ตอนที่ 8 ลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่

4879 Words
​ ช่วงเวลาไหลไปไวราวกับสายน้ำ ไม่ทันไรแขนและขาที่หักของตงเจี๋ยชู่ที่หายดีกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปกติด้วยความช่วยเหลือของชุนเถียนฉีและการดูแลอย่างเอาใจใส่ของพ่อเฒ่าอี้ แต่…แทนที่ชายหนุ่มจะรีบจากไปอย่างที่นางคิด เขากลับตามติดนางราวกับลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่ เริ่มต้นจาก เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่เมืองหอมบุปผา จู่ ๆ ก็ปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่งมาขอซื้อคฤหาสน์จวนสกุลสือที่อยู่ตรงกันข้ามกับจวนสกุลชุน ไม่เพียงรูปโฉมอ่อนเยาว์ยังมีท่าทางองอาจของเขาดึงดูดสายตาผู้คน ฐานะของเขาก็ดูจะร่ำรวยเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครไม่รู้ว่า นายท่านสือนั้นเป็นคนโลภมากกระหายทรัพย์เพียงใด แม้ว่าตนนั้นจะประกาศขายจวนว่างเปล่าเก่าโกโรโกโสนั่นอยู่ปาวๆ แต่ดันสนนราคาเรือนเก่าผุนั่นเอาไว้เสียจนสูงลิบลิ่วโดยอ้างว่าเป็นจวนที่อยู่ในทำเลดีต่อให้ไม่มีจวนลำพังเพียงราคาที่ดีก็ควรที่เขาจะต้องเรียกให้มากกว่านี้เสียอีก แต่มันใช่ที่ไหนเพราะพื้นที่ของจวนนี่เป็นพื้นที่ที่ไม่อาจขยับขยายได้ ทั้งพื้นที่ยังเป็นพื้นที่หน้ากว้างหลังสอบแถมหน้าจวนหันไปทางทิศตะวันตก ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ตรงข้ามกับตำราฮวงจุ้ยทั้งสิ้น แถมเรือนที่ปลูกไว้ก็ไม่เคยได้รับการดูแลซ่อมแซมเพดานจะถล่มลงมาเมื่อใดก็ไม่น่าแปลกใจ ทำให้ไม่มีผู้ใดโง่พอที่จะยอมควักเงินจำนวนดังกล่าวเพียงเพื่อซื้อจวนเน่าๆ หลังนั้น ทว่าทันทีที่คุณชายผู้นี้ปรากฏ นายท่านสือก็ยินยอมขายให้ในทันที คนโลภอย่างนายท่านผู้นั้นไม่มีอิดออดคิดเรียกเงินเพิ่มเหมือนอย่างเคยเป็นเรื่องที่แปลกจนกลายเป็นที่จับตามองของชาวเมือง ไม่ว่าจนหรือรวย ขุนนางหรือสามัญชน ทั่วทั้งเมืองหอมบุปผาล้วนกล่าวถึงชายปริศนาผู้นี้ ใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น คฤหาสน์เก่าโทรมกลายสภาพเป็นคฤหาสน์ใหม่กำแพงสีแดงสดล้อมรอบสี่ด้านสูงตระหง่านงามสง่า แต่ประตูจวนกลับไร้ป้ายชื่อใด ๆ ติดอยู่ มีเพียงธงรูปดอกไม้ดูประหลาดตาผืนหนึ่งเท่านั้นที่ถูกแขวนไว้ วันต่อมารถม้าเทียมอาชาพ่วงพีก็แล่นมาจอดเบื้องหน้าแต่กลับมีหนุ่มน้อยที่มาซื้อจวนเป็นคนขับ เมื่อรถม้าจอดเทียบหน้าจวนไร้นาม บุรุษปริศนาอีกผู้หนึ่งก็ย่างลงจากรถม้าอย่างองอาจแล้วก้าวเข้าสู่จวนพร้อมเหล่าข้ารับใช้ที่ติดตามมาอีกจำนวนหนึ่ง และในวันเดียวกันนั้นเอง… บุรุษผู้นั้นก็ไปปรากฏกายเยี่ยมเยือนจวนสกุลชุนโดยมิได้ส่งเทียบขอนัดหมายล่วงหน้าพร้อมของกำนัลมากมายเป็นภูเขาเลากาสร้างความฮือฮาไปทั่วเมืองหอมบุปผา คาดเดาและเล่าลือถึงชายปริศนาและเหตุผลในการเยือนเรือนสกุลชุนกันไปต่างๆ นานา จากวันนั้นผ่านมาได้สองอาทิตย์แล้ว ภายในเมืองยังคงคับคั่งไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาค้าขายเช่นเคย ร้านค้าและย่านตลาดล้วนคึกคักสมกับการเป็นเมืองพาณิชย์ไม่เปลี่ยนแปลง ทว่า... เมืองหอมบุปผาในช่วงหลายวันมานี้ กลับยิ่งมีสีสันยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา...จากการปรากฏกายของชายผู้นั้น! บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว บุคลิกท่าทางดูองอาจผึ่งผาย เรือนผมรวบไว้เพียงหลวมๆ กล่าวลือว่าเขามาพักรักษาตัวที่เมืองนี้หลังจากที่ต้องรักษาตัวอยู่นานทำให้ผิวกายและใบหน้าของเขาขาวราวกับหยก เสื้อตัวในสีดำตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีหายาก สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวนอกสีขาวตัดกัน รูปแบบของตัวเสื้อไม่เข้ากับความนิยมในตอนนี้ที่เหล่าคุณชายทั้งหลายนิยมใส่เสื้อตัดเย็บเป็นชุดไม่สวมเสื้อคลุมตัวนอกทับ กระนั้นเนื้อผ้า การตัดเย็บ ไปจนถึงหยกประดับอันประณีตกลับเป็นเครื่องชี้บอกฐานะอันร่ำรวยของชายหนุ่มอยู่ดี แต่งกายเรียบง่ายทะมัดทะแมงนี้ส่งผลให้ร่างสะโอดสะององอาจที่ดูจะผ่ายผอมลงไปบ้างจากความเจ็บป่วยดูงามราวกับภาพวาด ดวงตาของเขาแวววาวของเขาราวกับลูกปัดหินตาเสือ ดวงตายาวรีหางตายกสะบัดขึ้นเล็กน้อยส่งเสริมให้ใบหน้านั้นดูทั้งคมคายและเจ้าเล่ห์อยู่ในที มุมปากหยัดยิ้มร้ายกาจกระชากวิญญาณ ยามที่เขาปรายตามองไปทางใด หัวใจของหญิงสาวรอบ ๆ บริเวณนั้นก็เหมือนปลิวตามสายตาของเขาไป ด้วยภาพลักษณ์นั้นครึ่งหนึ่งทำให้เขาดูราวกับคุณชายผู้รักอิสระ อีกครึ่งกลับดูบาปหนาในสายตาของเหล่าสตรียิ่งนัก ภาพหนุ่มรูปงาม เป็นภาพที่จรุงใจใคร ๆ ไปทั่ว แต่ก็มีสิ่งที่ขัดใจใคร ๆ ทุกคนเหล่านั้นไปด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ… สตรีที่เดินอยู่ด้านหน้าของเขา…แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่นางผู้มี ‘ชื่อเสีย’ สะพัดไปทั่วเมือง… ชุนเถียนฉี นับตั้งแต่วันที่นางถอดเฝือกให้กับคุณชายตงทั้งยังประกาศอย่างร่าเริงว่า เขาหายดีแล้วเหลือก็เพียงแค่ให้เขาหมั่นฝึกเดินอีกครั้งก็ผ่านมาได้เกือบจะสามอาทิตย์ นางบอกกับเขาว่า เมื่อเขาสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติเมื่อใดและพร้อมจะจากไปเมื่อไหร่ก็สามารถจากไปได้เลยนางไม่คิดค่ารักษา ไม่คิดบุญคุณติดค้าง และเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเกรงใจนางแต่อย่างใด กลับเป็นเขาเซ้าซี้นางอยู่พักใหญ่ต้องการตอบแทนบุญคุณที่นางได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ แต่นางหาได้สนใจไม่ เพราะการที่นำเขามารักษานางเองก็ได้ประโยชน์เช่นกัน... ก็โดยการใช้เขาเป็นหนูลองวิชาของนางอย่างไรเล่า ทว่าใครจะไปคิดว่า ไม่กี่วันต่อมาชายหนุ่มก็มาปรากฏกายที่จวนสกุลชุนของนาง แล้วยังกลายมาเป็นเพื่อนบ้านหน้าบ้านหันชนกันเสียอย่างนั้น ซ้ำยังนำของขวัญมากมายมากำนัลให้อีกด้วย แต่ที่ทำเอาคนทั้งบ้านหนาวสันหลังวาบสะท้านกันไปทั้งตระกูลนั่นก็คือ… ของขวัญที่นำมาให้นั้น ไม่เพียงเจาะจงตามจำนวนคนในตระกูลและบ่าวไพร่ได้อย่างถูกต้อง แต่ละชิ้นยังเหมาะสมราวกับเจาะจงตัวคนรับอีกด้วย! แล้วทำไมถึงน่ากลัวอย่างนั้นหรือ? ก็ท่ามกลางสิ่งของพวกนี้บางชิ้นนั้น ‘คนบางคน’ เพิ่งเปรยขึ้นลอยๆ ว่าอยากได้ ‘เมื่อวานนี้’ เองน่ะสิ! ทีแรกนางก็หวั่นๆ กลัวว่าเขาจะเปิดโปงความลับของนางต่อหน้าผู้คนมากมายนี้หรือไม่ ชุนเถียนฉีแอบยืนหลบอยู่ด้านหลังคนอื่นๆ ในครอบครัวอย่างมิดชิด แต่…ไม่เพียงเขาจะไม่ปูดเรื่องที่นางปิดเอาไว้เท่านั้น… ชายหนุ่มยังตามติดนางไปทั่ว อย่างไรน่ะหรือ? ก็ยังคงต้องย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อวันนั้นอยู่ดี ‘ผู้น้อยแซ่ตง เดินทางมายังเมืองนี้เป็นครั้งแรก ที่ทางในเมืองยังไม่แจ้ง หากนายท่านชุนไม่รังเกียจ ข้าอยากขออนุญาตให้แม่นางชุนพาข้าแนะนำที่ทางในเมืองหอมบุปผานี้สักหน่อยจะได้หรือไม่’ ไม่เพียงเอ่ยปากขอเองอย่างหน้าหนา ทั้งยังผายมืออย่างจงใจเจาะจงมาที่ชุนเถียนฉี ทำให้คนทั้งบ้านต่างหน้าเปลี่ยนสีกันไปคนละสี มารดาของนางยกมือปิดปากหน้าซีด เหล่าภรรยาน้อยทั้งหลายของท่านพ่อพากันป้องปากซุบซิบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่ชายใหญ่ของนางไม่รู้ทำไมถึงได้กลั้นหายใจจนหน้าเขียว ส่วนน้องสาวคนเล็กของนางกลับมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและส่งสายตาอาฆาตริษยามาที่นาง โชคดีที่น้องชายสามก็ไม่อยู่บ้าน นางจึงไม่ต้องอธิบายถึง นายท่านชุนมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย ลอบชำเลืองมองไปยังชุนเถียนฉีซึ่งแต่งกายแนบเนียนไปกับเหล่าข้ารับใช้อย่างไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อนึกถึงของขวัญล้ำค่ามากมายที่คุณชายท่านนี้นำมากำนัลให้อย่างน่าใจหาย แม้ใจหนึ่งจะกังวล แต่อีกใจก็อยากจะผูกมิตรกับเพื่อนบ้านใหม่ผู้ร่ำรวยและเป็นปริศนาผู้นี้เอาไว้ จึงได้แต่จำใจตอบไปด้วยรอยยิ้มของพ่อค้า ‘คุณชายตง ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องนี้ช่างเล็กน้อยนัก แต่ว่า...ลูกสาวข้าคนนี้ดีแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ ไม่เป็นการเป็นงานไม่เป็นโล้เป็นพาย ข้าเกรงว่าหากเป็นนางอาจจะทำเรื่องเสียมารยากับคุณชายตงได้ ข้าว่าเป็น...’ นายท่านชุนยังไม่ทันที่จะเอ่ยจบก็ถูกตัดบทขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ‘เช่นนั้นก็ยิ่งดี แสดงว่าคุณหนูชุนเชี่ยวชาญสถานที่ในเมือง ข้าน้อยคงต้องขอฝากตัวกับแม่นางแล้ว’ ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่านางจะไปไหนเขาก็จะเดินตามหลังนางต้อย ๆ ราวกับลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่ ระหว่างที่เดินไปเขาก็จะคอยชวนพูดชวนคุย หาได้รู้จักเหน็ดเหนื่อย หาได้รู้จักหยุดปากไม่ ที่สำคัญคือไม่ว่าเขาจะตามไปไหน สายตาผู้คนก็จะคอยตามติดเขาด้วยความสงสัยไปตลอดทาง ทำให้หลายวันมานี้นางไม่สามารถแอบไปไหนมาไหนได้ดังใจ มิหนำซ้ำ... วันแรก... ‘อุ๊ย! ว๊ายยยย!!’ เสียงหวานของสตรีนางหนึ่งอุทานขึ้น เมื่อร่างบางในชุดบางพลิ้วสีหวานตัดเย็บซ้อนกันเป็นชั้นๆ แสร้งซวนเซมาซบ...เอ่อ...ชนอกกว้างเข้าอย่างไม่ตั้งใจ แต่ปรากฏว่าร่างสูงแอบสืบเท้าถอยหลังหลบอย่างแนบเนียน ผลก็คือร่างบางดังกล่าวล้มคะมำคว่ำไปกับพื้น…ไม่เป็นท่า ร่างสูงหลุบตามองต่ำไม่เอ่ยอันใด สาวเท้าก้าวหลบนางไปอย่างเนียน ๆ นั่นยังไม่พอ...หลังจากพ้นร่างหญิงสาวซุ่มซ่ามนางนั้นไปได้ไม่นาน ทั้งสองก็เดินผ่าน เหลายี่ตี่ ภัตตาคารชื่อดังอันดับหนึ่งของเมืองหอมบุปผา ก็ปรากฏผ้าเช็ดหน้าผืนบางสีหวานลอยมาตกตรงหน้าทั้งสองอย่างไม่พลาดเป้า ชุนเถียนฉีได้แต่ถอนหายใจ... นี่เป็นผืนที่หกของวันนี้แล้ว ชุนเถียนฉีหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองชั้นสองของเหลา พบคุณหนูนางหนึ่งชะโงกพ้นขอบระเบียงเหลาออกมาครึ่งตัวอย่างน่าหวาดเสียว ทั้งยังอดแปลกใจและสงสัยไม่ได้ว่าในบรรดาวิชาการที่เหล่าคุณหนูผู้ดีพวกนี้ร่ำเรียนในจวนจะต้องมีวิชา ‘โยนผ้าเช็ดหน้าให้ตรงเป้า’ ด้วยอย่างแน่นอน เพราะแต่ละนางนั้นช่างโยนลงมาตกได้ตรงเป้าหมายอย่างมืออาชีพเสียจริง ‘อุ๊ย!!’ นางร้อง ‘อุทานเสียงดังฟังชัด’ หรือจะพูดให้ถูกกว่าคือ ‘ตะโกนเสียงดังฟังชัด’ ลงมาจากชั้นสอง ชุนเถียนฉีเห็นดังนั้นก็ยิ้มแหยๆ ลอบหัวเราะเหอะๆ อยู่ในใจ ส่วนตงเจี๋ยชู่เห็นชุนเถียนฉีหยุดยืนมองขึ้นไปบนเหลานิ่ง ก็มองตามสายตานางขึ้นไปบ้าง ‘คุณชายท่านนั้น! บังเอิญเหลือเกินเจ้าค่ะ บังเอิญข้าทำผ้าเช็ดหน้าตกลงไป ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยเก็บขึ้นมาให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ’ เสียงหวานหยดตะโกนดังลงมาได้ยินกันชัดไปทั้งถนน ย้ำคำว่า ‘บังเอิญ’ ซ้ำถึงสองหน หนึ่งบุรุษรูปงาม หนึ่งสตรีสะคราญโฉม กับอีกหนึ่งผ้าเช็ดหน้าสื่อรัก นี่อาจเป็นช่วงเวลาอันงดงามที่น่าจดจำ ผู้คนต่างหยุดยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสนอกสนใจโดยไม่มีผู้ใดสนใจชุนเถียนฉีเลยแม้แต่น้อย ทว่า... ตุบ! รองเท้าหนังสีดำเหยียบลงไปบนผ้าเช็ดหน้าสีหวานปักลายอย่างไม่พลาดเป้า ร่างสูงของบุรุษหนุ่มจากที่เมื่อกี้เงยมองชั้นสองของเหลา อยู่ๆ ก็สาวเท้าไปเบื้องหน้าเหยียบผ้าเช็ดหน้าสื่อรักอย่างไม่สนใจไยดี พลางสะบัดเท้าสลัดผ้าผืนน้อยให้พ้นทางทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ ซ้ำหันมาส่งยิ้มหวานให้กับชุนเถียนฉี เอ่ยถามนางอย่างเอาอกเอาใจ ‘เถียนฉี ข้าได้ยินมาว่าเหลายี่ตี่นี่ เป็นภัตตาคารอันดับหนึ่งของเมือง นี่ก็เที่ยงแล้วเจ้าพาข้าเดินชมตลาดมาทั้งวัน หิวแล้วหรือไม่? ’ น้ำเสียงของชายหนุ่มอบอุ่นราวกับสายลมวสันต์ ชุนเถียนฉีได้แต่ชำเลืองมองผ้าเช็ดหน้าประทับรอยรองเท้าดำเป็นปื้นแล้วเหลือบตาขึ้นมองคุณหนูเสียงดีผู้นั้นอย่างเกรงใจ ก่อนตอบว่า... ‘เรียนคุณชายตง ข้าคิดว่า...เอาไว้โอกาสหน้าจะดีกว่าเจ้าค่ะ’ แล้วนางจึงเดินอ้อมผ้าเช็ดหน้าก้าวออกนำไปด้วยสีหน้าสงบนิ่งอย่างไว้อาลัย วันที่สอง... ชุนเถียนฉีนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่ไม่ว่านางจะพาคุณชายตงผู้นี้ไปที่ใด ไม่ว่าจะเป็นกลางตลาด กลางร้านผ้า กลางร้านเครื่องเขียน กลางร้านหนังสือ หรือกลางร้านน้ำชา ก็มีเหล่าแม่นางน้อยทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาเป็นลมใส่บ้าง เยี่ยมหน้าเข้ามาทักทายเสมือนรู้จักมักจี่นางบ้าง แสร้งปีนป่ายกำแพงบ้านหรือต้นไม้ขึ้นไปแล้วลงมาไม่ได้บ้าง โปรยผ้าเช็ดหน้าใส่พวกนางบ้าง เป้าหมายของคุณหนูเหล่านี้ล้วนมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือ เพื่อให้ตนได้ออกมาปะ มาเจอ มาเข้าหาชายหนุ่มอย่างไม่ได้หยุดหย่อน แต่ทุกๆ นางก็ล้วนถูกความเฉยชาอย่างหน้าหนาของบุรุษหน้าหยกผู้นี้หักหน้าจนกลายเป็นเศษซากเกลื่อนไปทั้งเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมดังเช่นเมื่อวาน ชุนเถียนฉีจึงนำ ‘คุณชายตง’ มายัง หอเทียนถางจือเชิง หอสุราที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหอมบุปผา สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเป็นอันดับสองรองจากเหลายี่ตี่ แม้ว่าอาหารจะเป็นปัจจัยแรกในการพิจารณาอันดับความนิยมสถานที่แต่ละแห่งของผู้คนในเมืองนี้ก็ตาม แต่เรื่องของบรรยากาศและบริการก็สำคัญไม่แพ้กันในทุกยุคทุกสมัย แม้ว่าหอเทียนถางจือเชิงจะเป็นรองเรื่องรสชาติและวัตถุดิบ แต่ในเรื่องสถานที่และบริการนั้นเลื่องชื่อยิ่ง เพราะไม่เพียงที่นี่จะมีอาหารอร่อยให้กิน ยังมีรายการสุรากว่าร้อยชนิดจากทั่วทุกสารทิศในแคว้นนี้ ทุกห้องบนทั้งสี่ชั้นของหอสุราตกแต่งประดับประดาไปด้วยภาพวาดวิจิตรของจิตรกรมีชื่อเสียง ทั้งยังมีการแสดงสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดทั้งวัน ห้องส่วนตัวทุกห้องจะมีหน้าต่างใหญ่เปิดโล่งให้ผู้มาเยือนสามารถมองเห็นการแสดงบนเวทีกลางได้อย่างชัดเจน หากไม่ต้องการก็สามารถปิดม่านหรือเรียกนักแสดงเข้ามาแสดงให้ชมเป็นการส่วนตัวในห้องได้เช่นกัน ถึงกระนั้นหอแห่งนี้ไม่มีบริการในเรื่องอย่างว่าเพราะเป็นเพียงหอสุรา หากลูกค้าต้องการทางร้านยินดีที่จะเชื้อเชิญไปยัง หอจินฮวา ซึ่งเป็นหอนางโลมภายใต้เจ้าของกิจการเดียวกันได้ และยิ่งไปกว่านั้นหอสุราแห่งนี้ยังคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของลูกค้ามากเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้เป็นที่นิยมของเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่มายังเมืองหอมบุปผานี้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อบิดาสั่งให้นางเลี้ยงอาหารคุณชายตง ชุนเถียนฉีจึงเลือกที่จะพาคุณชายตงมาที่นี่ แทนที่จะเป็น ‘เหลายี่ตี่’ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเกิดเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อวาน และเมื่อมาถึง นางก็กล่าวกับเสี่ยวเอ้อ...ขอที่นั่งชั้นบนสุด ในมุมที่ปลีกวิเวกที่สุด...เพื่อที่จะหลบเลี่ยงการเกิดเหตุน่าโศกสลดอย่างเช่นเมื่อวานอีกนั่นแหละ แต่ทว่า... พอพวกนางหย่อยก้นนั่งได้ไม่ถึงช่วงหนึ่งถ้วยชา ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา พิจารณาจากการแต่งกายของคนผู้นี้แล้ว น่าจะเป็นคนดูแลหอแห่งนี้ไม่ผิดอย่างแน่นอน ชายผู้นั้นประสานมือโค้งทักทายแขกผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้มที่ส่งให้ใบหน้าของเขาดูเหมือนกับแมวอ้วนเจ้าเล่ห์ ‘คุณชาย ข้าน้อยเป็นผู้จัดการดูแลหอแห่งนี้ มีนามว่าตันหลิว วันนี้ทางร้านของเราได้เชิญแม่นางอวี้หลิงผู้มีฝีมือในการดีดพิณเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นมาทำการแสดงให้กับแขกของหอเทียนถางจือเชิงได้เพลิดเพลิน เสียดายที่พวกท่านมาช้าไปก้าวหนึ่ง แต่แม่นางอวี้หลิงมีจิตใจดีงามกว้างขวาง ไม่อยากให้ท่านที่อุตส่าห์มาเยือนในวันนี้ต้องเสียโอกาส จึงเสนอที่จะทำการแสดงให้กับท่านได้ชมเป็นการส่วนตัว โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม’ ผู้จัดการหอสุราเอ่ยแนะนำตนเองและ ‘แม่นางอวี้หลิง’ อย่างนอบน้อม พูดจบก็ถอยหลังให้กับแม่นางอวี้หลิงได้เดินเข้ามาด้านใน นางยอบกายกล่าวทักทายอย่างอ่อนหวาน ‘คารวะคุณชาย’ ท่วงท่าอ่อนช้อย น้ำเสียงอ่อนหวาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้น ขนตางอนงามก็กระพือราวกับปีกผีเสื้อ ดวงตาดอกท้อฉ่ำน้ำแวววาวดูเย้ายวน ชุนเถียงฉีมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกชื่นชมในใจพร้อมยกนิ้วให้ว่านางจัดว่าเป็นสตรีที่รู้จักการใช้รูปโฉมของตนได้อย่างมืออาชีพ เอวนางบางราวกับกิ่งหลิวยามที่ยอบกายคารวะดูโอนเอนราวกับจะล้มมิล้มแหล่น่าทะนุถนอมยิ่ง เมื่อเอนร่างไปด้านหนึ่งเล็กน้อยดูราวกับบุปผาต้องลม ใบหน้าของนางก็เต็มอิ่ม ยามยิ้มน้อย ๆ ราวกับบุษบาผลิบาน อีกทั้งนางยังแสร้งยกมือขึ้นทาบอกยามค้อมกายทักทายแต่มือนั่นก็ไม่ได้ปกปิดเนินถัน ราวกับนางได้ใช้มือข้างนั้นเพียงเพื่อนำสายตาผู้คนไปยังสองปทุมมาอวบอัดล้นเอ่อของตนเสียมากกว่า ช่างเป็นสตรีเปี่ยมไปด้วยเล่ห์และเสน่ห์เย้ายวนใจชายจริงๆ …ข้าน้อยขอคารวะหนึ่งจอก หญิงสาวรินชายกขึ้นซด แอบลอบยิ้มกริ่มอย่างปลงตก หวังเพียงจะไม่เกิดโศกนาฏกรรมที่นี่ ทำไมชุนเถียนฉีจะไม่รู้จักนางโลมขายศิลป์อันดับหนึ่งของเมืองหอมบุปผา… อวี้หลิงเป็นนางโลมเลื่องชื่อ ขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่างที่โด่งดังไปทั่วแคว้นเป็นหน้าเป็นตาดึงดูดผู้คนให้มายลโฉมนางถึงเมืองหอมบุปผาแห่งนี้ นางไม่ได้มีเพียงฝีมือดีดพิณอันล้ำเลิศแต่นางสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิด ไม่เท่านั้นนางยังมีรูปโฉมที่งดงาม จริตอันเย้ายวน และมธุรสวาจาหวานล้ำ ถึงได้รอดปากเหยี่ยวปากกามาจนถึงทุกวันนี้ แม้นางจะเป็นเพียงสามัญชนก็ตามแต่ก็มีรูปโฉมโนมพรรณไม่ย่อหย่อนไปกว่าเหล่าคุณหนูตระกูลสูงส่งทั้งหลาย ชุนเถียนฉีมองนางด้วยสายตาชื่นชมพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของตนเองเงียบ ๆ ทว่าการกล่าวทักทายและการมาปรากฏตัวของคนทั้งสองกลับระคายหูระคายตาของร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ นางยิ่ง ยามที่ทั้งคู่กล่าวทักทายเขานั้น สายตาและท่าทางต่างล้วนมองข้ามหัวชุนเถียนฉีไป ตันหลิวหาได้เอ่ยทักทายนางเช่นเดียวกับเอ่ยทักทายตงเจี๋ยชู่ไม่ ตงเจี๋ยชู่มองท่าทางของชายที่มีนามว่าตันหลิวและหญิงที่มีนามว่าอวี้หลิงด้วยแววตาเย็นยะเยือกไม่ตอบคำทักทายของคนทั้งสองแต่อย่างใด แต่กลับแสร้งดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อทำทีเป็นซับเหงื่อให้ชุนเถียนฉี ‘วันนี้อากาศร้อนนัก เราเดินกันมาตั้งไกล เจ้าเหนื่อยหรือไม่? ’ ชายหนุ่มกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเอาอกเอาใจ ชุนเถียนฉีนั่งหน้านิ่งตาเป็นปลาตาย วางตัวไม่ถูก จะเหนื่อยอันใด...ยามมาก็นั่งรถมา ยามเดินก็เดินขึ้นหอสุราเพียงไม่กี่ก้าว นางฝึกสุดยอดวิชาตัวเบาย่างก้าวเก้าบงกชสวรรค์ เดินเพียงแค่นี้จะมีเหงื่อได้อย่างไร? จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ตงเจี๋ยชู่ยังหาได้สองใจสองผู้เสนอหน้าไม่ เสี่ยวเอ้อก็เดินเข้ามานำสุราอาหารที่แขกทั้งสองสั่งขึ้นโต๊ะ ตงเจี๋ยชู่จึงแย้มยิ้มหันไปกล่าวกับชุนเถียนฉีอย่างเอาใจใส่ ‘เถียนฉี สุรานี้รสอ่อนติดหวานละมุนดื่มง่ายเหมาะกับสตรี เจ้าลองชิมดูสิ’ ตงเจี๋ยชู่พูดพลางวางจอกสุราใส่มือบางแล้วยกกาสุราขึ้นรินใส่จอกให้ชุนเถียนฉีด้วยท่าทางเอาอกเอาใจ ทุกกิริยาล้วนหยอกเย้าหวานหยดประดุจบุรุษในหอชายงามไม่ย่อหย่อนน้อยหน้าท่าทางของแม่นางอวี้หลิง ชุนเถียนฉีมองแล้วรู้สึกไม่สบายใจนัก ถึงแม้นางจะแกล้งทำตัวโง่เง่า แต่ว่ากันตามสามัญสำนึกแล้ว นางซึ่งเป็นเจ้ามือต่างหากที่ควรจะต้องเป็นฝ่ายรินสุราเชื้อเชิญแขก แถมยัง... ‘คุณชายตง ท่านเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ อันที่จริงแล้ว...มื้อนี้เป็นท่านพ่อของข้าที่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยง เป็นข้าที่ควรรินสุราให้ท่านถึงจะถูก อีกอย่าง ข้าว่า ท...ท่านตันหลิว เอ่อ...เชิญแม่นางแสดงเถิด’ ถึงแม้คนผู้นี้จะไม่ได้กล่าวทักทายนางอย่างไร้มารยาทก็ตาม แต่นางหาได้ถือสาอันใดไม่ เพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้คนเมืองนี้จะมองข้ามนางผู้มีชื่อเสียงเสียที่นางเฝ้าสั่งสมเอาไว้ ผิดกับบุรุษที่อยู่ข้างๆ ที่เข้าเมืองมาปุ๊บก็กลายเป็นข่าวใหญ่ชื่อเสียงหอมหวานให้ชาวบ้านร้านตลาดได้คุยกันฟุ้งไปทั้งเมืองทันที แม่นางอวี้หลิงเบะปากใส่ชุนเถียนฉีพร้อมสายตาดูแคลนแล้วหันไปยิ้มหวานให้ตงเจี๋ยชู่ จากนั้นก็เรียกให้เหล่าสาวใช้ของนางมาจัดที่ทางให้นางนั่งบรรเลงพิณ ชุนเถียนฉีพริ้มตาลงสดับเสียงพิณบรรเลงของแม่นางอวี้หลิง พูดไปแล้วฝีมือบรรเลงพิณของนางนั้นเรียกได้ว่าชั้นหนึ่งนั้นไม่ผิดแน่ ท่ามกลางเหล่าบรรดานางโลมในใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดมีฝีไม้ลายมือเทียบเท่านางอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่นหรือลีลา แม่นางอวี้หลิงสามารถทำได้เป็นอย่างดี แม้ในท่อนที่ยากที่สุดนางยังดีดไม่พลาดไม่สะดุดเลยแม้แต่โน้ตเดียว เพียงแต่...การจะเปรียบเทียบสิ่งใดย่อมต้องมีหลักการ แม้เป็นสิ่งเดียวกันแต่ก็ไม่อาจเอาของต่างชั้นกันมาเทียบได้ แม้แม่นางอวี้หลิงจะเป็นที่หนึ่งในหมู่นางโลมขายศิลป์แต่นางก็หาใช่ที่หนึ่งในใต้หล้าไม่ เพราะหากนำนางนางโลมผู้นี้ไปเปรียบเทียบกับท่านอาจารย์ผู้มีวิชาความรู้สูงส่งเหล่านั้นแล้ว นางยังขาดอารมณ์ลึกซึ้งในท่วงทำนองอยู่หลายส่วน เพราะสำหรับนางโลมเช่นนางแล้วการบรรเลงพิณมีวัตถุประสงค์เดียวนั้นคือเพื่อขายความเพลิดเพลิน ยิ่งในหอนางโลมด้วยแล้ว แม้เพลงโศกเพียงไรก็ทำให้สุขได้ขอเพียงผู้ซื้อสำราญใจก็เพียงพอแล้ว ผิดกับเหล่าผู้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริงที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกลึกซึ้งของบทเพลงที่ผู้ประพันธ์แฝงไว้ได้ถึงแก่นแท้ตีแผ่เรื่องราวแท้จริงอันซ่อนอยู่ในบทเพลงนั้น คิดมาถึงตรงนี้ชุนเถียนฉีก็ถอนใจ นางคิดถึงท่านอาจารย์ลุ่ยยิ่งนัก แม้หลายสิบปีมาแล้วนางยังจำบทเพลงที่ท่านอาจารย์สอนสั่งได้ดี บทเพลงที่ท่านบรรเลงในเวลานั้นก็เป็นเพลงเดียวกันกับที่แม่นางอวี้หลิงกำลังบรรเลงอยู่ในตอนนี้ ‘เฮ้อ...พอได้แล้ว ออกไปๆ เสียงพิณของเจ้าระคายหูเถียนฉีของข้ายิ่งนัก นางถึงกับถอนหายใจ' ห๊ะ!? ข้าว่าก็ไม่ได้แย่นะ ชุนเถียนฉีสะดุ้งหันมองหน้าตงเจี๋ยชู่ตาโต เสียงของบุรุษข้างกายนางเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ พลางโบกมือไล่ เร่งไล่ให้แม่นางอวี้รีบออกไปราวกับหมูกับหมาอีกต่างหาก สีหน้าของแม่นางอวี้หลังจากถูกคุณชายตงเมินก็ยากจะมองอยู่แล้ว มาบัดนี้เขียวคล้ำจนน่าใจหาย ‘แม่นางชุน ข้าว่าท่านออกจะพูดรุนแรงเกินไปหน่อยหรือไม่ ในใต้หล้านี้ฝีมือการบรรเลงพิณของแม่นางอวี้หลิง มีเงินมีทองก็ใช่ว่าอยากจะฟังนางเล่นก็จะฟังได้หรอกนะ!’ หญิงรับใช้ข้างกายแม่นางอวี้หลิงก้าวออกมาปกป้องศักดิ์ศรีผู้เป็นนาย ห๊ะ!? ข้าว่าข้าก็ไม่ได้พูดอันใดนะ ครานี้นางหันไปทางหญิงรับใช้นางนั้นด้วยความฉงน สถานการณ์เช่นนี้นี่มันอันใดกันเล่า? ‘คุณชายตง ข้าหาได้ระคายเสียงบรรเลงพิณไม่ ข้าเพียงแต่ถอนหายใจ’ ชุนเถียนฉีรีบหันไปกล่าวแก้ ‘เถียนฉี ข้ารู้ว่าเจ้ามีจิตใจดี ไม่อยากพูดความจริงจนเป็นการทำร้ายจิตใจนาง แต่เสียงพิณของนางบาดหูชวนหดหู่ถึงเพียงนี้ ทำให้เถียนฉีบ้านข้าถึงกับถอนหายใจ ฮึ! หอสุรานี้มันอย่างไร ย้อมแมวขาย เอา ‘ของไร้คุณภาพ’ เช่นนี้มายัดเยียดให้พวกข้า พวกเจ้าคิดจะดูถูกพวกเราหรือว่าที่แท้แล้วเจ้าต้องการมีเรื่องกับข้า!’ ตึง! โครม! จบประโยคตงเจี๋ยชู่ซัดฝ่ามือลงกลางโต๊ะจนแผ่นไม้หนาที่ต่อเป็นโต๊ะสลักเสลางดงามหักออกจากกันเป็นสองท่อน โต๊ะทั้งโต๊ะพังลงกับพื้น จานอาหารแตกกระจาย ผู้ดูแลหอ แม่นางอวี้หลิง ตลอดจนข้ารับใช้ของนางต่างพากันขวัญกระเจิงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ลนลานคุกเข่าโขกศีรษะขออภัยแล้วรีบพากันหนีตายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ผู้จัดการหอสั่งให้เสี่ยวเอ้อเข้ามาจัดการเก็บกวาดแล้วเร่งให้คนนำสำรับอาหารสุราชุดใหม่มาให้โดยเร็วที่สุดเพื่อเป็นการชดเชยให้ ทั้งกำชับว่าดูแลคุณชายอย่าได้ขาดตก ชุนเถียนฉีมุมปากกระตุก... เหอะๆ เถียนฉีบ้านท่าน...อย่างนั้นหรือ? หญิงสาวยกชาถ้วยที่รอดชีวิตเพราะอยู่ในมือนางขึ้นจิบอย่างสง่างาม แล้วก็...วันที่สาม... เหตุการณ์ในช่วงสองวันที่ผ่านมาทำให้ชุนเถียนฉีอดรู้สึกเวทนาต่อเหล่าสตรีแห่งเมืองหอมบุปผาไม่ได้ เช่นนั้นวันนี้นางจึงกล่าวกับคุณชายตง ขอหยุดพักการนำเที่ยวเมืองหนึ่งวันเพื่อพักผ่อนจิตใจอันอ่อนล้าของนาง ‘คุณหนู! ค...คุณหนูเจ้าขา!!’ ซือซือสาวใช้คนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของชุนเถียนฉีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในเรือนของนาง ชุนเถียนฉีถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นจากตั่งไม้ตัวยาวที่นอนอยู่จนแทบร่วง ปกติซือซือเป็นคนเรียบร้อย แม้จะเป็นสาวน้อยร่าเริงใสซื่อแต่นางไม่เคยทำกิริยากระโตกกระตาก กลับกันนางกลับชอบพูดเสียงค่อยๆ เบาๆ ซึ่งถูกใจชุนเถียนฉีที่ชอบอ่านหนังสือในยามว่าง แม้ในยามที่นางมีเรื่องตื่นเต้น ซือซือก็ทำเพียงเอียงตัวไปมาเหมือนลูกหมาตัวน้อย ๆ เท่านั้น ทว่ายามนี้ซือซือผู้เรียบร้อยเงียบสงบของนางกลับวิ่งกระหืดกระหอบร้องตะโกนเสียงดังอันผิดวิสัยซือซือ ทำให้ชุนเถียนฉีรีบลุกวิ่งออกมานอกเรือนแล้วเอ่ยถาม ‘ซือซือ ไยเจ้าถึงได้ร้องตะโกนเสียงดังถึงเพียงนี้เล่า? ’ ซือซือวิ่งมาหยุดหน้าคุณหนูของตนด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางหอบหายใจเข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ชุนเถียนฉีจึงโบกมือพัดให้นาง ‘ค...คุณ ค...คุณหนู เจ้าคะ…’ ‘เอ้า...มีอันใด ค่อยๆ พูด หายใจหายคอเสียก่อน ไยเจ้าจึงกระหืดกระหอบมาเช่นนี้กันเล่า? ’ ซือซือรีบโบกมือ ‘ก...เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูสาม…’ ‘น้องสามหรือ? น้องสามทำสิ่งใดอีกเล่าครานี้’ ชุนเถียนฉีขมวดคิ้ว น้องสามของนางผู้นี้เป็นลูกสาวของท่านพ่อที่เกิดกับอนุที่ท่านย่ายัดเยียดมาให้ เพราะหลังจากที่ชุนเถียนฉีเกิดมาดูโลก สุขภาพของท่านแม่ก็ไม่สู้ดีจึงไม่อาจตั้งครรภ์มีลูกให้ท่านพ่อได้อีก ท่านย่าผู้เป็นสตรีหัวเก่าที่มีบุตรชายหญิงให้ท่านปู่ถึงเก้าคนจึงได้บังคับท่านพ่อให้รับอนุเข้าบ้านเพื่อผลิตลูกหลาน และถึงแม้ว่าท่านพ่อจะรับอนุมาถึงหกคนแต่สุดท้ายก็ยังผลิตได้เพียงครึ่งหนึ่งของท่านปู่กับท่านย่าอยู่ดี และเพราะแม่สองอนุที่ไม่ถูกตั้งเป็นภรรยาทั้งๆ ที่ตำแหน่งว่างจึงยิ่งถูกกระตุ้นความทะเยอทะยาน เสี้ยมสอนให้น้องรองของนางผู้นี้ชิงดีชิงเด่น ‘ค...คุณหนูรองป่นปี้หมดแล้วเจ้าค่ะ’ ‘เจ้าว่าอะไรนะ!!!’ โปรดติดตามตอนต่อไป ​
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD