ตอนที่ 1 จี้หยกแห่งโชคชะตา

1968 Words
หลินซือหยู... เสียงกระซิบแผ่วเบาเรียกหลินซือหยูให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เธอรู้สึกถึงความหนักอึ้งในทรวงอกราวกับมีก้อนหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ เสียงลมหวีดหวิวที่ข้างหูค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงความเงียบที่ปกคลุมความรู้สึกของเธอเอาไว้ เธอพยายามลืมตา แต่เปลือกตาของเธอดูเหมือนจะไม่ยอมทำตามคำสั่งนั้น มันเปิดยากราวกับถูกเย็บติดกันเอาไว้ ความทรงจำสุดท้ายในหัวของเธอคือมีเสียงร้องเรียกชื่อเธอในขณะที่เธอกำลังเดินตามหลี่เสี่ยวไป เธอจึงหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่ามีแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นจากตู้จัดแสดงที่มีจี้หยกสีเขียววางอยู่ในนั้น เธอจึงรีบวิ่งกลับไปดู นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็น... ‘แสงสีเขียวจากจี้หยกในพิพิธภัณฑ์ กระจกของตู้จัดแสดงต่าง ๆ แตกกระจายเต็มพื้น วัตถุโบราณล้มระเนระนาดไปหมด’ แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท... แม้จะพบความยากลำบากในการลืมตาตื่น แต่ก็ไร้ซึ่งความตื่นตระหนก เธอฝืนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศเย็นชื้นปนกลิ่นฝนซึมเข้าไปในจมูก เธอขยับนิ้วช้า ๆ สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบจากบางสิ่งในมือ ฉันยังไม่ตาย... ใช่ไหม... เธอพึมพำในใจ เสียงในหัวของเธอสั่นเทาตามความรู้สึกหนาวเย็นในเวลานี้ เธอฝืนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เปลือกตาของเธอเปิดออกช้า ๆ ไรแดดอ่อน ๆ สาดผ่านเมฆฝนลงมาที่ใบหน้า เธอกะพริบตาเพื่อปรับสายตา มองเห็นท้องฟ้าสีเทาที่คุ้นเคย แต่สิ่งที่ไม่คุ้นเลยคือกลิ่นดินชื้นและเสียงนกร้องที่แว่วดังมาจากไกล ๆ มันแปลกไปจากสิ่งที่เธอเคยรู้จัก รวมถึงจี้หยกสีเขียวมรกตจากราชวงศ์ถังชิ้นนั้น ที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกำปั้นของเธอ... มันมาอยู่ที่นี่ได้ไง? เธอขมวดคิ้วมองอย่างสงสัยก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ตัว แล้วพบว่าเธอนอนอยู่บนพื้นหญ้าชื้นข้างพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ตึกสูงสีเทายังมองเห็นได้ผ่านสายฝนบาง ๆ แต่ถนนที่เคยคลาคล่ำด้วยรถยนต์เงียบสงัด ไม่มีเสียงแตร ไม่มีกลิ่นไอเสีย แปลก ๆ ซือหยูคิดขณะที่ลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ร่างกายของเธอปวดเมื่อยราวกับเพิ่งวิ่งมาหลายกิโลเมตร เธอหันมองรอบตัวอย่างไม่เข้าใจ เธอคลายมือแล้วจ้องมองจี้หยกในกำมือ อยู่ ๆ ตัวอักษร**(หลิน) ที่สลักไว้ด้านหลังหยกก็มีแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นมาเมื่อกระทบกับแสงธรรมชาติ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!” เธอเอ่ยพูดออกมาเสียงดังด้วยความไม่เข้าใจ น้ำเสียงของเธอแหบแห้ง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมา หน้าจอแตกเป็นเส้น ๆ แต่ยังคงเปิดติด เธอรีบกดโทรหาหลี่เสี่ยวเพื่อนสนิททันที แต่กลับไม่มีสัญญาณการเชื่อมต่อ “ห้ะ?! ไม่มีสัญญาณเหรอ!! เป็นไปได้ไง!?” เธอตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว ความหงุดหงิดปะปนกับความกลัวเริ่มก่อตัวในใจของเธอ ซือหยูค่อย ๆ ยันตัวยืนขึ้นด้วยขาอันสั่นเทา เธอสังเกตเห็นว่าชุดของเธอยังคงเป็นชุดเดิม เสื้อยืดสีดำกับกางเกงที่เปียกชุ่ม แต่บางอย่างในบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปมากทีเดียว เธอตัดสินใจเดินกลับไปยังพิพิธภัณฑ์ด้วยความหวังว่าจะหาคำตอบได้ที่นั่น ฝนเริ่มซาลงแล้วแต่ลมเย็นยังคงพัดผ่านมาอยู่เรื่อย ๆ เธอกอดตัวเองเพื่อคลายความหนาว ขณะที่สมองก็พยายามคิดหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น “บางทีฉันอาจจะฝันไป หรือไม่ก็... คงมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ฉันเห็นภาพหลอน...” เธอพูดกับตัวเอง แม้ว่าในความเป็นจริง ลึก ๆ แล้ว เธอจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ความฝันก็ตาม เมื่อเธอเดินกลับมาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์ ประตูไม้บานใหญ่ที่เคยปิดแน่นถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง เธอผลักมันเข้าไปด้วยความระวัง เสียงฝีเท้าของเธอดังก้องในโถงที่มืดมิด ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงเครื่องปรับอากาศ มีเฉพาะกลิ่นอับชื้นที่ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ เธอก้าวเดินไปยังจุดที่เคยจัดแสดงโบราณวัตถุจากราชวงศ์ถัง ตู้กระจกที่เคยใส่จี้หยกว่างเปล่า แผ่นกระจกด้านหน้าหลุดออกกองอยู่ที่พื้น เมื่อเห็นแบบนั้นเธอจึงรีบหยิบจี้หยกในมือขึ้นมาเทียบกับแท่นวางทันที “นี่มันอันเดียวกันชัด ๆ” เธอเอ่ยพูดพร้อมหัวใจที่เต้นแรง “หลินซือหยู!!! เธออยู่ไหน!!!” เสียงตะโกนเรียกของหลี่เสี่ยวดังมาจากด้านนอก ซือหยูสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปมองด้วยความดีใจ “เสี่ยว! ฉันอยู่นี่!!” ซือหยูตะโกนตอบพลางเก็บจี้หยกลงกระเป๋ากางเกงแล้วรีบวิ่งออกไป เมื่อถึงหน้าประตูเธอก็พบหลี่เสี่ยวในชุดกันฝนสีเหลืองยืนรออยู่ที่บันได ยืนมองเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เธอหายไปไหนมา ฉันโทรหาเธอตั้งนาน” หลี่เสี่ยวน้ำตาคลอ เดินเข้ามากอดเธอแน่น ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เพื่อนสนิทมอบให้ แต่ความสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นยังคงไม่จางไป “ฉัน... ฉันก็ไม่รู้” “ห้ะ?! “ว่าแต่... เธอเห็นแสงสีเขียวเมื่อกี๊ไหม” ซือหยูเอ่ยถาม เพราะอยากจะรู้ว่านอกจากเธอมีคนเห็นในสิ่งเดียวกันหรือเปล่า “แสงอะไร?” หลี่เสี่ยวขมวดคิ้ว “ตอนลงจากรถบัสฉันเห็นเธอรีบวิ่งเข้ามาที่นี่เพื่อหลบฝน แต่พอฉันเดินมาหา เธอก็หายไปไหนไม่รู้ พอโทรหาก็ไม่รับ ทั้งเพื่อนทั้งพ่อฉันก็ช่วยกันตามหา เธอนี่มันน่าตีจริง ๆ อยู่ ๆ ก็หายไปเลย” “สงสัยจะตื่นเต้นไปหน่อยมั้ง...” ซือหยูเอ่ยตอบก่อนจะเงียบแล้วก้มลงมองกระเป๋ากางเกงของตัวเอง “แต่ฉันเห็นแสงจากตู้จัดแสดง...” “แปลก ๆ” “หื้ม?” “ก็ปกติคนอย่างหลินซือหยูไม่ใช่พวกที่ชอบไปพิพิธภัณฑ์นี่...” หลี่เสี่ยวหรี่ตามองอย่างข้องใจ “...” “เธอ... ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” เธอเอ่ยถามซือหยูอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไร ๆ น่าจะเพราะเครียดเรื่องวิจัยล่ะมั้ง ช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีสติ ฉันเหมือนจะทำไม่ทัน เลยไม่ค่อยได้นอนน่ะ” “แน่ใจนะ หน้าตาเธอดูซีดเซียวมาก” “อื้อ ไม่เป็นไรจริง ๆ” “โอเค งั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ ทุกคนเป็นห่วงเธอกันแย่ละ” หลี่เสี่ยวพาซือหยูเดินกลับเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์เพื่อไปเจอกลุ่มเพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณห้องโถงตามคำสั่งของศาสตราจารย์หลี่ พอทุกคนได้เห็นหน้าซือหยูก็ดูจะโล่งใจกันหมด ศาสตราจารย์หลี่เองก็ด้วย การทัศนศึกษาพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น พวกเขาเดินไปดูตามจุดต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านหลักฐานมากมายที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ทุกคนดูสนุกสนาน มีเพียงซือหยูที่อยู่ในท่าทีระแวงและเป็นกังวล เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองก่อนหน้านี้คืออะไรกันแน่ หัวใจของซือหยูกระตุกวูบเมื่อศาสตราจารย์หลี่พาพวกเธอเดินมาถึงตู้จัดแสดงจี้หยกโบราณจากยุคราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นโบราณวัตถุชิ้นล่าสุดที่เพิ่งขุดค้นพบ เธอรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองทันที แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจี้หยกชิ้นนั้นที่เคยอยู่กับเธอมันหายไปแล้ว “ซือหยู เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ปากเธอซีดมากเลยนะตอนนี้” หลี่เสี่ยวหันมาถามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มีอาการไม่ค่อยดี “ปะ... เปล่า” ซือหยูเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก พลางยื่นหน้าเข้าไปมองดูที่ตู้กระจกนั้นและพบว่าจี้หยกที่เคยอยู่กับเธอก่อนหน้านี้เป็นชิ้นเดียวกันกับที่จัดแสดงอยู่ภายในตู้ใบนั้น มันกลับไปอยู่ในนั้นได้ยังไง?! ก่อนหน้านี้มันยังอยู่ในกระเป๋าฉันนี่!! ซือหยูไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันคือเรื่องอะไรกันแน่ อยากจะเล่าให้หลี่เสี่ยวฟังก็กลัวจะโดนล้อว่าพูดอะไรเพ้อเจ้อ เธอจึงเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เงียบ ๆ คนเดียว จากนั้นศาสตราจารย์หลี่ก็พาคณะนักศึกษาเดินย้ายไปห้องจัดแสดงอีกห้องที่อยู่ข้างกัน ซือหยูก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเธอเห็นว่าเงาสะท้อนในตู้กระจกที่จัดแสดงชิ้นงานขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่ใบหน้าของเธอ แต่เป็นหญิงสาวในชุดผ้าไหมโบราณ ผมยาวสยาย ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเธอด้วยความเศร้า “เสี่ยว เธอเห็นนั่นไหม” ซือหยูชี้ไปที่กระจก หลี่เสี่ยวหันไปมองตามคำบอก “เห็นอะไร? ก็มีแค่เราสองคนนี่นา” พรึ่บ! เงานั้นหายไปในพริบตา ซือหยูหัวใจเต้นแรงในทันที ความรู้สึกหนาวเย็นวาบขึ้นมาทั้งแผ่นหลัง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเห็นนั้นเป็นแค่ภาพลวงตาหรือวิญญาณของบรรพบุรุษกันแน่ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไรกัน... หลังจบการพามาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ศาสตราจารย์หลี่ก็พาคณะนักศึกษาออกจากที่นั่น เพื่อไปขึ้นรถบัสที่จอดรออยู่ในลานจอดรถ ซือหยูและหลี่เสี่ยวเป็นสองคนสุดท้ายที่รั้งอยู่ปลายแถว ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ อยู่ ๆ ซือหยูก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอ เธอล้วงมือลงไปจับดูด้วยความสงสัย นี่มัน...!!! ทันทีที่ได้สัมผัสเธอรู้เลยว่ามันคือจี้หยกชิ้นเดียวกันกับตอนที่เธอลืมตาฟื้นขึ้นมา แต่ครั้งนี้อุณหภูมิของมันกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เธอหยุดเดินในทันที มือเริ่มสั่นเทาเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างจากมัน “ซือหยู เป็นอะไรอีก” หลี่เสี่ยวหันมาถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอมีท่าทีประหลาดอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันที่ซือหยูจะได้ตอบคำถาม แสงสีเขียวก็พุ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ หายุหมุนเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หลี่เสี่ยวเห็นก็ถึงกับกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ “ซือหยู!!!!” หลี่เสี่ยวร้องเรียกเพื่อนสนิทของตนดังลั่น แต่ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว ซือหยูรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่รุนแรง ร่างของเธอถูกดูดกลืนหายไปกับแสงนั้น ทิ้งหลี่เสี่ยวให้ยืนตะลึงอยู่คนเดียวท่ามกลางความเงียบ เธอรู้สึกหมุนคว้าง ภาพรอบตัวเลือนราง... ... ... ... กรับๆๆๆ! เมื่อสติอันเลือนรางเริ่มกลับมาชัดเจน ซือหยูรู้สึกตัวอีกครั้ง เธอนอนอยู่บนพื้นดินชื้น ๆ กลิ่นดินและกลิ่นใบไม้จากป่าลอยเข้ามาสัมผัสจมูกของเธอ เสียงฝีเท้าของม้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ พบกับเงาของชายในชุดเกราะสีดำยืนอยู่เหนือร่างของเธอ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองลงมาด้วยความเย็นชา “เจ้าคือผู้ใด...” เสียงทุ้มจากชายหนุ่มแปลกหน้านั้นดังก้องในหู ซือหยูพยายามที่จะตอบคำถาม แต่ลมหายใจของเธอก็ติด ๆ ขัด ๆ จี้หยกในมือของเธอเรืองแสงอ่อน ๆ อีกครั้ง เธอไม่รู้ตัวเลยว่าโลกใหม่ที่เธอไม่เคยรู้จักกำลังจะเผยโฉมต่อหน้าเธอในอีกไม่ช้านี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD