่นี่เพื่อสืบเรื่องนี้เหรอ? เธอคิดในขณะที่จับจี้หยกแน่นขึ้น มันเริ่มร้อนเล็กน้อยในมือของเธอ “ข้าขอสาบาน คุณหนูไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ! ท่านโปรดเห็นใจ นางเพิ่งรอดจากความตายมา” เสี่ยวหลานร้องขอพร้อมนั่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างอ้อนวอน ซือหยูได้ยินเสียงเข่ากระทบพื้นไม้ เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เสี่ยวหลานเผชิญหน้ากับชายคนนี้แทนเธอ แต่เธอไม่ก็กล้าขยับตัวไปไหน การได้มาอยู่ที่นี่แบบที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้เธอหวาดกลัวเกินกว่าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจ เสียงของแม่ทัพเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดอีกครั้ง “ถ้านางยังไม่ฟื้น ข้าจะกลับมาอีกครั้ง แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้าปกป้องนางโดยรู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับกบฏ เจ้าจะไม่รอดเช่นกัน” น้ำเสียงของเขายังคงอบอุ่น แต่แฝงด้วยคำขู่ที่ทำให้ ซือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักของอำนาจที่เขามี “เจ้าค่ะ” “ข้าจะรอคำตอบจากนางภายในสามวัน” เขาพูดประโยคสุดท้าย ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะห่างออกไป เสี่ยวหลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ซือหยูรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้แน่ เพราะนี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น สามวัน? ฉันจะหาคำตอบอะไรให้เขาได้ล่ะ... ซือหยูรอจนแน่ใจว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญจากไปแล้ว เธอจึงผลักผ้าม่านแล้วเดินออกมา “เสี่ยวหลาน เขาคือใคร” เสี่ยวหลานหันมามองเธอด้วยสีหน้าซีดเผือด “ท่านแม่ทัพ จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและความซื่อสัตย์ต่อราชสำนักเจ้าค่ะ ท่านไม่รู้จักเขาจริง ๆ หรือ” “ฉัน... จำไม่ได้” “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนูไปพักผ่อนต่อเถอะนะเจ้าคะ” “ไม่ล่ะ” ซือหยูส่ายหน้า “ฉันต้องออกไปจากที่นี่” เสี่ยวหลานคว้ามือเธอไว้ “ไม่ได้เจ้าค่ะ! ถ้าท่านแม่ทัพรู้ว่าท่านหนีไป...” “ถ้าฉันอยู่ที่นี่ เขาจะฆ่าฉันแน่ ถ้าฉันตอบอะไรเขาไม่ได้!” ซือหยูตัดบท “ที่นี่มันไม่ปลอดภัยสำหรับฉัน” เธอสะบัดมือออกจากเสี่ยวหลานแล้วเดินไปผลักประตูหลังออก ด้วยความเร่งรีบทำให้เธอสะดุดล้มลงบนพื้นดินชื้นจากฝนที่เพิ่งหยุดตก ชุดผ้าไหมสีครามเปื้อนโคลนเต็มไปหมด แต่เธอไม่สนใจ ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าสู่ป่ามืดที่ทอดยาวนอกเรือน “คุณหนู!!” เสียงของเสี่ยวหลานที่ตะโกนเรียกตามหลังกลายเป็นเพียงเสียงที่เลือนหายไปในสายลม ซือหยูออกวิ่งโดยไม่หันหลังมองกลับไป แม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอเป็นกังวลนัก เพราะในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่เธอคิดคือหนีไปให้ไกลจากเรือนที่อยู่ อย่าให้ชายผู้นั้นตามหาเธอเจอ แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้าอีกที เธอวิ่งเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สูงตระหง่านที่ปิดกั้นแสงจันทร์ ทำให้สายตาของเธอมองเห็นอะไรได้ชัดเจนยากขึ้น มีเพียงเงาดำที่สั่นไหวไปตามลม เธอเริ่มแยกไม่ออกว่านั่นคือเงาไม้ สัตว์ป่า หรือมนุษย์กันแน่ เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินต่อไป แต่ชุดที่เธอกำลังสวมใส่ก็ทำให้เธอสะดุดรากไม้หลายครั้ง ชายผ้าพันขาจนเธอต้องฉีกมันทิ้ง “ชุดอะไรกันเนี่ย วิ่งยังไงก็ล้ม!” เธอบ่น ขณะที่พยายามรักษาสมดุลให้กับร่างกายของตัวเองขณะวิ่ง กรอบ... แกรบ... กรอบ... แกรบ... เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนซากใบไม้จากด้านหลังดังชัดขึ้นและใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เธอหันไปมองด้วยความหวาดระแวง สายตาของเธอเห็นเงาดำเคลื่อนไหวอยู่ในพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ห่างจากเธอมากนัก มันตามมาแล้ว! หัวใจของซือหยูเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกจากอก เธอรีบวิ่งต่อไปโดยไม่รู้ทิศทาง จี้หยกในมือเริ่มร้อนขึ้น เธอยกขึ้นมามองเล็กน้อยจึงเห็นว่ามันส่องแสงสีเขียวสว่างออกมาเล็กน้อย แวบหนึ่งเธอรู้สึกได้ยินเสียงกระซิบแว่วมาในหัวของเธอว่าให้ ‘ระวังข้างหลัง’ เธอหันไปมองด้วยความระแวง ฉึก!!! เสียงหนึ่งดังแหวกอากาศ ลูกธนูพุ่งมาปักที่ต้นไม้ข้างตัวเธอ ห่างจากศีรษะเพียงนิ้วเดียว ซือหยูกรีดร้องลั่น หยุดชะงักด้วยความตกใจ สามเงาดำโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ก่อนจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นชายสามคนในชุดผ้าดำหยาบ ถือดาบสั้นและธนู ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น “หลินซือเยว่ เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว!” ชายคนแรกตะโกน น้ำเสียงหยาบกระด้างของเขาทำให้ซือหยูรู้สึกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา “ฉันไม่ใช่หลินซือเยว่!” เธอตะโกนกลับโดยสัญชาตญาณ แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ชายทั้งสามหัวเราะเยาะ “เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ขอแค่ตายก็พอ!” ชายคนที่สองพูด ขณะยกดาบขึ้นแล้วฟันลงมา ฉันจะตายที่นี่จริง ๆ เหรอ ซือหยูยกแขนป้องหน้าโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับหลับตาแน่น รอรับความเจ็บปวดที่กำลังมาถึง ฮี้~!!! แต่ก่อนที่ดาบจะถึงตัวเธอ เสียงม้ากรีดร้องก็ดังสนั่นป่า เสียงฝีเท้าม้าที่หนักแน่นพุ่งฝ่าพุ่มไม้มาด้วยความเร็วราวกับพายุ ชายทั้งสามหันไปมองด้วยความตกใจ และในพริบตานั้น เงาดำของชายในชุดเกราะสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นบนหลังม้า จ้าวหย่งเฉิน แม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบแปดปี ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มที่ตาแดงก่ำราวกับเพลิง เขาสูงสง่าในชุดเกราะที่สะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าคมเข้มราวกับถูกสลักจากหิน ดวงตาคู่นั้นเย็นเยือกและเฉียบคมราวกับเหยี่ยว ผมยาวสีดำสนิทถูกรวบหลวม ๆ ใต้หมวกเกราะ ปลายผมสยายตามลมขณะที่เขาควบม้ามาด้วยความเร็ว เขาดึงบังเ**ยนให้ม้าชะงักอย่างฉับพลัน ดึงดาบยาวจากฝักที่เอวด้วยมือขวา โลหะเย็นฉ่ำสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย เขามองโจรทั้งสามด้วยสายตาที่ไร้ความปราณี “กล้าดีอย่างไรถึงบุกรุกเขตของข้า!” เสียงทุ้มของเขาดังก้องราวฟ้าคำราม ไม่รอคำตอบ หย่งเฉินกระโดดลงจากม้าด้วยท่วงท่าที่คล่องแคล่ว ดาบในมือของเขาฟันลงในเสี้ยววินาที ชายคนแรกที่ยกดาบใส่ซือหยูถึงกับกรีดร้องเมื่อแขนขวาของเขาขาดสะบั้น เลือดพุ่งเป็นสายกระจายไปทั่วพื้นป่า เขาล้มลงคุกเข่าด้วยความเจ็บปวด หย่งเฉินไม่หยุด เขาหมุนตัวด้วยความเร็วที่ตาแทบตามไม่ทัน ดาบในมือฟันเฉียงขึ้นตัดคอชายคนที่สอง เลือดแดงฉานสาดใส่ใบหน้าของเขา แต่หย่งเฉินไม่แม้แต่จะกะพริบตา รอยเลือดที่เปื้อนแก้มซ้ายของเขาทำให้ใบหน้าเย็นชาดูราวกับว่าเขาเป็นเทพสงครามที่มาจากนรก “เจ้า... เจ้าคือใคร?!” ชายคนสุดท้ายตะโกนอย่างตื่นตระหนก ถอยหลังพร้อมยกธนูขึ้นเล็งด้วยมือที่สั่นเทา แต่หย่งเฉินไม่ตอบ เขาขว้างมีดสั้นจากเอวด้วยความแม่นยำราวกับสายฟ้า มีดพุ่งปักเข้าที่หน้าผากของโจรคนนั้นก่อนที่เขาจะปล่อยลูกธนูที่ดึงค้างไว้หลุดจากคันธนู มันพุ่งเฉไปปักที่พื้นห่างจากซือหยูเพียงคืบ เสียงร้องโหยหวนสุดท้ายของโจรดังขึ้นก่อนที่เขาจะล้มลงนิ่งบนพื้นป่า เลือดไหลนองเป็นวงกว้าง ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ ซือหยูยืนตัวแข็งทื่อ มองร่างของโจรทั้งสามที่ล้มกองอยู่ด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของเธอเต้นแรงจนเจ็บ เธอหายใจหอบ ขณะที่หย่งเฉินหันมามองเธอ เขาเช็ดเลือดจากใบหน้าด้วยหลังมืออย่างใจเย็น โลหะของเกราะที่เปื้อนเลือดสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายสีแดง จาง ๆ เขาเก็บดาบเข้ากระบอกที่เอวด้วยท่าทางสงบราวกับเพิ่งตัดหญ้าเสร็จ ดวงตาที่เย็นเยือกจ้องมองเธอราวกับพยายามเจาะลึกเข้าไปในจิตใจ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่... เสี่ยวหลานบอกข้าว่าเจ้ายังไม่ฟื้น” เขาถาม น้ำเสียงทุ้มของเขามีน้ำหนักราวกับคำสั่ง ซือหยูกลืนน้ำลายลงคอ เธอรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ สายตาของเขาที่จ้องมองมาช่างเย็นชายิ่งนัก “ฉัน... ฉันแค่ออกมาเดนิเล่น แล้วก็หลงทางมา” เธอตอบไปมั่ว ๆ เพราะสมองของเธอยังสั่นคลอนจากฉากเมื่อครู่ เขาขมวดคิ้ว เดินเข้ามาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นโลหะจากเกราะและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ จากร่างกายของเขา ใบหน้าของหย่งเฉินเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ที่มุมปากและคิ้วซ้าย บ่งบอกถึงชีวิตที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน “หลงทางงั้นรึ” เขาพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ในป่านอกเมือง ด้วยชุดขาดวิ่นแบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกเด็ก ๆ แบบนั้นหรือ” เขายกดาบขึ้นจ่อที่คอของเธออีกครั้ง ปลายดาบที่ยังเปื้อนเลือดสัมผัสกับผิวของเธอ เธอสะดุ้งถอยหลังจนหลังชนต้นไม้ หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด “ฉันพูดจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!” เธอตะโกน น้ำตาคลอตาด้วยความกลัว เขามองเธอนิ่ง ๆ ดวงตาของเขาเย็นชาแต่แฝงด้วยความสงสัย “โจรพวกนั้นเรียกเจ้าว่าหลินซือเยว่ แล้วข้าก็มั่นใจแม้ยามมืดมิดเพียงนี้ว่าเจ้าคือบุตรสาวคนเล็กของตระกูลหลินเป็นแน่” “แต่ฉันไม่ใช่หลินซือเย่ว!” “หากเจ้าไม่ใช่หลินซือเยว่ อย่างนั้นข้าจะถามอีกครั้ง เจ้าคือผู้ใด และทำไมมันถึงตามล่าเจ้า” ซือหยูรู้สึกถึงน้ำหนักของคำถามนั้น มันฟังดูจริงจังเกินกว่าที่เธอจะกล้าโกหก แต่เธอก็ไม่รู้จะตอบยังไงให้รอดพ้นคมดาบที่กำลังจ่ออยู่ที่คอของเธอไปได้ ไม่รู้ว่าการที่เธอเลือกพูดความจริงออกไป คนตรงหน้าจะยอมเชื่อเธอหรือไม่ “ฉัน... ฉันชื่อหลินซือหยู” เธอตัดสินใจพูดชื่อจริงของตัวเองออกไป หย่งเฉินขมวดคิ้วลึก “หลินซือหยู? ชื่อแปลกประหลาด ไม่เคยได้ยินในเมืองหลวง” เขาก้าวถอยหลัง มองเธอจากหัวจรดเท้าด้วยสายตาที่ประเมิน “แต่ชุดของเจ้ามาจากตระกูลหลิน และโจรพวกนั้นต้องการชีวิตเจ้า ข้ากำลังสงสัยว่าเจ้ามีความลับอะไรที่อาจเกี่ยวข้องกับกบฏในเมืองหลวงหรือไม่” “ฉันไม่มีอะไรความลับอะไรทั้งนั้น” ซือหยูโต้กลับ “หึ!” “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ” เธอพยายามตั้งสติก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปโดยไม่ทันได้คิด “เสียดายที่นี่ไม่มีไวไฟ ไม่งั้นฉันคงจะหาทางกลับบ้านได้ง่ายหน่อย...” หย่งเฉินมองเธอด้วยความงุนงง “ไวไฟ... คืออะไร เจ้าพูดภาษาอะไรกันแน่ หรือจริง ๆ แล้วเจ้าเป็นสายลับ” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกครั้ง แววตาของเขาเริ่มเปลี่ยนจากสงสัยเป็นระแวง “ถ้าเจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะมัดเจ้าแล้วส่งไปให้ขุนนางในเมืองหลวงตัดสินชีวิตเจ้า” ซือหยูรู้สึกถึงอันตรายจากน้ำเสียงของเขา เธอมองดาบที่เพิ่งฆ่าคนสามคนในพริบตา และตระหนักว่าเธอไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่ เธอไม่มีทางเลือกเลยต่างหาก “ฉันไม่ใช่สายลับ! ฉันบอกคุณไปแล้วไง ฉันแค่... หลงทางมา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง หย่งเฉินมองเธอนิ่ง ๆ ก่อนจะเก็บดาบเข้ากระบอก “ดี! ถ้าเจ้ายืนยันว่าไม่ใช่ศัตรู ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า... หมายถึง... ยังไม่ฆ่า” เขาหันไปที่ม้าของเขา “แต่เจ้าจะต้องตามข้าไปที่ค่ายทหาร ข้าจะสืบให้รู้ว่าเจ้าเป็นใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิน เพราะจี้หยกในมือของเจ้านั้นมันเป็นของตระกูลหลิน” เขาขึ้นม้าด้วยท่าทางสง่างาม หันมามองเธอ “ตามมา ถ้าเจ้าไม่ตามมา ข้าจะลากเจ้าไปเอง” ซือหยูหันมองไปรอบป่ามืด ๆ และร่างโจรที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นดิน เธอตัดสินใจก้าวตามเขาด้วยขาที่สั่นเทา เธอคิดเพียงแค่ว่าตามไปก็ยังดีกว่าโดนฆ่าตายอยู่ในป่านี่ก่อนจะบ่นพึมพำ “เขาเป็นใครกันแน่...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD