วริญญา
(แหวน)
โลกใบนี้มีคนมากมายที่กำลังดำเนินชีวิต ทุกคนมีพื้นฐานของชีวิตที่แตกต่างกัน ฉันเองก็เช่นกัน ฉันชื่อแหวน วริญญา เมืองเอก ตอนนี้อายุ 22 ปี ชีวิตของฉันต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่เด็ก ๆ แม้แต่การจะเรียนหนังสือให้จบยังแสนยากลำบาก โชคดีที่ฉันได้ทุนจากคนใจดี ได้มีห้องพักและที่เรียนอย่างใครเขา แต่ก็ต้องทำงานหาเงินส่งที่บ้านและจุนเจือตนเอง การได้ทุนไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะพอ
เจ๊ริน : แหวน มารับเงินเดือนของตัวเอง // เสียงเรียกของเจ๊เจ้าของร้านอาหารดังเข้ามาในหู วันนี้เจ๊รินจ่ายเงินเร็ว ท่าทางคงจะมีธุระออกไปข้างนอกแน่
ฉัน : ขอบคุณค่ะเจ๊ // รับซองสีขาวที่จะเป็นเงินส่งไปให้แม่ด้วยรอยยิ้ม การหาเงินไม่อยากแค่ขยันก็ได้มา
นอกจากร้านอาหารที่ทำหลังเลิกเรียน ก็ยังมีที่ผับแห่งหนึ่งที่ฉันทำหน้าที่ชงเหล้า เป็นรุ่นพี่ในคณะที่ช่วยเหลือให้ได้ทำงานพิเศษช่วงกลางคืน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ก็ทำงานจัดเรียงเอกสารที่บริษัทแห่งหนึ่งที่เจ้าของทุนให้ไปทำ เวลาของฉันเป็นเงินเป็นทองเพื่อการอยู่รอดเสมอ
วันนี้เจ๊รินออกไปข้างนอกจริงอย่างที่ฉันคาดเดา เจ๊รินเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ปากร้ายแต่ใจดี ชอบดุว่าเด็กในร้านประจำ แต่ส่วนใหญ่ก็เพราะความหวังดีต่อลูกน้อง ฉันทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้มากว่า 3 ปี มีคนเข้าออกเพราะทนปากเจ๊ไม่ได้ก็มาก ที่อยู่ได้ก็เพราะรู้นิสัยของเจ๊ดี
พี่เอก : รินกลับบ้านก่อนเลย วันนี้เดี๋ยวพี่ปิดร้านคนเดียวเอง // พี่เอกวางจานลงข้าง ๆ ก่อนที่จะแย่งฟองน้ำไปจากมือของฉัน
ฉัน : ไม่เป็นไร เดี๋ยวทำเองพี่
พี่เอก : ไปเหอะ วันนี้รถติดนะ เดียวไปไม่ทันที่ผับ ก็จะโดนเขาดุเอา // พี่เอกแย่งฟองน้ำไปอีกครั้งพร้อมกับพูดเหตุผล
ฉัน : ........ // เมื่อวันก่อนฉันก็ไปไม่ทัน พี่ที่ฝากทำงานเลยพลอยโดนว่าไปด้วย // งั้นขอบคุณนะพี่ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะมาก่อนเวลา และทำงานของพี่ทดแทนนะ
พี่เอกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ แค่เวลาอ่านหนังสือก็ยังจะไม่มี ทำงานจนไม่มีวันหยุด หลายคนมักบอกว่าร่างกายของฉันเหมือนกับหุ่นยนต์ ที่มันทนทานต่อการใช้งาน ทำงานไม่มีวันหยุด
สถานบันเทิงที่คนส่วนใหญ่เข้ามาเพื่อหาความสุข แต่คนอีกกลุ่มเข้ามาเพื่อหารายได้ ในสถานที่แบบนี้มีช่องทางการหารายได้มากมายเท่าที่ฉันมองเห็น บางคนเลือกที่จะนั่งดริ๊งก์กับแขก ใช้ร่างกายเพื่อเงินที่ได้กลับมา บางคนเป็นเด็กเสิร์ฟ บางคนก็ทำหน้าที่ชงเหล้าเหมือนฉันและอีกหลายคน ไปจนกระทั่งเด็กล้างจานหลังร้านที่ไม่ค่อยได้พบปะผู้คน
จริง ๆ แล้วเจ้าของร้านอยากให้ฉันเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาบอกว่าฉันหน้าตาดี จะเรียกลูกค้าได้เยอะ และจะได้ทิปจากแขกด้วย แต่ฉันไม่เอาเลือกที่จะใส่สูทผูกหูกระต่ายชงเหล้าหลังเคาเตอร์จะดีกว่า ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับลูกค้าที่เมาเหล้าขาดสติ แต่อย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าที่รับแก้วเหล้าและแต๊ะอั๋งจับมือเป็นประจำ
รายได้จากที่ผับเป็นรายได้ที่ฉันใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะมันเป็นเงินที่จ่ายวันต่อวัน ฉันเลือกที่จะรับแบบนี้ วันไหนที่มาทำก็ได้เงิน วันไหนมาไม่ได้ก็ไม่ได้เงิน แต่จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า..เพื่อให้เจ้าของร้านหาคนมาแทน
พี่เตอร์ : วันนี้มาเร็วนี่หว่า กลัวไอเฮียแซมด่าเหรอ // พี่เตอร์ร้องแซว เมื่อเดินเจอกันก่อนเข้างานที่หน้าห้องแต่งตัวพนักงาน พี่เตอร์เป็นพี่ที่คณะที่ฉันเรียนอยู่ และเป็นเพื่อนเจ้าของร้านที่ชื่อ ‘เฮียแซม’ ด้วย
ฉัน : ไม่กลัวเฮียแซมด่าแหวนหรอกพี่ กลัวเฮียด่าพี่ที่ฝากคนไม่ได้เรื่องอย่างแหวนมากกว่า
พี่เตอร์ : ถ้าแหวนไม่ได้เรื่อง ในร้านนี่พี่ก็ไม่เห็นใครแล้วแหละ ไอแซมมันก็ด่าเพราะอยากให้แหวนตรงต่อเวลาเท่านั้น อย่าคิดมากนะ
ฉัน : แหวนรู้ แหวนจะพยายามดูแลเวลาของตัวเองอย่างเต็มที่ ไปทำงานก่อนนะคะ // ฉันจัดเสื้อสูทตัวเองให้เข้าที่ ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานที่ต้องทำงานร่วม
+++++++++
(ภาค)
หากไม่เจออุปสรรค เราก็คงไม่รู้ว่า...ชีวิตของเราพร้อมที่จะเป็นผู้นำแล้วหรือยัง และผมก็กำลังเจอกับอุปสรรคสำคัญ ผมชื่อภาค ภาคภูมิ ดิเรกวิริยะกูล ปัญหาใหญ่ที่ผมกำลังพบเจอตอนนี้ คือ เรียนจบจากเมืองนอก กลับมายังไม่ถึงประเทศไทย พ่อก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ อีกทั้งยังเขียนมรดกแปลก ๆ ยกสมบัติบางส่วนให้กับใครที่ผมไม่เคยรู้จัก ใครที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
เชอรี่ : แล้วคนที่คุณพ่อเขียนไว้ในพินัยกรรมคือใครกันล่ะคะคุณแม่ ทำไมคุณพ่อต้องยกสมบัติให้ // เชอรี่ แฟนของผมพูดแทรก เมื่อทนายได้แจกแจงรายละเอียดทุกอย่างให้ผมได้ทราบ มีใบหน้าบึ้งตึงของคุณแม่ที่ไม่พอใจต่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
ทนายเอกภพ : คุณวริญญา เมืองเอก เป็นเด็กนักศึกษาที่คุณท่านให้ทุนเรียนหนังสือครับ ตอนนี้เธออายุยี่สิบสองปี
คุณแม่ : ให้ทุนเรียน หรือว่าให้เป็นเมียกันแน่ ยกหุ้นบริษัทให้สิบเปอร์เซ็นยังไม่พอ ให้คอนโด และยังแหวนที่คุณพ่อใส่ติดตัวตลอดเวลา แหวนวงนั้นพ่อรักมาก แม่ขอหยิบจับพ่อยังไม่ให้ // ผมยังจำได้ถึงแหวนรักของพ่อ และมันวางอยู่ตรงหน้าโดยห้ามใครจับต้องแม้พ่อจะตายจากไปแล้ว
เชอรี่ : อยากเห็นหน้านังเด็กคนนี้จริง ๆ เลย ภาคต้องเอาของทุกอย่างที่ควรจะเป็นของภาคกลับมาให้ได้นะคะ อย่ายอมให้นังเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาได้ไป
ทนายเอกภพ : คุณวริญญา เธอเป็นเด็กนิสัยดีครับ ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหญิงคิดแน่ คุณท่านเจอเธอไม่กี่ครั้ง มีเพียงผมที่ดำเนินเรื่องเบิกจ่ายเงินให้กับเธอตลอดมา
คุณแม่ : นี่คุณพี่คงให้คุณทนายพูดแบบนี้สินะคะ คงกลัวว่าฉันจะจัดการเมียน้อยนี่หลังจากที่ตายจากไปแล้ว คิดว่าพูดแค่นี่ฉันจะเชื่อเหรอ ตอนยังไม่ตายก็ชอบเข้าบริษัทวันเสาร์อาทิตย์ ที่แท้ก็ไปขลุกตัวกับนังเด็กนี่นี่เอง
เชอรี่ : นั่นสิคะคุณแม่ จะมีใครยกสมบัติให้โดยไม่รับได้ประโยชน์อะไร ยกเว้นซะแต่ว่า...จะได้ประโยชน์ไปอย่างเต็มที่แล้ว // เชอรี่พูดเสริม ทุกคนดูมีความคิดเห็นไปในทิศทางด้านเดียวกัน
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ต่อการสนทนานี้ การสนทนาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อ ทำไมพ่อต้องให้ของสำคัญนี้กับเธอ
ผม : เอาล่ะครับ อย่าเถียงกันเลย วันนี้ผมเหนื่อยมากไว้เราค่อยคุยเรื่องเด็กคนนี้วันหลัง ยังไงในพินัยกรรมก็ระบุว่าเธอจะต้องมาทำงานจัดเอกสารทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะเป็นคนพิสูจน์เองว่าเธอเป็นคนยังไงกันแน่
เชอรี่ : ทำไมต้องภาคล่ะ เกิดภาคหลงนังเด็กนี่อีกคน... เชอรี่ไม่ยอมนะคะ.. // เชอรี่พูดด้วยความหึงหวง เธอเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ เรารักกันเพราะผู้ใหญ่ให้ความสนับสนุน
ผม : อย่าหึงไม่เข้าท่าหน่า ผมไม่ใช้คนเจ้าชู้ที่จะมั่วไม่เลือก เชอรี่ไม่เชื่อใจผมอย่างนั้นเหรอ
ผมพูดและเดินขึ้นห้องของตัวเอง กลับมายังไม่ทันได้พักผ่อนก็มีเรื่องให้คิดจนน่าปวดหัว ไหนจะที่บริษัทที่ต้องเข้าไปดูแล ขาดคนบริหารมาหลายอาทิตย์คงมีแต่เรื่องที่จะต้องสะสาง