ตอนที่ 2 ร่างใหม่ โลกเก่า

1725 Words
หลินซือหยูรู้สึกถึงอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับขณะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เก่า ๆ สาดลงมาบนใบหน้าของเธอ อากาศรอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรปนดินและกลิ่นไม้ไหม้จาง ๆ ที่ทำให้เธอสะดุ้งตื่น เธอขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ร่างกายหนักอึ้งราวกับแบกก้อนหิน เธอมองลงไปที่มือของตัวเอง และสิ่งที่เห็นทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะ “นี่มัน... มือของใครเนี่ย!?” เธออุทานออกมาเสียงดัง และนั่นก็ทำให้เธอได้ยินเสียงพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอว่ามันไม่ใช่เสียงของตัวเอง เพราะน้ำเสียงนี้มันค่อนข้างบาง อ่อนหวาน และมีสำเนียงแปลก ๆ ที่เธอไม่เคยได้ยินจากตัวเองมาก่อน มือคู่นี้ที่เธอเห็นมันเรียวเล็ก ผิวก็ขาวเนียนเกินกว่ามือของเธอที่เคยหยาบกร้านจากการจดเลคเชอร์และพิมพ์งาน เธอพลิกฝ่ามือดู มีรอยแผลบาง ๆ ที่ข้อมือซ้าย ซึ่งเธอแน่ใจว่าเธอไม่เคยมีรอยนี้ในชีวิตจริง เธอลองกดที่แผลนั้นดูเบา ๆ ก็เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที “นี่ไม่ใช่ฝันแน่ ๆ” เธอพึมพำขณะที่สมองเริ่มตื่นตัวเต็มที่ เธอหันมองไปรอบห้อง ห้องนอนที่เธอนอนอยู่นั้นเป็นห้องไม้เก่า ๆ เหมือนกับที่เธอเคยเห็นในละครย้อนยุค เตียงที่เธอนั่งอยู่ปูด้วยผ้าฝ้ายหยาบสีครีม มีกลิ่นอับชื้นเล็กน้อย ผนังไม้มีรอยแต้มสีแดงจาง ๆ ที่ดูเหมือนเปื้อนหมึกแล้วถูกปล่อยให้แห้งกรังมานานแล้ว โต๊ะตัวเล็กมุมห้องมีชามยาสมุนไพรควันลอยกรุ่นและกระจกทองสัมฤทธิ์วางพิงผนังอยู่ข้าง ๆ เธอขยับขาเพื่อลุกขึ้นแต่ชุดผ้าไหมสีครามยาวถึงข้อเท้าที่เธอสวมอยู่พันขาของเธอจนเกือบล้ม “นี่มันชุดอะไรกันเนี่ย!?” เธอร้องออกมา ขณะที่พยายามคลายชายผ้าที่รัดแน่น ตึก ๆ ๆ ๆ เสียงฝีเท้าดังจากด้านนอกประตูไม้ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เรียกให้หลินซือหยูตั้งสติได้ หญิงสาวที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับเธอสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มผลักประตูเข้ามา เธอถือถาดไม้ที่วางชามยาและผ้าชุบน้ำเข้ามาด้วย พอเธอเห็นว่าคนในห้องกำลังนั่งงุนงงอยู่บนเตียงก็ถึงกับตาเบิกโตด้วยความตกใจ ไม่ต่างอะไรกับซือหยูที่ตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่เดินเข้ามาเช่นกัน “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?!” หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนโล่งใจ เธอรีบวางถาดลงข้างเตียงแล้วสาวเท้าเข้ามาดูใกล้ ๆ “ท่านนอนนิ่งไปตั้งสามวันเต็ม ข้านึกว่าท่านจะไม่ฟื้นแล้วเสียอีก” “คุณหนู?” ซือหยูพูดพลางมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย “หลี่เสี่ยว! นี่ฉันเองไง เล่นอะไรอยู่เนี่ย” “หลี่เสี่ยวคือผู้ใดเจ้าคะ?” หญิงคนนั้นถามกลับด้วยความงุนงง “แล้วคุณ... คุณเป็นใครคะ? แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน” ซือหยูมองหน้าหญิงคนนั้นด้วยความงุนงงก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แต่ก็พอจะเชื่อได้ว่าคนตรงหน้าอาจไม่ใช่เพื่อนรักของเธอ เพราะน้ำเสียงและสำเนียงการพูดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หญิงคนนั้นขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ข้าคือเสี่ยวหลาน คนรับใช้ของท่านไงเจ้าคะ ท่านอยู่ที่เรือนของท่านแม่ไงเจ้าคะ” “ท่านแม่? แม่ฉัน? ใครคือแม่ฉันเหรอ” “หลินหลานหยิน นายหญิงแห่งตระกูลหลินไงเจ้าคะ” เธอพูดราวกับมันเป็นเรื่องที่ซือหยูควรรู้อยู่แล้ว “...” ซือหยูเงียบไปชั่วขณะ สมองของเธอพยายามประมวลข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่ “คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ดูเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลยนะเจ้าคะ” ตระกูลหลิน? เธออุทานในใจพลางมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อสำรวจอีกครั้ง เธอหันไปมองที่กระจกทองสัมฤทธิ์ข้างเตียง และตัดสินใจลุกเดินไปดูด้วยขาที่สั่นเทาอย่างไร้เรี่ยวแรง ภาพที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ใบหน้าของหลินซือหยูที่คุ้นเคย เงาในกระจกนั้นไม่ใช่สาวผมสั้นยุ่ง ๆ ที่มีรอยคล้ำใต้ตาจากการอ่านหนังสือดึก แต่เป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับภาพวาด ผมยาวสีดำสนิทสยายลงถึงเอว ดวงตาคู่ใหญ่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผิวขาวซีดราวกับหยกและริมฝีปากที่ซีดเผือดราวกับเพิ่งผ่านความตายมา เธอยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า ความเย็นจากฝ่ามือนั้นทำให้เธอยืนยันได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน “นี่มันไม่ใช่ฉัน...” ซือหยูพูดออกมาเบาๆ น้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว “คุณหนู...” เสี่ยวหลานเดินเข้ามาใกล้ “ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” ซือหยูหันไปมองเธอ “ฉัน... ฉันจำอะไรไม่ได้เลย” นี่มันไม่ใช่ยุคปัจจุบันแน่ๆ เธอเลือกที่จะโกหกเพื่อซื้อเวลาต่ออีกหน่อย เธอสะดุ้งขึ้นนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกถึงจี้หยกที่ยังกำแน่นอยู่ในมือขวา มันเย็นเยียบและสั่นเล็กน้อย เธอคลายมือออกดู แสงสีเขียวอ่อน ๆ เล็ดลอดจากรอยสลักตัวอักษร **(หลิน) อีกครั้ง นี่มันพาฉันมาที่นี่อย่างนั้นเหรอ? “เธอชื่อเสี่ยวหลานใช่ไหม ฉันมีเรื่องอยากรู้นิดหน่อย” ซือหยูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กำลังพยายามควบคุมความสับสน “ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ แล้วตอนนี้... อยู่ในรัชสมัยของใคร” เสี่ยวหลานมองเธอด้วยความงุนงง “คุณหนู ท่านถามอะไรแปลกเสียจริง ที่นี่คือเรือนเก่าของนายหญิงหลานหยิน ก่อนที่จะแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินเจ้าค่ะ และแน่นอนว่าตอนนี้อยู่ในรัชสมัยของจักรพรรดิถังเต๋อจงแห่งราชวงศ์ถังเจ้าค่ะ ท่านไม่ควรลืมเรื่องนี้นะเจ้าคะ” ซือหยูได้ฟังคำบอกเล่าของเสี่ยวหลานก็รู้สึกถึงความเย็นที่วิ่งจากปลายเท้าขึ้นมาถึงท้ายทอย เธอไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะย้อนเวลามาไกลมากขนาดนี้ “จักรพรรดิถังเต๋อจง!? นั่นมันศตวรรษที่แปดเลยนะ! ฉันย้อนเวลามาอยู่ในสมัยราชวงศ์ถังจริง ๆ เหรอเนี่ย” ซือหยูเคยเรียนวิชาประวัติศาสตร์จีนในมหาวิทยาลัย เธอจำได้ว่าถังเต๋อจงครองราชย์ช่วงคริสตศักราช 779 - 805 เป็นรัชสมัยที่ราชวงศ์ถังเริ่มเสื่อมถอยหลังกบฏอันลู่ซาน ความขัดแย้งในราชสำนักและการกบฏกลายเป็นเรื่องปกติ นี่ฉันย้อนกลับมากว่าหนึ่งพันสองร้อยปีเลยเหรอ! เธอครุ่นคิดด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันเธอก็พยายามที่จะซ่อนความตื่นตระหนกเอาไว้ ไม่แสดงออกไปให้เสี่ยวหลานเห็น “ท่านนอนนานจนจำอะไรไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ?” เสี่ยวหลานเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะพูดต่อ “หมอบอกว่าท่านเกือบตายจากยาพิษ ข้าดีใจจริง ๆ ที่ท่านฟื้น คุณหนูหลินซือเยว่” ซือหยูสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อนั้นก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างไม่ทันได้คิด “หลินซือเยว่? นั่นชื่อฉันเหรอ” เสี่ยวหลานหัวเราะออกมาเบา ๆ “ท่านล้อข้าเล่นหรือเจ้าคะ แน่นอนว่าท่านคือคุณหนูหลินซือเยว่ ลูกสาวคนเล็กของตระกูลหลินเจ้าค่ะ” นี่ฉันอยู่ในร่างของคนอื่น... แถมยังอยู่ในสมัยถังเต๋อจงอีกเนี่ยนะ!!! อะไรกันวะเนี่ย!!!! เสี่ยวหลานหย่อนตัวลงนั่งข้างเตียง ถอนหายใจยาวก่อนจะเริ่มเล่า “สามวันก่อน ท่านไปงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ขุนนางหลี่แล้วกลับมาด้วยอาการป่วยหนัก หมอบอกว่าท่านถูกวางยาพิษ เป็นพิษของงูเขี้ยวแดงน่ะเจ้าค่ะ ตอนแรกคุณหนูหยุดหายใจไปแล้ว แต่อยู่ดี ๆ คุณหนูก็กลับมาหายใจอีกครั้ง คุณชายใหญ่เลยสั่งให้ข้าดูแลท่านและห้ามบอกใครว่าท่านยังมีชีวิตอยู่” เธอหยุดเล่าชั่วครู่ มองซือหยูด้วยสายตากังวล “แล้วไงต่อ...” “ข้าได้ยินว่ามีคนในตระกูลเราเองที่อยากให้ท่านตาย” ซือหยูได้ฟังก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “คนในตระกูล แล้วจะทำแบบนั้นทำไมกัน” เสี่ยวหลานส่ายหน้า “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ แต่คุณชายใหญ่บอกว่าท่านไปรู้ความลับบางอย่างที่ไม่ควรรู้” “ความลับอะไร” “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้อีกเช่นกัน... แต่คุณชายใหญ่บอกแค่ว่ามันอันตราย” คำพูดนั้นทำให้ซือหยูรู้สึกถึงภาระที่หนักขึ้น เธอมองไปที่ประตูไม้อย่างครุ่นคิด ก่อนจะหลุดปากเอ่ยพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว อันตราย? ถ้างั้นฉันควรหนีไปจากที่นี่ไหมนะ หรือควรอยู่เฉย ๆ ... “ฉันว่าฉันต้องออกไปจากที่นี่” เธอพยายามลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินไปยังประตูบานนั้น แต่เสี่ยวหลานก็คว้ามือห้ามเธอไว้ “ไม่ได้เจ้าค่ะ! ถ้ามีคนรู้ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่ปลอดภัยแน่” ซือหยูหยุดชะงัก เธอมองไปที่เสี่ยวหลาน “แล้วถ้าฉันอยู่ที่นี่ต่อ เธอคิดว่าฉันจะมีโอกาสรอดมากกว่างั้นเหรอ...” เสี่ยวหลานเงียบไปก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอันเบา “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ แต่ข้าสัญญาว่าจะปกป้องท่านให้ได้” ซือหยูรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากคำพูดนั้น แต่ความกลัวยังคงเกาะอยู่ภายในใจ เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเงาต้นไม้สูงในป่าที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา ฉันอยู่ในสมัยถังเต๋อจงจริง ๆ สินะ เธอพูดกับตัวเองในใจ ขณะที่จี้หยกในมือเริ่มร้อนขึ้นอีกครั้ง เธอกำมันแน่นก่อนจะเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ถ้าฉันย้อนมาที่นี่ได้ แสดงว่ามันต้องมีเหตุผลสิ” ตึก ๆ ๆ ๆ “ซ่อนตัวเร็วเจ้าค่ะ!” เสี่ยวหลานสะดุ้งก่อนจะรีบหันมากระซิบบอกซือหยูด้วยท่าทีตื่นกลัว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จากด้านนอกเรือนแล้วรีบดันหลังคุณหนูคนเล็กของบ้านให้เข้าไปหลบอยู่หลังผ้าม่านผืนใหญ่ในห้อง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD