ตอนที่ 4 "หนทางสุ่ยุทธภพ"

4185 Words
หากกบไม่ออกจากกะลา กบน้อยก็ไม่มีวันได้รู้ว่า ‘โลกใบนี้’ นั้นกว้างใหญ่และงดงามเพียงใด นางเองก็เชื่อว่าหากใน ‘วันนั้น’ นางไม่ได้ไปพบเข้ากับ ‘สิ่งนั้น’ นางยังคงไม่รู้เลยว่าชีวิตนั้นเต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจมากมายเพียงใด ครั้งเมื่อชุนเถียนฉีอายุได้แปดหนาว ในเวลานั้นนางไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กหญิงคนอื่น ๆ นางต้องการแสดงความพิเศษ ต้องการโอ้อวดความโดดเด่นของตนอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากบิดา และคำสรรเสริญเยินยอจากชาวบ้านที่นางเองก็ใช่ว่าจะรู้จัก ในเวลานั้นคุณชายรองสกุลหม่ายังให้ความสำคัญและใกล้ชิดกับนางยิ่ง ไม่ว่าเป็นตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้านางก็แตกฉานกระจ่างในทุกทาง ศาสตร์และศิลป์ทั้ง หมาก พิณ ภาพ อักษร นางล้วนล้ำเลิศ บันทึกและตำราล้ำค่าทุกเล่มในจวนที่บิดาขวนขวายหามาเก็บไว้นางล้วนอ่านจนจดจำได้ขึ้นใจ ในเวลานั้น ชุนเถียนฉีน้อยแสนจะเบื่อหน่ายกับหนังสืที่นางอ่านจบจนแตกฉาน นางจึงออกตามหาหนังสืออื่นที่หลงเหลืออยู่ในจวนเพื่ออ่านเล่นในยามว่าง จนไปพบกับหีบเก็บหนังสืออันเป็นสินเดิมของมารดาที่ถูกเก็บเอาไว้จนฝุ่นเกาะ เมื่อเปิดดูนางก็พบว่า หนังสือทุกเล่มล้วนแล้วแต่เป็นบันทึกการเดินทางของเหล่ายอดจอมยุทธผู้เป็นบรรพบุรุษข้างมารดา! เนื้อหาเรื่องราวในนั้นล้วนสนุกสนาน เต็มไปด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านบรรพบุรุษเหล่านั้นเดินทางไปพบ เรื่องราวการผจญภัยที่ดูเหมือนนิทานเรื่องแต่งและเหมือนหาแก่นสารสาระใด ๆ มิได้นั้น กลับดึงดูดความสนใจของชุนเถียนฉีเป็นอย่างยิ่ง บันทึกเหล่านั้นทำให้ชุนเถียนฉีรู้จัก โลกกว้าง เป็นครั้งแรก ตลอดมาจวนคหบดีตระกูลชุนและเมืองหอมบุปผาเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของนาง ผู้คนในโลกใบเล็กแคบนี้ ล้วนยกย่องนางเป็นดรุณีผู้ปราดเปรื่องและนางก็ผยองกับคำกล่าวเยินยอนั้น ทว่ายิ่งนางได้อ่านบันทึกการเดินทางเหล่านี้มากขึ้นเท่าใด นางผู้ปราดเปรื่องก็ยิ่งเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าแท้จริงแล้ว ‘โลกกว้าง’ นั้น กว้างใหญ่เพียงไร ยังมีอีกหลายสิ่งที่นางไม่เคยรู้จากหนังสือที่เคยอ่านมากเพียงไหน ทั้งตำราและหนังสือปรัชญานางได้อ่านได้ท่องมาเป็นสิบเป็นร้อยเล่ม แต่กลับไม่มีเล่มใดเคยกล่าวถึง จูหน้า สัตว์ประหลาดผู้มีใบหน้าเป็นหญิงสาวงดงาม มีร่างเป็นนก และมีมืองดงามคู่หนึ่ง สามารถทำนายทายทักอนาคตของบ้านเมืองได้ ปลิงมัจจุราชตัวเล็กที่ร่างของมันเล็กบางยิ่งกว่าเส้นผม มัจจุราชตัวจ้อยที่สามารถแทรกร่างเข้าไปควบคุมจิตใจและร่างกายมนุษย์ได้ ปูยักษ์ในทะเลอันไกลโพ้น เรื่องราวขององค์หญิงพเนจรในตำนานผู้มีหนึ่งร่างสองวิญญาณ นกคู่ที่ไม่อาจมีชีวิตได้เมื่ออยู่เพียงลำพัง และเหล่านักพรตเทพเซียนผู้สามารถเหาะเหินเดินอากาศ แม้ตำราและหนังสือเหล่านั้นจะเต็มไปด้วยคำสอนอันชาญฉลาด แต่ไม่มีเล่มใดที่เคยกล่าวถึงวิธีการเอาตัวรอดจากการลักพาตัว การหายใจในน้ำด้วยก้านกก หรือการเอาชีวิตรอดยามที่ตกอยู่ในวงล้อมของกองโจรเลย ความอยากรู้อยากเห็นโลกอัศจรรย์ที่อยู่ในบันทึกนั้นทับถมภายในร่างเล็กจ้อยนั้นมากขึ้นทุกที หลายต่อหลายครั้งนางซักถามบิดายามที่ท่านกลับจากการเดินทางเพื่อทำการค้า หลายคำถามนางได้รับคำตอบเป็นคำต่อว่าถึงความเหลวไหลในเรื่องราว เมื่อชุนเถียนฉีหันไปหามารดาและถามว่านางสามารถใช้วรยุทธ์ได้เหมือนกับเหล่าบรรพบุรุษหรือไม่ และไยท่านแม่และท่านตาถึงไม่ยอมสอนนางบ้าง มารดาก็ขมวดคิ้วส่งสายตาดุมาให้ทั้งยังกล่าวกับนางว่า “มันไม่เป็นกุลสตรี” ทั้งยังลงโทษให้นางคัดคำกลอนสอนหญิงกว่าร้อยจบอีกด้วย นานวันความปรารถนาที่มากขึ้นอย่างไม่อาจห้ามก็อัดแน่นอยู่ในร่างน้อย ๆ ของนาง แต่ด้วยความฉลาดเฉลียวของนางทำให้นางรู้ว่านางไม่ควรพูดหรือซักถามถึงเรื่องเหล่านั้นอีก วันแล้ววันเล่าผ่านไป ชุนเถียนฉีก็ได้ตระหนักกับตนเองว่า สิ่งที่นางเคยทำตามคำสอนของมารดากลับไม่ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับที่บันทึกเหล่านั้นมอบให้กับนาง ปัญญาทำให้นางรู้ว่า…ความสุขของนางไม่ได้เหมือนดั่งที่มารดาสอนไว้ ในยามที่นางอ่านบันทึกการเดินทางของเหล่าบรรพบุรุษ ความวูบโหวงความโหยหาบางอย่างวูบไหวอยู่ในอก ความอึดอัดบางอย่างอัดแน่นจนนางหายใจอย่างยากลำบาก ยามมองดวงจันทรากลางนภาที่ส่องสว่างอย่างเดียวดาย ก็นึกอดนำมาเปรียบกับตนเองไม่ได้ ความรู้สึกเหล่านี้ ทำให้นางเข้าใจถึงความทุกข์ใจเป็นครั้งแรก อยู่มาวันหนึ่ง นางได้อ่านบันทึกที่มีชื่อว่า “บันทึกการเดินทางของอวิ๋นม่อซ่าง” นางก็ได้พบกับเรื่องประหลาดใจ แม้ว่าบันทึกเล่มนี้ดูไม่ได้แตกต่างไปจากบันทึกเล่มอื่น ๆ ของบรรพบุรุษท่านอื่น ๆ เลยสักนิด ล้วนเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของอวิ๋นม่อซ่าง หรือก็คือบันทึกของท่านตาทวดของนางผู้เป็นจอมยุทธคนสุดท้ายของตระกูลอวิ๋น แต่มันกลับทำให้นางรู้สึกฉงน เพราะกลวิธีในการเรียงร้อยถ้อยคำตลอดไปจนถึงเรื่องราวในเล่มนั้น ช่างสลับซับซ้อนยิ่งนัก กล่าวว่าท่านตาทวดอวิ๋นม่อซ่างนั้น เป็นจอมยุทธอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลอวิ๋น เก่งทั้งบุ๋นและบู้อย่างหาตัวจับได้ยาก แถมยังมีความคิดอ่านลึกซึ้ง เชี่ยวชาญศาสตร์และศิลป์ ในบั้นปลายของเขากล่าวกันว่า…ท่านอวิ๋นม่อซ่างได้เดินทางเข้าสู่เส้นทางสายบำเพ็ญเพียร และในท้ายที่สุดท่านก็ได้กลายเป็นเทพเซียนมุ่งสู่สรวงสวรรค์ มารดาของนางยังเคยได้พบท่านครั้งหนึ่งซึ่งเกี่ยวพันมาถึงชาติกำเนิดของตัวนางเองอีกด้วย โดยที่เรื่องราวเหล่านี้ล้วนได้ถูกกล่าวไว้ในบันทึกอย่างคร่าว ๆ ชุนเถียนฉีตัวน้อยในเวลานั้น คร่ำเคร่งอ่านทวนซ้ำหนังสือบันทึกชุดนี้อยู่หลายราตรีจนเป็นเดือน ในที่สุดนางก็ได้ค้นพบกับความลับอันยิ่งใหญ่! ที่แท้ลีลาการร้อยเรียงถ้อยคำอย่างแปลกประหลาดน่าพิศวงที่นางติดอกติดใจนั้น ก็คือกลวิธีซุกซ่อนข้อความลับอย่างหนึ่ง! ในหน้าที่หนึ่งบรรทัดที่หนึ่ง นางถอดความได้ว่า… ถึงผู้มีวาสนา ขอท่านได้โปรดสืบทอดเคล็ดวิชาตระกูลอวิ๋น… เด็กหญิงตาโต ตลอดเวลาที่นางอ่านบันทึกการเดินทางเหล่านั้น ไม่มีเลยสักครั้งที่นางจะไม่รู้สึกกระหาย ความกระหายนี้ไม่อาจดับลงได้ด้วยการดื่มชาหรือน้ำธรรมดา เพราะมันคือความกระหายการเดินทางและการผจญภัย! นางรู้สึกเสียดายทุกครั้งว่า หากนางเป็นดั่งเช่นจอมยุทธเหล่านั้น มีวิทยายุทธของตระกูลอวิ๋นอันสูงส่ง นางคงจะได้ออกเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อพบเจอกับเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นเช่นเดียวกันกับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น เรื่องรัก เรื่องรบ เรื่องการล้างแค้น เรื่องมิตรภาพ หรือเรื่องการรักษาคุณธรรม ล้วนแล้วแต่ตื่นตาตื่นใจอย่างที่นางไม่มีวันได้สัมผัสในรั้วจวนที่มีเพียงกลอุบายต่ำช้าน่าสังเวชใจของเหล่าสตรีที่ไม่ว่าจวนใดก็หาได้แตกต่างกันอย่างแน่นอน ติดก็เพียงวิทยายุทธเลิศล้ำเหล่านั้นได้สูญหายไปแล้วในรุ่นท่านตาของนาง ในบันทึกของท่านตาทวดได้กล่าวเอาไว้อย่างติดตลกว่า ท่านตาของนางนั้นผ่าเหล่าผ่ากอยิ่ง แม้จะเป็นบุตรตระกูลอวิ๋นแต่เขาไม่ฝักใฝ่ในยุทธภพเฉกเช่นบรรพบุรุษรุ่นก่อน ๆ กลับชื่นชอบการทำมาค้าขาย ท่านตาแต่งงานกับบุตรีของนายวาณิชย์ผู้หนึ่ง ได้รับอิทธิพลอย่างเข้มข้นจากครอบครัวภรรยา อีกเรื่องที่เป็นเรื่องน่าแปลกคือท่านตาของนางไม่มีพรสวรรค์ด้านวรยุธ์เลยสักนิดเดียว แตกต่างจากทายาทตระกูลอวิ๋นรุ่นก่อน ๆ อย่างมาก แต่กลับมีพรสวรรค์ในด้านการค้าอย่างมากจนทำให้ร้านค้าเล็ก ๆ ข้างทางที่ได้รับช่วงต่อจากครอบครัวภรรยารุ่นเรืองเป็นอย่างมาก แม้ท่านจะเคยฝึกฝนวรยุทธมาจากท่านตาทวดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดสืบทอดจึงละทิ้งวรยุทธเอาเสียดื้อ ๆ แล้วหันไปเป็นพ่อค้าเร่สร้างกองคาราวาน ยิ่งมาถึงรุ่นมารดาของนางถือกำเนิดมาขึ้นมา นางก็เป็นเพียงสตรีตามขนบธรรมเนียมตามอย่างท่านยายไม่มีผิดเพี้ยน ไม่สนใจในวรยุทธไม่ฝักใฝ่เรื่องราวนอกรั้วนอกจวน หมกมุ่นอยู่กับการแต่งเนื้อแต่งตัวหาสามีดี