ห้าปีต่อมา ณ Crown Farm จังหวัดเชียงใหม่
รถยุโรปคันหรูแล่นเข้ามาจอดสนิทที่หน้าบ้านปีกไม้หลังใหญ่ ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวอมชมพูจะก้าวลงจากรถ พร้อมกับถอดแว่นตาสีดำยี่ห้อดังออก เผยให้เห็นดวงตาคมฉายแววดุดันภายใต้ใบหน้าที่เรียบสนิทเต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง แต่มันไม่ได้ทำให้เขาดูดีน้อยลงเลยสักนิด
“พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงแม่นก่อเจ้า” ป้านวลพาร่างอวบของตนเดินเข้ามาเมียงมองก่อนจะโผเข้ากอดเจ้านายหนุ่มที่นางทั้งรักทั้งเอ็นดูด้วยความคิดถึง
“สวัสดีครับป้านวล คิดถึงป้านวลจังครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มีไม่กี่คนนักที่จะได้ยินน้ำเสียงแบบนี้จากเขา
“บ่ะเจื่อหรอก พ่อเลี้ยงหายไปเมินตึงปี๋ป๋ายก่อน” ป้านวลมีท่าทางแง่งอนและตัดพ้อเขาราวกับสาวน้อยอายุสิบแปด
“งานที่โน่นยุ่งมาก ตอนนี้โอเคแล้ว” น้ำเสียงที่เอ่ยยังคงนุ่มทุ้มและอ่อนโยน
“อั้นก่อปิ๊กมาอยู่บ้านเฮาน่อเจ้า”
“มาอยู่ตลอดไม่ได้หรอก คงต้องไปๆ มาๆ ระยะสองสามปีนี้คงอยู่ที่นี่เป็นหลักเพราะต้องดูแลงานที่นี่ด้วย รับรองป้าได้เบื่อหน้าผมแน่ๆ” ชายหนุ่มพูดไปหัวเราะไปก่อนจะโอบไหล่ป้านวลเข้าบ้าน
“ขอหื้อมันแต๊เตอะเจ้า พ่อเลี้ยง” ป้านวลยังคงมีน้ำเสียงติดจะแง่งอนอยู่บ้าง ก็นางน่ะเหงาอยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวทั้งวันๆ
“ไอ้ดินล่ะครับป้าอยู่ไหน” เขาถามพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่
“พ่อเลี้ยงดินก็อยู่กับน้องงัวเปิ้นปู้น จะมีเมียเป็นงัวน้อยอยู่ละเจ้า” ป้านวลพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกพร้อมกับตวัดสายตาค้อนขวับๆ คนหนึ่งก็ไปอยู่แสนไกล คนหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนไกล เฮ้อ
“ฮ่าๆ” ชายหนุ่มหัวเราออกมาเสียงดังลั่นกับท่าทางของป้านวล
เมื่อนึกถึง ดิน หรือ หัสดินทร์ เพื่อนรักและครอบครัวของเขาที่เหลือเพียงคนเดียวตั้งแต่เล็ก ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน คอยดูแลกันมาตลอดนับตั้งแต่บิดามารดาของทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตก ทำให้ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง โดยมีป้านวลคอยดูแลเหมือนแม่อีกคน หัสดินทร์เลือกเรียนสัตวบาล เพราะเขารักสัตว์ และเพื่อสืบทอดกิจการโคนม ส่วน พายัพ เลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ เขาได้รับทุนให้ไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วกลับมาเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร เขาใช้เวลาในการสร้างตัวเป็นสิบปี จนปัจจุบัน วรการ กรุป ของเขามีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของลูกค้าเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นเขาและคชาเพื่อนรักอีกคนยังเป็นผู้ส่งออกผ้าไหมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยทิ้งให้หัสดินทร์บริหารงานที่ฟาร์มเพียงคนเดียว สองเพื่อนรักยังคงดูแลกันและกัน หัสดินทร์ดูแลในส่วนของฟาร์มโคนมทั้งหมด ส่วนเขารับหน้าที่นำน้ำนมวัวมาแปรรูปและจัดจำหน่าย รายได้ทั้งหมดแบ่งเป็นสองส่วนเท่าๆ กันเป็นเช่นนี้เสมอมานับตั้งแต่รุ่นบิดามารดาของพวกเขา
“บะต้องไข้หัวเลย พ่อเลี้ยงก่อเหมือนกันนั้นเนาะ อายุปอสามสิบละยังบะมีเมียเตื้อ”
“อ้าวป้านวล วกมาที่ผมได้ไง ไม่เอาดีกว่าผมไปหาไอ้ดินก่อนนะครับ” พูดจบก็ก้มลงหอมแก้มป้านวลฟอดใหญ่ ก่อนจะเดินผิวปากออกไปตามหาเพื่อนรักทันที
ชายหนุ่มยิ้มกับภาพที่เห็น ในฟาร์มของเขาช่างมีธรรมชาติที่สวยงาม หัสดินทร์เก่งมากที่สามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างลงตัว ในพื้นที่ราวร้อยกว่าไร่ ด้านหลังติดกับเชิงเขาเป็นฟาร์มโคนม ซึ่งใช้พื้นที่ราวห้าสิบกว่าไร่ ส่วนที่เหลือเป็นบ้านพักคนงาน อีกด้านหนึ่งเป็นส่วนของโรงงาน และเรือนกล้วยไม้หลากหลายพันธุ์ ชายหนุ่มชื่นชมฟาร์มด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข จนกระทั่งมาถึงคอกวัว เขาก็ได้ยินเสียงห้าวอันคุ้นเคยดังออกมาจากด้านใน
“ดูแลกันอย่างไร คุณสมรศรีถึงไม่สบาย เขาเพิ่งจะคลอดออกมาไม่ถึงสองเดือน บอกให้ดูแลใกล้ชิดหน่อย มัวทำอะไรกันอยู่หา”
“เอ่อ พ่อเลี้ยงครับ คุณสมรศรีเธอไม่เป็นอะไรมากนะครับ แค่เป็นหวัดนิดหน่อยเองครับ” เสียงของหนุ่มร่างบึกบึนตอบพ่อเลี้ยงหนุ่มกลับมาอ้อมแอ้ม
“รู้ได้อย่างไรว่านิดหน่อย แกเป็นหมอเหมือนฉันหรือไง ดูซินอนซมเลย” ท้ายประโยคหันไปลูบหัวเจ้าสมรศรีอย่างอ่อนโยน
“มันตอแหลน่ะครับนาย ก่อนนายมามันยังดีๆ อยู่เลยนะครับ” น้ำเสียงยังคงโอดครวญ พร้อมกับส่งสายตาอาฆาตไปยังน้องวัวน้อยนามสมรศรีอย่างเอาเรื่อง
“ไอ้มน! นี่แกกล้าว่าสมรศรีเหรอ อยากโดนเตะใช่ไหมแก” จากนั้นไอ้มนก็มีอันต้องรีบวิ่งหนีเพราะพ่อเลี้ยงหัสดินทร์กำลังวิ่งเอาบาทามาประเคนให้ โทษฐานที่บังอาจต่อว่าน้องสมรศรี แม่วัวน้อยเจ้าประคุณทูนหัวของพ่อเลี้ยงว่าตอแหล
“อย่าหนีนะโว้ยไอ้มน”
“ไม่หนีก็โดนเตะสิครับพ่อเลี้ยง”
“ไอ้มน...”
“เหวอ...พ่อเลี้ยง...” ไอ้มนเบรกแทบไม่ทันเมื่อเกือบชนกับร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ไอ้เหนือจับมันไว้” โดยไม่ต้องบอกซ้ำ ร่างของไอ้มนถูกล็อกคอไว้ทันที พ่อเลี้ยงหัสดินทร์เดินยิ้มเข้ามา
“หันก้นมันมาด้วยไอ้เหนือ”
“ไม่นะครับ อย่าทำอะไรมนเลย มนกลัวแล้ว ต่อไปจะไม่บังอาจไปว่าน้องสมรศรีของพ่อเลี้ยงอีกแล้วครับ” คำอ้อนวอนไม่เป็นผล เมื่อก้นของไอ้มนถูกหลังเท้าพ่อเลี้ยงเข้าดังป๊าบ แถมด้วยลูกตบจากฝีมือพ่อเลี้ยงอีกคน
“ไปได้แล้วไอ้มน”
“ใจร้ายทั้งคู่เลย มิน่าล่ะสาวๆ ถึงได้เมิน ช่วยกันดีแบบนี้ มีอะไรกันหรือเปล่าแบบว่า จึ๋ยๆๆ” จะไปแล้วยังหันมาทำหน้าทะเล้นพร้อมคำพูดกวนประสาท
“ไอ้มน” คราวนี้ไอ้มนเผ่นแนบแบบไม่หันหลังเลยทีเดียว เมื่อสองพ่อเลี้ยงประสานเสียงเข้มขึ้นพร้อมกัน สองหนุ่มหันมามองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาดังๆ
“ฮ่าๆ”
“จะมาทำไมไม่บอกวะไอ้เหนือ” ถามพร้อมกับกอดคอเพื่อนรักเดินออกไปนั่งยังโต๊ะทำงานประจำตำแหน่งของเขาในคอกวัวนั่นเอง
“ก็เซอร์ไพรส์ไง ฮ่าๆ”
“เออ เซอร์ไพรส์นะแกน่ะ ว่าแต่มากี่วันวะคราวนี้”
“คงอยู่นานหน่อย คงปี สองปี สามปี” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียง เหนื่อยๆ แต่ทำเอาคนฟังตาโต
“จริงหรือวะไอ้เหนือ ดีใจโว้ย...” หัสดินทร์กระโดดกอดเพื่อนรักด้วยความดีใจ
“เออ จริงดิ ฉันรู้ว่าแกน่ะเหงา เอาเป็นว่าต่อนี้ไปแกไม่เหงาแล้ว” สองหนุ่มกอดกันหัวเราะเสียงดังลั่น
“โอ๊ย ต๋ายแล้ว ต๋ายต๋าย พ่อเลี้ยงกอดกันเยียะหยังเจ้า ปล่อยๆ” ป้านวลรีบพาร่างอวบอั๋นของนางเข้ามาแยกสองหนุ่มออกจากกัน แต่ก็หาสำเร็จไม่ มิหนำซ้ำทั้งสองกลับพร้อมใจกอดกันกลม
“กอดเค้าแน่นๆ นะตัวเอง เค้าคิดถึง” พายัพดัดเสียงเล็กเสียงน้อยพร้อมส่งสายตาหวานฉ่ำให้อีกคนช่างขัดกับใบหน้าคมดุที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรังยิ่งนัก
“ได้สิ แน่นหรือยังตัวเอง” หัสดินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พร้อมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ภาพสองหนุ่มกอดรัดออดอ้อนฉอเลาะกันราวกับคู่รัก ส่งผลให้ป้านวลถึงกับขาอ่อนล้มพับไปทันที สองหนุ่มตกใจรีบตรงเข้าประคอง
“เพราะแกเลยไอ้เหนือ”
“อะไรวะ เพราะแกนั่นแหละไอ้ดิน”
“แกนั่นแหละ”
“แก” สองหนุ่มยังคงถกเถียงเป็นเด็กๆ แต่ก็วิ่งวุ่นหายาดม ยาหม่อง ที่อยู่ใกล้ๆ มาช่วยกันพยาบาลป้านวลจนนางมีอาการดีขึ้น
“พ่อเลี้ยงเป็นกะเทยก๋าเจ้า” นางเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่เศร้าสลด แสดงออกชัดเจนว่าแสนจะผิดหวัง
“เปล่าครับ/ไม่ใช่ครับ”
“แต๊อี๊”
“ครับ”
“แล้วกอดกันเยียะหยัง” ป้านวลยังคงมองด้วยสายตาจับพิรุธ
“ผมแค่ดีใจที่ไอ้เหนือมันจะกลับมาอยู่บ้านเราเท่านั้นครับ แต่ที่ไอ้เหนือมันกอดผมต่อจากนั้นผมไม่รู้ครับ” หัสดินทร์เอ่ยพร้อมกับกอดเอวป้านวลอย่างประจบ
“อ้าว...ไอ้ดิน โธ่ ป้านวลครับ ผมไม่ได้เป็นครับ ยังชอบผู้หญิงอยู่ครับร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนไอ้ดิน มันชอบวัวตัวเมียครับ ตัวโน้นครับชื่อสมรศรี”
“แก ไอ้เหนือ” สองหนุ่มทำท่าจะทะเลาะกันอีก
“ปอเลยเจ้าตึงกู่ ป้าเจื่อละเห้อ ยะหยังว่าเป็นล่ะอ่อนเถียงกันอยู่หั่นอายุก่อสามสิบกันละนา” ป้านวลยังคงบ่นกระปอดกระแปด
“แหะๆ”
“สิตา สิตาครับ” หัสดินทร์หันไปเรียกสัตวบาลสาวคนสวยที่กำลังจะเดินออกไปด้านนอก
“คะ พ่อเลี้ยง”
“ฝากพาป้านวลกลับบ้านทีครับ”
“ได้ค่ะพ่อเลี้ยง” หญิงสาวรับคำด้วยรอยยิ้ม
“แลงนี้ปิ๊กไปกินข้าวที่บ้านเน่อเจ้าตึงสองคนเลย”
“ครับผม” สองหนุ่มตะเบะรับปาก
“เล่นเป็นล่ะอ่อนแต้ๆ” ป้านวลว่าใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจในตัวสองพ่อเลี้ยงที่นางเฝ้าฟูมฟักมาแต่เล็กแต่น้อย
“แล้วเจอกันที่บ้านนะครับป้านวล” สองหนุ่มมองตามหลังป้านวลก่อนจะหันมายิ้มให้กัน
“ไอ้ดิน เรื่องนั้นว่าไง” พายัพถามขณะเดินออกมาจากคอกวัวตรงไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีบนเนินเล็กๆ
“เรื่องไหนอีก” ชายหนุ่มทำท่างงงวยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนรักหมายถึงเรื่องอะไร
“ไอ้ดิน” พายัพยกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบโทษฐานกวนประสาท
“ฮ่าๆ แกนี่เป็นเอามากนะโว้ย”
ทั้งสองนอนแผ่หลาลงบนพื้นหญ้านุ่มแสนสบายสายตาของทั้งคู่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีครามแสนสดใสก่อนที่หัสดินทร์จะเอ่ยขึ้น
“บอกได้คำเดียวว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม โอเค้”
“อืม...”
“นานแล้วนะโว้ย แกยังฝังใจอยู่หรือวะเหนือ”
“ไม่รู้สิ แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง พอรู้แล้วก็รู้สึกดี รู้สึกมีแรงทำงาน บางครั้งก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่พอนึกถึงเรื่องนั้นทีไรก็พลอยยิ้มออก หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง”
“ขนาดนั้นเลยหรือวะ”
“อืม...” สองหนุ่มต่างมองท้องฟ้าแล้วตกอยู่ในห้วงความคิดของตน พวกเขานอนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับยอดเขา