“คุณหนู คุณหนู เหตุใดท่านเหม่อลอยเช่นนี้เจ้าคะ” เสียงอันแสนคุ้นเคยกล่าวกับนาง ฉู่ซินเยว่กะพริบตาถี่ก่อนจะมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนาง เสี่ยวชิงสาวใช้คนสนิทของนาง ฉู่ซินเยว่มองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ ในอดีตเสี่ยวชิงมักพูดจาขัดหูนางหลายครั้ง ท้ายที่สุดก็ทำให้นางโกรธจนขายเสี่ยวชิงออกไป ทั้งที่เมื่อพิจารณาดูแล้ว เสี่ยวชิงเป็นเพียงคนเดียวที่รักและหวังดีกับนางจริงๆ ทุกครั้งเสี่ยวชิงมักจะเอ่ยเตือนสตินางเสมอ คนเดียวที่อยู่กับนางมาตลอดตั้งแต่ยังเยาว์วัย ฉู่ซินเยว่ดึงร่างของเสี่ยวชิงมากอด พลางร้องไห้ออกมา ภาพตรงหน้าจะใช่เรื่องจริงหรือไม่ หรือว่าเสี่ยวชิงจะมารับนางหลังจากที่นางตายไปแล้ว “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“เสี่ยวชิง เจ้ามารับข้าหรือ ละ แล้ว…ฮุ่ยเอ๋อร์เล่า”
“ฮุ่ยเอ๋อร์? คือใครกันหรือเจ้าคะ คุณหนู ข้าเพียงมาตามท่านไม่ให้นั่งที่นี่นานจนเกินไป อากาศหนาวเย็นนัก ท่านอาจจะป่วยได้” เสี่ยวชิงกล่าวยามนี้เป็นเหมันตฤดู อากาศหนาวเย็นนัก คาดว่าอีกไม่นานหิมะก็คงจะตกแล้ว หากคุณหนูนั่งอยู่ด้านนอกนานเกินไป อาจจะทำให้ป่วยไข้เอาได้
“อากาศเย็นหรือ” ฉู่ซินเยว่กล่าว ก่อนจะหันไปมองโดยรอบด้วยความแปลกประหลาดใจ
...จวนตระกูลฉู่
เหตุใดกัน?!
“เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” เสี่ยวชิงถามคุณหนูของตนเองที่กำลังนั่งร้องไห้น้ำตาไหลออกมาท่าทางของคุณหนูดูสับสนนัก เสี่ยวชิงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาของคุณหนูทันที ฉู่ซินเยว่มองหน้าของเสี่ยวชิง นางเคยทำพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง หากนี่คือชีวิตใหม่ที่นางได้รับอีกครั้ง ชีวิตนี้นางจะไม่ทอดทิ้งคนที่ดีกับนางอย่างเสี่ยวชิงเด็ดขาด
“ยามนี้เป็นยามใด”
“ยามเว่ยเจ้าค่ะ”
“ข้าหมายถึงช่วงเวลา”
“อะ… เอ่อ รัชศกเฉียนจิงปีที่ห้าเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงตอบฉู่ซินเยว่ นางตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่น้อย รัชศกเฉียนจิงปีที่ห้า ฮ่องเต้ทรราชเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้เพียงแค่ห้าปี องค์ชายสิบห้าขวบปีเพียงเท่านั้นหรือ เช่นนั้นแล้วบุตรชายของนางเล่า... เจียงฮุ่ยเขายังไม่เกิด หมายความว่าในตอนนี้นางยังคงเป็นคุณหนูตระกูลฉู่อยู่เท่านั้นหรือ
“ขะ ข้ายังไม่แต่งงานหรือ”
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ท่านยังไม่ได้แต่งงานเลยนะเจ้าคะ ทำไมท่านคิดว่าท่านแต่งงานแล้ว” เสี่ยวชิงถามด้วยความสงสัย ฉู่ซินเยว่ส่ายหน้า นางรู้สึกแปลกประหลาดใจที่นางกลับกลายมาอยู่ที่นี่ มันเป็นเพียงความฝัน หรือว่านางได้ย้อนอดีตกลับมา หรือทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความฝัน ทั้งที่นางแน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความฝัน
“ข้าคงหนาวจนเลอะเลือน เช่นนั้นเข้าเรือนกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ฉู่ซินเยว่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยที่นางแน่ใจว่านางได้ย้อนกลับมาในยามที่ยังเยาว์วัยอีกครั้ง นางเอาแต่ครุ่นคิดถึงบุตรชายของนางด้วยความคะนึงหาอย่างเจ็บปวด หากนางย้อนกลับมาในช่วงเวลานี้ เช่นนั้นนางก็ยังสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของนางได้ สำหรับเจียงเว่ยหมิง นางไม่รู้ว่าความรู้สึกของนางที่มีต่อเขาเป็นเช่นไร แต่หากให้พูดตามใจของนางแล้วนั้น ใจของนางในยามนี้มีเพียงแต่เจียงฮุ่ยผู้เป็นบุตรชายเท่านั้น สำหรับสามีใจร้ายผู้นั้นแล้ว ต่อให้ความรู้สึกยังคงชัดเจน แต่นางไม่มีวันเหยียบซ้ำย่ำรอยเดิมอย่างเด็ดขาด และนางก็ไม่ปรารถนาฐานะฮูหยินของเขาอีกแล้ว แต่นางปรารถนาชีวิตบุตรชายของนาง เขายังไม่เกิดมา… แล้วนางควรทำเช่นไรเล่า?
“เยว่เอ๋อร์ เหตุใดช่วงนี้เจ้าไม่ไปที่เรือนใหญ่เลยเล่า” น้ำเสียงอันแสนอบอุ่นของท่านแม่กล่าว ว่านเหมยเฟิง ได้รับความเคารพนับถือเปรียบประหนึ่งมารดาผู้ให้กำเนิดของนาง สำหรับฉู่ซินเยว่แล้วนั้น นางไม่นึกแค้นเคืองท่านน้าหญิงผู้นี้มากมายเท่าไหร่นัก แม้ว่านางจะเป็นคนวางยาฆ่าท่านแม่ แต่เรื่องราวนี้ล้วนไม่มีหลักฐานในการหาความเอาผิด และถึงต่อให้เอาผิดจริง ก็ทำให้บรรพบุรุษตระกูลว่านในศาลบรรพชนคงไม่สงบสุขนัก อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าว่านเหมยเฟิงอาจจะมีเจตนาร้ายต่อนางบ้าง แต่หากว่าว่านเหมยเฟิงร้ายกาจ เลวทรามอย่างที่นางเคยกล่าวเมื่อคราวที่นางอยู่ในคุกครั้งนั้นจริง ฉู่ซินเยว่จะมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้หรอกหรือ นางไม่เคยเติบโตมากับความยากลำบากเลยแม้แต่น้อย เกิดเรื่องสิ่งใดบ้างในจวน ว่านเหมยเฟิงก็ออกหน้ารับให้นางตลอด ที่สำคัญความเจ็บปวดของว่านเหมยเฟิง ไฉนนางจะไม่ทราบ การแต่งงานกับบุรุษที่ไม่รัก ไม่ชอบพอกับตนเอง มันเจ็บปวดเพียงใด ความทุกข์ที่บอกใครไม่ได้ ได้แต่หวานอมขมกลืนฝืนยิ้มทน มันเจ็บปวดเกินบรรยายนัก
“ท่านแม่ ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นนักเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก น้องสี่ก็ยังเล็ก เกรงว่าจะทำให้น้องสี่ต้องป่วยไปด้วย” ฉู่ซินเยว่กล่าว ยามนี้ฉู่รั่วหลานอายุเพียงแค่สิบขวบปีเท่านั้น นางมีนิสัยซุกซน เอาแต่ใจ และชอบของล้ำค่า ตัวนางจำได้ว่าสูญเสียข้าวของเงินทองไปหลายอย่างจากคำขอของน้องสาว แต่ครั้งนี้มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ข้าวของพวกนี้ต้องเป็นของบุตรชายของนางเท่านั้น ส่วนคนอื่นนางจะไม่ยอมให้กระเด็นแม้เพียงสักเฉียนเดียว
“เช่นนั้นหรอกหรือ” ว่านเหมยเฟิงกล่าวด้วยความตกใจเล็กน้อย ฉู่ซินเยว่ไม่ค่อยสบาย อาจจะติดไข้มายังบุตรสาวของนาง ว่านเหมยเฟิงหันไปหาสาวใช้ก่อนจะส่งฉู่รั่วหลานตัวน้อยกลับเรือนของตนเอง สายตาของนางมองเครื่องของตกแต่งเครื่องเรือนด้วยความริษยา ฉู่ซินเยว่เป็นเพียงหลานสาวคนละแซ่แต่กลับได้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของตระกูลฉู่ไปทั้งหมด แม้ว่านางนับว่าเป็นบุตรสาวคนหนึ่ง แต่กลับไม่เคยได้รับของพวกนี้เลยแม้สักชิ้นเดียว สายตาที่แสดงออกถึงความต้องการของว่านเหมยเฟิงไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของฉู่ซินเยว่ได้ นางในชีวิตก่อนหน้าอายุมากกว่าคนตรงหน้าหลายปีนัก นางเผชิญหน้าผ่านเรื่องราวมามากมายมานับไม่ถ้วน สายตาเช่นนี้มีหรือที่นางจะมองไม่ออก แต่ก็คงจะได้เพียงแต่มองเท่านั้นแหละ ...ท่านแม่
“ท่านแม่ต้องรักษาสุขภาพให้มาก ตระกูลฉู่ยังต้องการน้องชายอีกสักคนจากท่าน” ฉู่ซินเยว่กล่าว ฐานะบุตรชายในตระกูลฉู่ตอนนี้ก็มีแค่เพียงฉู่เหรินเจี้ยน เขาเป็นคุณชายใหญ่ที่เกิดจากอนุอี้หร่วน สำหรับคนอื่นนางอาจจะยังพอให้อภัยได้อยู่บ้าง แต่สำหรับฉู่เหรินเจี้ยนนั้น หากนางมีโอกาส นางไม่มีทางลังเลที่จะจัดการเจ้าคนชั่วที่กล้าทรยศหักหลังบุตรชายของนางเด็ดขาด หากจะโกรธที่นางไม่ช่วยมารดาของพวกเขา ก็ควรจะลงที่นาง หรือสืบหาต้นตอสาเหตุ และลงมือสะสางความแค้นให้ถูกคน เพราะหากจะว่าไปแล้วนั้นที่นางไม่ช่วยก็เพราะว่าว่านเหมยเฟิงส่งคนมาแจ้งกับนางว่าสองพี่น้องกำลังคิดจะทำอะไรผิดแปลกไป หากช่วยเหลือจะต้องเกิดเรื่องไม่ดี ตอนนั้นฉู่ซินเยว่กำลังมีปัญหากับครอบครัวของสามี ทำให้นางไม่ได้ใส่ใจ และเลือกที่จะปัดความช่วยเหลือที่สองพี่น้องนั่นร้องขอ แต่ทั้งหมด… ไม่ใช่ความผิดของนางเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับเอาความแค้นมาลงที่บุตรชายของนาง
เดิมทีฉู่ซินเยว่คิดว่าพวกเขาสองพี่น้องย่อมไม่ชอบนางอยู่แล้ว ฉู่เหรินเจี้ยนเป็นคุณชายใหญ่ได้อย่างมั่นคง ก็เพราะบิดาไม่ยอมมีสตรีอื่น และไม่คิดยอมให้ว่านเหมยเฟิงให้กำเนิดบุตรชาย อนึ่งนางคิดว่าเพราะต้องการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่อี้หร่วน ส่วนฉู่หรูหยวน การที่นางเป็นบุตรสาว และต้องเกิดกับอนุ ทำให้ฐานะของนางนั้นต่ำต้อยกว่าบุตรสาวคนอื่นภายในจวน แม้ว่าจะมีพี่ชายให้พึ่งพา แต่เทียบดูแล้วฉู่เหรินเจี้ยนก็ไม่ใช่คนมีประโยชน์สักเท่าไหร่นัก เขาเป็นเพียงคุณชายดาษดื่น เทียบกับคุณชายตระกูลอื่นแล้วนั้น เขาไร้ประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาโดดเด่นก็มีเพียงความเจ้าเล่ห์ ฉลาดเฉลียวในการพูดจา และหลอกล่อหาผลประโยชน์จากผู้อื่นเท่านั้น ทั้งหมดนี้ย่อมไม่แปลกนักหากพวกเขาจะชิงชังนางเป็นทุนเดิม
“เจ้ายังเด็กนัก ก็คงคิดเพียงแต่ว่าการมีบุตรสักคนมันเป็นเรื่องง่าย เรื่องเช่นนี้ต้องย่อมต้องอาศัยวาสนาด้วย” ว่านเหมยเฟิงกล่าวอย่างเขินอาย ฉู่ซินเยว่ทำเพียงยิ้มมุมปาก ในยามที่ฉู่รั่วหลานเกิด ว่านเหมยเฟิงโมโหไม่ยอมเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้อยู่หลายวัน เพราะวาดหวังอยากจะได้บุตรชาย ส่วนจะท้องสองหรือไม่นั้นก็คงยากนัก ฉู่ซินเยว่เคยได้ยินเรื่องนี้จากฉู่หรูหยวน ว่าท่านพ่อเจตนาวางยาว่านเหมยเฟิงไม่ให้ตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง เพื่อรักษาสถานะของฉู่เหรินเจี้ยน คิดแล้วก็รู้สึกว่าอีกไม่นานคงจะมีเรื่องน่ายินดีขึ้นภายในจวน
“ท่านแม่ ท่านต้องหมั่นตรวจสุขภาพร่างกาย ระวังของแสลงให้มากนัก แต่ละอย่างนั้นมีผลต่อการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางแสดงท่าทีอาการเป็นห่วงท่านแม่ แน่นอนว่านเหมยเฟิงย่อมไม่สงสัยอะไร ในสายตาของนาง ฉู่ซินเยว่ก็คือบุตรสาวของนาง เพียงแต่หากจะให้รักมากมายเทียบเท่ากับบุตรในอุทรของนางก็เห็นจะยาก อีกทั้งนางก็ไม่ได้ชื่นชอบรักใคร่ในตัวพี่สาวผู้เป็นมารดาของฉู่ซินเยว่ถึงเพียงนั้น ทว่า… เมื่อนางคิดตามคำพูดของฉู่ซินเยว่แล้ว การตั้งครรภ์ของนางนั้นยากเย็นเสียเหลือเกิน แต่งมาตระกูลฉู่ตั้งแต่ฉู่ซินเยว่อายุเพียงหกขวบปี จนกระทั่งตอนนี้อายุสิบหกแล้ว นางก็มีเพียงฉู่รั่วหลานเพียงคนเดียว ทั้งที่นางควรจะตั้งครรภ์ที่สองนานแล้ว สามีของนางก็ไม่เคยห่างเหินเรื่องพวกนั้น ...เหตุใดนางไม่เคยนึกเฉลียวใจเลยนะ
“ลูกสาวของแม่ช่างคิดเผื่อแม่เสียจริง”
“ข้ามีน้องสี่แล้ว ข้าย่อมอยากมีน้องชาย วันหน้าจะได้พึ่งพาเขาอีกสักคนอย่างไรเจ้าคะท่านแม่ ท่านบอกข้าเองว่าภรรยาเอก กับอนุนั้นแตกต่าง พวกเราที่เป็นบุตรก็เช่นกัน”
“ถูกต้องแล้ว” ว่านเหมยเฟิงกล่าว นางมีมารดาที่เป็นเพียงอนุ จะนับว่าโชคดีหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ มารดาของนางตายตั้งแต่ให้กำเนิดนาง ฮูหยินจึงได้นำนางมาเลี้ยงดูในฐานะบุตรสาวอีกคน ทำให้นางไม่ต้องกลายเป็นบุตรอนุผู้ต่ำต้อย สำหรับนางแล้ว การเป็นบุตรสาวภรรยาเอกนั้นดีมากเหลือเกิน แรกเริ่มเดิมทีนางก็มีคุณชายจากตระกูลที่ดีมากมายส่งแม่สื่อมาทาบทาม แต่เมื่อเห็นช่องทางโอกาส พี่สาวของนางตาย นางจึงเลือกทิ้งบุรุษพวกนั้นมาแทนที่พี่สาว อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องไปแย่งชิงกับใครมากมาย พี่เขยผู้นี้ให้สัญญาจะมีอนุอี้หร่วนเพียงคนเดียวก็รักษาสัญญามาได้หลายปี ทั้งอนาคตหน้าที่การงานก็มีแต่จะยิ่งมากขึ้นไป แตกต่างจากบุรุษที่มาทาบทามนางนัก
“เช่นนั้นท่านแม่โปรดรักษาสุขภาพด้วย หากว่าท่านแม่มีน้องชาย ข้าจะมอบที่ดินเขตอี้ชางให้ท่านทั้งหมดดีหรือไม่เจ้าคะ” ฉู่ซินเยว่กล่าว ที่ดินเขตอี้ชางในเมืองหลวงเป็นที่ดินย่านการค้าขนาดใหญ่ เป็นแหล่งทำเงินสำคัญของตระกูลว่าน แม้ท่านตาเป็นขุนนางไม่ได้ยศศักดิ์สูงมาก แต่ก็มั่งคั่งร่ำรวยไม่น้อยหน้าใคร ฉู่ซินเยว่ทราบความต้องการของว่านเหมยเฟิงดี นางเอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้ว่านเหมยเฟิงกล้ามาขอนั่นขอนี่กับนาง ทั้งไม่ให้อีกฝ่ายปล่อยให้ฉู่รั่วหลานมาสร้างความน่ารำคาญใจแก่นาง อีกฝ่ายย่อมทราบดีว่ายามใดที่ฉู่ซินเยว่ไม่พอใจ ขอเพียงนางไปบอกท่านพ่อ เรื่องที่ว่านเหมยเฟิงมาร้องขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อนาง ท่านพ่อย่อมต้องตำหนินางอย่างแน่นอน
“เจ้าจะมอบให้แม่จริงหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะมอบให้น้องชายที่เกิดจากท่าน” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางโกหก... มอบให้คนอื่นหรือ มอบให้ลูกชายของนางเสียดีกว่า วันหน้าลูกของนางไม่จำเป็นต้องสอบขุนนาง ให้เขาเป็นเพียงคุณชายที่มั่งคั่งร่ำรวย ใช้ชีวิตสนุกสนาน อยากทำสิ่งใดก็ทำ แม้จะอันธพาล เกเรไปบ้าง นางก็พอใจแล้ว นางไม่ปรารถนาที่จะกดดันให้เขาเป็นเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องโดดเด่นเพื่อสร้างความสุขชั่วคราวให้แก่นาง เพียงแค่เขามีความสุข มีรอยยิ้มให้แก่นาง นั่นก็คือสิ่งที่นางปรารถนาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“เห็นทีแม่คงจะต้องพยายามให้มาก ที่แม่มาวันนี้ก็เพราะเป็นห่วงเจ้าเท่านั้น หากไม่มีอะไรแล้วก็พักผ่อนเถิด”
“ท่านแม่ ช่วงนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากจะให้เสี่ยวชิงไปตามหมอเอง จะได้หรือเปล่าเจ้าคะ”
“เอาสิ แม่อนุญาต” ว่านเหมยเฟิงกล่าวก่อนจะจากออกไป เสี่ยวชิงที่ยืนฟังมาตั้งนานก็แปลกประหลาดใจ คุณหนูเปลี่ยนไปมากทีเดียว นิ่งเงียบขึ้น ทั้งยังเอารายการบัญชีทรัพย์สินมานั่งอ่านอยู่หลายครั้ง อีกอย่างคุณหนูไม่ได้ป่วย เหตุใดกลับตอบเช่นนั้น ฉู่ซินเยว่หันมามองเสี่ยวชิงที่กำลังทำหน้าสงสัยก็ยิ้มเพียงเล็กน้อย
“สงสัยอะไรหรือ เจ้าเป็นคนบอกข้าเองนี่ว่าท่านแม่ผู้นี้ของข้าไม่ใช่คนจริงใจ” ฉู่ซินเยว่กล่าว ในอดีตเสี่ยวชิงถูกนางตำหนิเรื่องนี้หลายครั้ง จนกระทั่งครั้งนั้นที่นางโมโหจนขายเสี่ยวชิงออกไป ทั้งที่เสี่ยวชิงเป็นคนที่รักนางมากที่สุดคนหนึ่ง แต่นางกลับหูหนวกตาบอด มองไม่ออกถึงความดีความชั่ว จนต้องเสียคนดีในชีวิตไปมากมาย
“คะ คุณหนู”
“ที่ข้านั่งตรวจสอบรายการทรัพย์สินก็เพราะข้าตั้งใจจะยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินเอาไว้ ของมีค่าบางอย่างขายได้ก็ขายไป บางอย่างขายไม่ได้ก็ตั้งใจจะให้เจ้าเอาของไปให้ช่างเลียนแบบ”
“คุณหนู เหตุใดท่านถึงต้องทำเช่นนั้นเจ้าคะ”
“สักวันหนึ่ง ข้าตั้งใจจะไปจากที่นี่” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางไม่ปรารถนาจะอยู่ในที่ที่นางไม่มีความสุข แต่ในยามนี้นางยังไม่ตั้งครรภ์ บุตรชายอันเป็นที่รักของนางยังไม่เกิด และฉู่ซินเยว่ก็ยังปรารถนาให้เขามาเกิดกับนางอีกครั้ง เพื่อที่นางจะได้ชดเชยทุกสิ่งทุกอย่างให้กับบุตรชายของนาง นางจำเป็นจะต้องปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างที่เคยเกิดขึ้น
“คุณหนู เหตุใดท่านคิดแบบนั้นเจ้าคะ”
“เสี่ยวชิง เรื่องบางเรื่องข้าก็บอกเจ้าทั้งหมดไม่ได้หรอก หวังเพียงเจ้าจะให้ความช่วยเหลือแก่ข้า”
“คุณหนู ข้าเป็นคนของท่าน ข้าดูแลท่านมานาน ไม่ว่าเป็นหรือตาย ข้าก็จะอยู่กับท่าน คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงกล่าวอย่างหนักแน่นเป็นดั่งคำสัญญา แม้ว่านางจะสงสัยต่อการกระทำของคุณหนู แต่นางก็รู้ดีว่าหน้าที่ของนางมีเพียงแค่ต้องรับใช้คุณหนูเท่านั้น ไม่ว่าคุณหนูจะตัดสินใจอย่างไร เสี่ยวชิงคนนี้จะทำตามความต้องการของคุณหนูอย่างไม่เกี่ยงงอน
ฉู่ซินเยว่ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบในหลายวันหลังจากนั้น นางคำนวณรายการทรัพย์สิน ทั้งยังเอาแต่ศึกษาหนังสือเรื่องเล่าของแต่ละเมือง นางเป็นคุณหนูในห้องหอ ภายหลังแต่งงานก็อยู่แต่ภายในจวน สายตาของนางไม่ได้กว้างไกลเฉกเช่นบุรุษ ฉู่ซินเยว่เลือกเมืองที่คิดว่าจะเกิดภัยทางธรรมชาติให้น้อยที่สุด ทั้งยังเลือกเมืองที่เป็นเมืองค้าขายสำคัญ เผื่อวันหน้านางจะสามารถอาศัยอยู่ ทำการค้าพอจะหาเงินหาทองได้บ้างตามสมควร
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เรื่องแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงเดินหน้ายิ้มมาหาฉู่ซินเยว่ ก่อนจะนั่งลงให้ใกล้กับคุณหนู พลางกระซิบอย่างแผ่วเบา “ฮูหยินพบสาเหตุที่ทำให้ตั้งครรภ์ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ ยาพวกนั้นผสมอยู่ในใบชาชั้นเลิศที่เรือนใหญ่ได้รับมาโดยตลอด แต่ฮูหยินไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวชิงกล่าว ฉู่ซินเยว่ให้เงินนางไปหาซื้อคนเรือนใหญ่เอาไว้เพื่อคอยบอกเล่าเรื่องราว ฉู่ซินเยว่ยิ้มเล็กน้อย อย่างที่นางคิดไว้นั่นแหละ ท่านพ่อเคยบอกว่ารักอนุอี้หร่วนมากที่สุด เช่นนั้นก็หมายความว่าบุตรที่เกิดจากสตรีอื่นก็คงไม่เท่ากับลูกอนุทั้งสอง ฉู่รั่วหลานที่เกิดและโตมาอย่างปลอดภัยก็คงเพราะนางเป็นสตรี เช่นนี้แล้วฉู่เหรินเจี้ยนหลังจากนี้คงใช้ชีวิตอย่างลำบากน่าดูทีเดียว ในเมื่อเขาอยากจะเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลฉู่ เกรงว่าว่านเหมยเฟิงคงไม่ปล่อยให้ทั้งสามแม่ลูกสุขสบายนักหรอก