ๆ สักคน คลอดลูก ดูแลเรือน สุดท้ายวิทยายุทธตระกูลอวิ๋นก็ไร้ผู้สืบทอดไปโดยปริยาย แต่นี่! นี่คือการค้นพบอันยิ่งใหญ่ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ชุนเถียนฉีรู้สึกเช่นนี้ ความตื่นเต้นยินดีอย่างที่นางไม่เคยสัมผัสเอิบอาบไปทั่วร่างเล็ก ๆ ของนางในวัยแปดหนาว ดวงตาของนางกระจ่างใสระยิบระยับไปด้วยความกระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางใช้เวลาเพียงสิบวันก็ถอดความจากหนังสือบันทึกการเดินทางของอวิ๋นม่อซ่างทั้งสิบแปดเล่มได้ทั้งหมด บันทึกการเดินทางของอวิ๋นม่อซ่างนั้น แบ่งออกเป็นช่วงวัยหนุ่มสิบสองเล่มและช่วงที่ท่านตาทวดเข้าสู่เส้นทางการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นเซียนอีกสี่เล่ม สิบสองเล่มแรกนั้นเมื่อถอดความทั้งหมดได้ ชุนเถียนฉีกลับพบว่ามันคือสุดยอดเคล็ดวิทยายุทธรวมสามคัมภีร์ด้วยกัน หนึ่งคือ คัมภีร์สุดยอดเคล็ดวิชาลมปราณสวรรค์ สองคือ คัมภีร์สุดยอดเคล็ดวิชาเพลงดาบเทพสงคราม และสามคือสุดยอดเคล็ดวิชาที่เลื่องลือในยุทธภพ คัมภีร์สุดยอดเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวเก้าบงกชสวรรค์ วิชาตัวเบาที่เหล่าจอมยุทธไม่อาจไม่กล่าวขานถึงได้ ดุจเป็นตำนานและความปรารถนาลึก ๆ ในใจของพวกเขา และที่ทำให้ชุนเถียนฉีตื่นเต้น กลับหาใช่การค้นพบคัมภีร์สุดยอดเคล็ดวิชาที่สาบสูญไม่ แต่เป็นข้อความที่นางถอดความออกมาจากบันทึกสี่เล่มสุดท้ายนั่นต่างหาก! บันทึกการเดินทางของอวิ๋นม่อซ่างสี่เล่มสุดท้ายที่กล่าวถึงเส้นทางการบำเพ็ญเพียรของท่านตาทวดนั้น ผิวเผินแล้วดูเรียบง่ายกล่าวถึงวิธีการบำเพ็ญพรตอย่างละเอียด ทว่านัยที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้และชุนเถียนฉีได้ค้นพบนั้น กลับเป็นบันทึกการค้นพบการมีอยู่ของ “สมบัติเทพเซียนทั้งแปด” บัดนั้นเองภายในมือน้อย ๆ ของชุนเถียรฉีได้ปรากฏทั้งเป้าหมายในชีวิตและเส้นทางสู่อิสรภาพที่นางเฝ้าโหยหามานานแสนนาน นางตระหนักได้ว่าโลกกว้างไม่ได้ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไปเมื่อนางมีคัมภีร์เหล่านี้ เรื่องราวมากมายในยุทธภพที่นางไขว่คว้า ได้มาอยู่ในกำมือของนางแล้ว! ในวันนั้นเอง ชุนเถียนฉีตัวน้อยก็ได้ตัดสินใจมุ่งหน้าไล่ตามความฝันของตนเอง จนกลายมาเป็นนางในทุกวันนี้… กลับมาสู่เรื่องราวหลักกันอีกครั้ง หลังจากที่นางใช้วิชาตัวเบาเล็ดลอดออกจากเมืองมาอย่างไม่มีผู้ใดพบเห็นแล้วนั้น ชุนเถียนฉีก็มุ่งหน้าขึ้นภูเขาทางทิศตะวันออกของเมือง จุดมุ่งหมายคือการเก็บสมุนไพรและการหา “คนไข้” ไว้ฝึกวิชา ต้องขอบอกเอาไว้ตรงนี้ว่า การเป็นวิทยายุทธเพียงอย่างเดียวสำหรับหญิงสาวผู้หนึ่งนั้น ไม่เพียงพอที่จะออกไปท่องยุทธภพ เพราะขนาดบุรุษมากฝีมือยังต้องมีผู้ให้การสนับสนุนด้านการเงินเพื่อใช้ในการเดินทางเลย หากผู้สนับสนุนเหล่านั้นไม่มาในรูปแบบ ‘ตระกูล’ หรือ ‘สำนัก’ แล้ว ก็จะมาในรูปแบบของกลุ่มบุคคลแบบต่าง ๆ อย่างบรรพบุรุษของนางนอกจากเป็นจอมยุทธแล้วยังพ่วงอาชีพเสริมในตำแหน่งงานที่แตกต่างกันออกไปด้วย เช่น ผู้คุ้มกัน คนส่งข่าว สายสืบ คนปรุงยา เป็นต้น ส่วนตัวนางนั้น นอกจากวิยายุทธของตระกูลอวิ๋นและการสืบหาข่าวเกี่ยวกับสมบัติเทพเซียนแห่งความสุขทั้งแปดแล้วยังมีอีกสิ่งที่นางรู้สึกสนใจไม่น้อยนั่นก็คือ ศาสตร์และศิลป์แห่งการรักษาและการปรุงยา ในยุคนี้ วิชาแพทย์และวิชาปรุงยานั้นมีความใกล้เคียงกันมาก การรักษาเน้นไปที่การจ่ายยา ผู้เป็นหมอทำหน้าที่ตรวจและรักษาโดยมากใช้การจ่ายยาให้กับผู้ป่วย ขณะเดียวกันที่ผู้ปรุงยาก็สามารถจ่ายยาให้ตามอาการต่าง ๆ ที่ผู้คนมาหาเช่นเดียวกัน แม้จะใกล้เคียงกัน แต่ทั้งคู่ก็หาใช่หนึ่งเดียวกันไม่ อุปมาอุปไมยให้ชัด ๆ ก็คือ สองบุรุษเมื่อเริ่มแรกอาจเริ่มต้นเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ล้วนชื่นชอบในสิ่งที่ละม้ายคล้ายกัน สนใจในสิ่งที่ละม้ายคล้ายกันในวัยเยาว์ แต่เมื่อทั้งสองเติบใหญ่ก็ค้นพบว่า ทั้งแนวทางและความสนใจนั้นแตกต่างกันออกไป วิชาแพทย์และวิชาปรุงยานั้นก็เปรียบดังบุรุษทั้งสองนี้ แม้กล่าวว่าต่างก็เพื่อการเยียวยาผู้คน แต่หนึ่งกลับเน้นไปที่วิธีการ อีกหนึ่งกลับเน้นไปที่ตัวยา แม้เป็นเมล็ดถั่วในฝักเดียวกัน แต่ก็เป็นถั่วคนละเม็ดอยู่ดี แน่นอนว่าสำหรับชุนเถียนฉีแล้ว ความสนใจด้านวิชาแพทย์และการปรุงยาเป็นเพียงการได้รับอิทธิพลมาจากบันทึกของเหล่าบรรพบุรุษสกุลอวิ๋นทั้งนั้น และในเมื่อเรียนแล้วก็ต้องฝึกฝน ทว่าชุนเถียนฉีนั้นเป็นคุณหนูตระกูลมีชื่อทั้งตัวนางเองยังมี ‘ชื่อเสีย’ กระฉ่อนไปทั่วเมืองหอมบุปผา จู่ ๆ มาบอกว่าตนมีความสามารถรักษาคนได้ใครเขาจะเชื่อ ทั้งนางยังเป็นบุตรีสกุลชุนผู้มีหน้ามีตา จึงหาใช่เรื่องง่ายที่จะมีโรงหมอหรือร้านขายยายอมรับนางเข้าไปเป็นผู้ช่วย หรือยอมปล่อยให้นางเข้ามาศึกษาเรียนรู้ เช่นนั้นแล้ว หากนางต้องการหา หนูลองยา สักตัว นางก็มีเพียงต้องออกไปหาเอาข้างนอกที่ผู้คนไม่รู้จักนาง เมื่อขึ้นเขามาได้สักพักหนึ่ง หญิงสาวก็ยอบกายลงข้างพุ่มไม้ใหญ่กอหนึ่ง ข้าง ๆ มีหินสองก้อน ก้อนเล็กซ้อนก้อนใหญ่ ดูราวกับหินทั้งสองก้อนนั้นต่อติดกันแน่น แต่เมื่อนางยกหินก้อนบนแล้วบิดเล็กน้อย หินทั้งสองก้อนก็หลุดออกจากกันทำให้เห็นโพรงด้านในที่มีงอบผ้ามุ้งและเสื้อคลุมสีตุ่น ๆ เก็บซ่อนเอาไว้ ชุนเถียนฉีดึงผ้าปิดหน้าออกมาจากอกเสื้อปิดทับใบหน้าเอาไว้ก่อนชั้นหนึ่งแล้วหยิบงอบผ้ามุ้งและเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับ ออกเดินไปในป่าเขา แรกเริ่มนางทดลองวิชารักษากับเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่นางค้นพบในจวน ต่อมานางก็ทดลองยาพิษและยารักษาม้าและวัวในคอกของจวน แต่การที่นางจะได้ทดลองการรักษากับมนุษย์นั้นไม่อาจทำในจวนได้ มิเช่นนั้นเรื่องที่นางแกล้งโง่ได้เป็นอันความแตกแน่ ตั้งแต่นางเริ่มเรียนวิชายา วิชาพิษ และวิชาแพทย์มาเจ็ดปี นางได้รักษาคนจริง ๆ เพียงสี่ครั้งเท่านั้น การฝึกฝีมือกับมนุษย์จึงเป็นเรื่องของวาสนาที่นางจะต้องออกมาหาเอาเองข้างนอก คนแรกที่นางได้รักษาคือ หญิงชราตาบอดที่ขอทานอยู่ในเมือง ชุนเถียนฉีไปพบว่านางล้มลงหมดสติอยู่ข้างทางไปวัดร้างทางทิศตะวันตกของเมืองใกล้กับประตูผี ปัจจุบันนางสิ้นใจไปด้วยโรคชราอย่างสงบและเปี่ยมสุขยิ่ง พูดได้ว่าในนาทีที่นางสิ้นใจนั้น ใบหน้าของหญิงชราตาบอดยังคงมีรอยยิ้ม คนที่สองคือ หญิงหม้ายลูกติดท้องแก่ ลูกของนางเกิดเป็นไข้ตัวร้อนจนหมดสติระหว่างทางที่จะมายังเมืองหอมบุปผา นางได้พบเข้ากับชุนเถียนฉีโดยบังเอิญ เพราะสตรีผู้นี้หาได้รู้จักนางตั้งแต่แรกไม่ ทำให้ง่ายต่อการรักษา แม้ว่าหลังจากนั้นที่นางเข้ามาอยู่ในเมืองและเริ่มรู้ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับชุนเถียนฉีจะทำให้นางรู้สึกฉงนอยู่บ้าง แต่เมื่อได้รับคำอธิบายอันน่าอัศจรรย์จากชุนเถียนฉีแล้ว นางก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีกนอกจากส่งสายตาสงสารเห็นใจมาให้เท่านั้น ปัจจุบันสามแม่ลูกเปิดกิจการร้านซาลาเปาเล็ก ๆ ในตลาด ชุนเถียนฉีได้ขอร้องให้นางเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และนาน ๆ ทีหญิงสาวก็จะไปเยี่ยมเยือนเป็นบางครั้งเพื่อตรวจสุขภาพให้กับเด็ก ๆ และสตรีผู้นั้น นับได้ว่าเป็นครอบครัวหนูลองยาชั้นดีของนาง คนที่สามคือ นายพรานชราที่ขึ้นมาหาของป่าบนภูเขา นางไปเจอเขานอนร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวด เขาลื่นตกจากภูเขาไถลตามความลาดชันลงมาจนกระทั่งร่างไปติดแง่งหิน ชุนเถียนฉีจึงใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินลงไปช่วยเขาขึ้นมา ทว่า…ขาทั้งสองข้างหักจนกระดูกแทงเนื้อโผล่ออกมาน่าหวาดเสียวยิ่ง เนื้อตัวถลอกปอกเปิกทั้งยังพบว่าซี่โครงของเขาหักอยู่หลายซี่ด้วยกัน นางใช้เวลารักษาคนผู้นี้อยู่หกเดือนเต็มเมื่อหายดีจึงค่อยเปิดเผยตนเองให้ชายชราได้รู้ เพื่อความสะดวกในการรักษาต่อ เนื่องจากนางบังเอิญได้รู้ว่าชายชราผู้นี้มีภรรยาอยู่คนหนึ่ง และเป็นเพราะภรรยามีสภาพร่างกายอ่อนแอล้มป่วยบ่อย ๆ นี้เอง ที่ทำให้นายพรานเฒ่าจำต้องขึ้นเขาเพื่อหาสมุนไพรไปรักษา ซ้ำตัวชายชราเองก็มีโรคประจำตัวอันเป็นโรคจากความชราอยู่เช่นกัน ชุนเถียนฉีเห็นทั้งสองเป็นหนูลองยาชั้นดี จึงให้การดูแลรักษาทั้งคู่อย่างเอาใจใส่ ปัจจุบันชายชราผู้นี้กลายมาเป็นลูกมือช่วยนางจัดหาวัตถุดิบปรุงยาทั้งยังช่วยนางหาสัตว์สำหรับการทดลองยามาให้เป็นครั้งคราวด้วย ส่วนคนที่สี่นั่นก็คือ ภรรยาของพรานชรานั่นเอง สองสามีภรรยายอมสัญญากับนางอย่างแสนเสียดายว่า จะช่วยเหลือนางปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ จนถึงตอนนี้ผ่านเรื่องราวของรายที่สามและสี่มากว่าปีครึ่งแล้ว นางยังไม่สามารถหา ‘หนูลองยา’ ตัวใหม่ได้เลย ชุนเถียนฉีขึ้นเขามาได้กว่าชั่วยามนางพบเพียงนกน้อยปีกหักตัวหนึ่งเท่านั้น หญิงสาวพันแผลดามปีกให้กับมันก่อนนำเจ้านกน้อยใส่ตะกร้าที่นางสานขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ด้วยต้นวัชพืชน้ำที่อยู่ข้างลำธารแถว ๆ นั้น เมื่อจัดการบรรจุคนเจ็บอย่างเจ้านกน้อยลงตะกร้าเป็นเรียบร้อย นางก็ย้อนกลับไปที่ลำธารเพื่อล้างมือ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ล้าง ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกกว้าง ที่ตรงนั้นมีร่างในชุดสีดำสนิทนอนคว่ำหน้าอยู่ริมตลิ่งห่างออกไปไม่ไกล เหมือนคนผู้นั้นจะถูกกระแสน้ำพัดพามาเกยตื้น ชุนเถียนฉีย่องเข้าไปแล้วใช้เท้าเขี่ยพลิกร่างนั้นแล้วต้องตกตะลึง โชคยังดีที่คนผู้นี้ยังมีลมหายใจ ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ บางบาดแผลอาจลึกถึงเส้นเอ็นหรือกระดูกเลยด้วย ดูปราด ๆ แล้วส่วนใหญ่เกิดจากคมดาบคมกระบี่ แต่ที่ลึกและสาหัสกลับเป็นแผลเหวอะหวะที่ขาและท้องของเขาที่น่าจะเกิดจากคมของสิ่งที่ทื่อกว่า เป็นไปได้มากกว่าจะเป็นคงหินก้นแม่น้ำหรือร่วงตกจากหน้าผา ที่ขาสาหัสที่สุดเพราะหักจนเห็นกระดูก พูดไปแล้วแทบจะไม่มีจุดใดบนร่างของคนผู้นี้ที่ดูได้เลย ใบหน้าเปรอะเลือดเกรอะกรังดูแทบไม่ออกว่าใบหน้าของคนผู้นี้เป็นเช่นไร ผิวกายขาวซีดทั้งเป็นสีอมม่วง หากไม่เพราะอกที่เคลื่อนขึ้นลงเบา ๆ จนยากจะมองเห็นนั่น นางคงคิดว่าเขาเป็นศพแน่แล้ว ริมฝีปากและเล็บมือม่วงคล้ำเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ดีที่สุดว่าชายผู้นี้อยู่ในสถานะติดพิษ เพียงแต่หากไม่ตรวจให้ชัดเจนก็ยากจะรู้ว่าเป็นพิษชนิดใด ดูไปแล้วสภาพของเขานั้นแทบไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ เลยแม้แต่น้อย แต่ชุนเถียนฉีกลับดวงตาเป็นประกายพราวพร่างราวกับท้องฟ้าดารดาษไปด้วยดวงดาวในคืนไร้จันทร์ นางกระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจ ในใจลิงโลด ไม่มีรายใดที่นางเคยรักษาจะท้าทายความสามารถเท่าร่างนี้อีกแล้ว แน่นอนว่านางจะต้องใช้ฝีมือทั้งหมดเพื่อยื้อชีวิตของคนผู้นี้ไว้ให้ได้ก่อนในตอนนี้ หึหึ…สวรรค์ส่งหนูลองยาตัวใหม่มาให้นาง แถมยังเป็นหนูชั้นเลิศอีกด้วย เหวอะหวะไปทั้งตัวเช่นนี้ จะใช้ยาอะไรกับเขาดีนะ ไม่สิ! คนผู้นี้ติดพิษด้วยนี่ หรือนางควรทดลองวิธีการรักษาใหม่ที่นางคิดค้นขึ้นได้กับคนผู้นี้ดีนะ ไหนจะเรื่องต่อกระดูกนี่อีก จะต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะทำให้กระดูกแตก ๆ นี้ประสานกันได้ หากใช้ยาสูตรใหม่ที่นางเพิ่งใช้กับเจ้านกน้อยกับคนผู้นี้ ไม่รู้ว่าใครจะหายก่อนกันนะ ชุนเถียนฉีดีใจจนตัวสั่นเทิ่ม ไม่อาจสะกดกลั้นรอยยิ้มในดวงตาของนางได้ นางยื่นมือเข้าไปหมายจะจับชีพจรของ ‘ผ้าขี้ริ้ว’ ผืนดังกล่าวเพื่อดูว่าชายผู้นี้อยู่ห่างใกล้ปากเหวแห่งความตายอยู่อีกกี่ชุ่นหรือกี่ฉือ แต่ก็ต้องพบกับความเจ็บแปลบที่ข้อมือของตน เมื่อมือใหญ่เปรอะคราบเลือดคว้าจับข้อมือขาวผ่องสะอาดสะอ้านของนางเอาไว้แน่น ดวงตาคมปลาบคู่หนึ่งจ้องเขม็งมาที่นางราวกับถามนางว่า… เจ้าจะทำอะไร? ชุนเถียนฉีถอนหายใจก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่คุมให้ฟังดูแล้วนุ่มนวลอ่อนโยนที่สุดเท่าที่นางสามารถทำได้ “อย่าได้กลัวไปเลย…ข้าไม่ทำร้ายท่าน” มือบางอีกข้างยกขึ้นตบหลังมือที่กำข้อมือของนางข้างนั้นไว้แน่นอย่างนุ่มนวล ส่งผ่านความอบอุ่นจากฝ่ามือ ทำให้ “เขา” รู้สึกราวกับได้รับการปลอบโยน “อยู่กับข้า ท่านปลอดภัยแล้ว” คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เขาจ้องหน้านางเขม็งราวกับต้องการจะมองให้ทะลุผ้ามุ้งและผ้าคลุมหน้าของนาง หญิงสาวเห็นว่าคนผู้นี้หาใช่คนจากเมืองหอมบุปผาไม่ จึงถอดหมวกและผ้าคลุมหน้าออกให้เขาได้เห็นเพื่อเป็นการซื้อความเชื่อใจ ทันทีที่เห็นใบหน้าของสตรีตรงหน้า ตงเจี๋ยชู่ก็ตกตะลึงจนตาค้าง! ผิวพรรณของนางขาวราวกับหยกขาวมันแพะชั้นเลิศทั้งเปล่งประกายและดูบางใส ริมฝีปากดั่งนำกลีบดอกโบตั๋นมาแต่งแต้ม สองคิ้วเรียวเข้มงดงามราวกับภาพวาด เรือนผมทิ้งตัวราวกับม่านไหม ดำสนิทราวกับขนนกกาน้ำ ดวงตานางยิ่งมองยิ่งดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาจากไปได้ มันพราวระยับราวกับมีราตรีประดับดาวเต็มฟ้าซ่อนตัวอยู่ในนั้น และราวกับจะตราตรึงใบหน้าของนางเอาไว้จนสติสุดท้ายที่มี ตงเจี๋ยชู่มองดวงหน้านั้นราวกับเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาปรารถนาในชีวิต “อย่ากลัว ท่านปลอดภัยแล้ว” ถ้อยนั้นย้ำสลักลงในใจ เสียงของนางสดใสนุ่มนวลราวกับหัวใจของเขาถูกปัดผ่านด้วยขนอ่อนของนก ช่วงเวลานั้นที่สติของตงเจี๋ยชู่ถูกตนเองผลักดันมาจนสุดทาง ชายหนุ่มค่อย ๆ คลายมือออกและเขาก็สลบไปอีกครา พร้อมกับเสียงแหบแห้งกระซิบแผ่วเบาที่กลืนหายไปกับเสียงของกระแสน้ำ นางฟ้า…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD