บทนำ - ตอนที่ 1
“เด็กที่คุณตามหานั่งอยู่นั่นไงคะ”
คนพูดคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณครูใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนั้น และคนที่เจ้าหล่อนเอ่ยถึงคือเด็กหญิงวัยสิบขวบที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ชิงช้าเงียบๆ ผิดกับเด็กคนอื่นที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณเดียวกัน
“คนที่นั่งชิงช้าตรงนั้นหรือครับ”
“ถ้าคุณหมายถึงเด็กที่มาจากสลัมร่วมอารีที่เพิ่งโดนไฟไหม้ล่ะก็ เห็นจะมีแค่เด็กคนนั้นคนเดียวแหละค่ะ” คุณครูสาวใหญ่ตอบ พลางลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆ
บุรุษวัยประมาณสามสิบเศษ ท่าทางภูมิฐาน และน่าจะมีฐานะทางสังคมที่ดี เพราะชื่อบนนามบัตรที่เขายื่นให้ ไกรภพ บุรณากรณ์ ตลอดจนการแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนของมีราคา นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอดมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างหม่นหมอง
ข่าวหน้าหนึ่งที่เคยอ่านแบบผ่านๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายรายวันนั้นคงไม่น่าสนใจ หากไม่บังเอิญสะดุดเข้ากับรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่แสนคุ้นตา บนข่าวพาดหัวใหญ่สุดของวันนั้น ‘เผาไล่ที่ชุมชนแออัดวอด’ เพียงแค่เห็นชื่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตในกองเพลิงอย่างน่าอนาถผู้นั้นกับตา เขาก็แทบล้มทั้งยืน
‘ศศิลดา ธนวิจักร’ ภาพกรอบถัดมาคือเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังทำท่าคล้ายจะกระโจนเข้าไปในกองเพลิง ดีแต่คนรอบข้างคอยยื้อหนูน้อยไว้ไม่ให้ทำตามใจได้ ดวงหน้าที่มอมแมมด้วยเขม่าควันดำถอดแบบมาจากสาวเคราะห์ร้ายผู้นั้นราวกับพิมพ์เดียวกันร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ และนี่เองคือเหตุผลที่เขาต้องรีบมาที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งนี้ สายเลือดในอกแห่งเธอผู้นั้นคือสายใยเดียวที่ทำให้เขาเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวที่ติดค้างในหัวใจมาจนถึงวันนี้
“น่าสงสารนะคะ แม่ก็ต้องมาตายเสียในกองไฟ ญาติก็ไม่มีสักคน ยังดีที่มีพลเมืองดีเวทนาเอาตัวมาส่งให้เราเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องเร่ร่อนเป็นภาระสังคมแน่ทีเดียว”
“แล้วพ่อของเด็กล่ะครับ”
“ไม่ทราบสิคะ ตอนมีคนพามาส่งก็ถามแล้วนะคะ แต่ไม่มีใครทราบเลย แถมเด็กก็ไม่ยอมพูดยอม ถามอะไรก็เอาแต่ร้องไห้ นี่ดีขึ้นมากนะคะไม่ค่อยร้องหนักเท่าวันแรก”
“เด็กคนนี้ชื่ออะไรครับ”
“เห็นเจ้าตัวบอกว่าชื่อศุภิสรา ธนวิจักร และชื่อเล่นว่า ‘ทราย’ ค่ะ” ดวงหน้าหวานของเด็กตรงหน้าคงดูสดใสขึ้น หากถูกระบายด้วยรอยยิ้ม เฉกเช่นเด็กสาวแสนสวยที่เขาคุ้นเคยในอดีตที่ติดตรึงใจมากว่าสิบปี อดีตที่อยากลืมแต่กลับเด่นชัดในความทรงจำ จนถึงวันหนึ่งที่เธอผู้นั้นพาความทรงจำแสนงดงามหายไปเหลือไว้เพียงความเจ็บปวดในใจ
“แล้วถ้าผมจะรับเด็กคนนี้ไปอุปการะต้องทำยังไงบ้างครับ”
เมื่อรถเก๋งคันงามแล่นผ่านประตูรั้วอัลลอยที่เปิดอัตโนมัติ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเด็กหญิงวัยสิบขวบคือ บ้านสีขาวหลังงามที่ใหญ่โตราวกับปราสาทในเทพนิยายที่มารดาเคยเล่าให้ฟัง รอยหม่นหมองในดวงตาคู่สวยเริ่มมีความหวังขึ้นอีกครั้ง หลังจากบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยซุกหัวนอนถูกไฟผลาญวอดวาย จนพรากแม่สุดที่รักไปจากเธออย่างไม่มีวันกลับ
“ชอบบ้านใหม่หรือเปล่าหนูทราย” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามอย่างเอ็นดู
“บ้านคุณลุงสวยเหมือนปราสาทของเจ้าหญิงในนิทานของแม่เลยค่ะ” ทราย หรือ ศุภิสรา ยิ้มเศร้าๆ เมื่อเอ่ยถึงคนเป็นแม่ น้ำตาก็เริ่มรื้นขึ้นในลูกแก้วงามคู่นั้นอีกครั้ง “แต่หนูอยู่ที่นี่ได้จริงๆ เหรอคะ” คำถามไร้เดียงสานั้นทำให้คนฟังสะท้อนใจ อดคิดถึงเด็กสาวอีกคนในอดีตขึ้นมาไม่ได้
‘ศศิลดา’ รักแรกและรักเดียวของเขา คนที่เคยฝากบาดแผลไว้ในหัวใจมาเนิ่นนาน หากแต่เหนือสิ่งใดแล้วยังมีอะไรบางอย่างในตัวเด็กหญิงที่ทำให้เขารู้สึกผูกพันและเอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษตั้งแต่เมื่อแรกที่ได้พบ
“จริงสิจ๊ะ จากนี้ไปที่นี่จะเป็นบ้านของหนู และลุงสัญญานะว่าจะดูแลหนูอย่างดีที่สุด” คุณไกรภพดึงร่างเล็กเข้ามากอดอย่างเอ็นดู ทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตด้วยความตื้นตัน แต่ด้วยความอ่อนเดียงสา ทำให้หนูน้อยไม่ทันสังเกตเห็นรอยกังวลของผู้มากวัยกว่าที่รู้ดีแก่ใจว่า ‘ปัญหาใหญ่’ ต้องเกิดขึ้นแน่
เมื่อถึงหน้าตึกใหญ่ รถของเจ้าของบ้านกลับไม่อาจจอดหน้าตึกได้ เพราะมีรถอีกคันจอดขวางอยู่ เด็กรับใช้รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนาย พลางจ้องมองเด็กน้อยที่ก้าวตามลงมาอย่างสงสัย
“เอาล่ะ เข้าบ้านกันดีกว่านะลูก”
“ลูก!” คนฟังอุทานเสียงสูง
“อ้อ...นี่คือคุณทราย! จะมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนี้” คำบอกกล่าวนั้นทำให้กลุ่มคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านชะงักไปตามๆ กัน
“นั่นลูกเต้าเหล่าใครกันคะ คุณพี่” หญิงวัยกลางคนที่เดินนำแผดเสียงถามอย่างดุๆ ไปทางผู้มาใหม่ ทำเอาคนถูกมองถึงกับสะดุ้งโหยงรีบแอบด้านหลังคุณไกรภพด้วยความตกใจ
“อ้าว จะกลับแล้วหรือครับคุณนิภา” ผู้เป็นสามีไม่ตอบกลับหันไปทักทายคนที่เดินตามมาแทน
“ค่ะ คุณไกร ต้องรีบไปรับคุณพิชิตกับตาฟ้าน่ะค่ะ” คุณนิภาพรมองเด็กหญิงตรงหน้าก่อนเหลือบตามองคนเป็นเพื่อนรักอย่างนึกเป็นห่วง “ยัยเฟื่องมากราบลาคุณลุงสิจ๊ะลูก”
เฟื่อง หรือ เฟื่องตะวัน คือเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับศุภิสรา ผู้มีรูปร่างหน้าตาตลอดจนการแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้านน่ารักราวกับตุ๊กตาแก้วเนื้อดี ต่างกับเด็กหญิงอีกคนราวฟ้ากับดิน เฟื่องตะวันยกมือไหว้ทุกคนอย่างน่ารัก แต่เมื่อแลสบตากับเด็กผู้มาใหม่ก็แอบแลบลิ้นใส่อย่างไม่เป็นมิตร ทำให้คนที่เผลอเยี่ยมหน้าออกมาต้องรีบหลบด้านหลังคุณไกรภพแทบไม่ทัน พอได้เห็นหน้าชัดๆ คุณพราวพิไลก็ตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
“ศศิลดา!”
“พี่เพชรขา ไว้คราวหน้าให้น้องเฟื่องมาเล่นตัวต่อเลโก้อีกนะคะ” เสียงกระเง้ากระงอดเรียกร้องความสนใจ
เพชร หรือ พีรภัทร บุรณากรณ์ เด็กชายตัวผอมสูง หน้าตาคมคายถอดแบบมาจากคุณพราวพิไลผู้เป็นมารดา หากแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนละม้ายคุณไกรภพผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน
“ได้สิครับ แต่คราวหน้าต้องชวนนายฟ้ามาด้วยนะ” นายฟ้าหรือเหนือฟ้าคือเพื่อนสนิทและเป็นพี่ชายคนเดียวของเด็กหญิง
“ไปกันได้แล้วจ้ะลูก ฉันไปก่อนนะยัยพราว มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันนะจ๊ะ” ท้ายประโยคคนพูดแอบกระซิบเบาๆ กับคนเป็นเพื่อนรัก ที่รู้จักนิสัยใจคอกันมานาน พีรภัทรส่งยิ้มให้เด็กหญิงในรถอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นทำให้คนยืนหลบอยู่ด้านหลังคุณไกรภพถึงกับแอบชะโงกหน้าออกมามองอย่างลืมตัว
“เด็กคนนั้นใครคะ!” คนถูกถามทำเป็นไม่สนใจคำถามของภรรยา แต่กลับหันไปเอ่ยกับลูกชายคนเดียวแทน
“ตาเพชร มานี่สิลูก พ่อมีคนจะแนะนำให้รู้จัก” คุณไกรภพยิ้ม พลางเบี่ยงตัวให้เด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลังตัวเองออกมายืนด้านหน้า “หนูทรายคะ นี่คือพี่เพชร ลูกชายของลุงเอง”
เด็กหญิงส่งยิ้มให้เด็กชายที่ตัวโตกว่าอย่างเป็นมิตร ขณะที่อีกฝ่ายยืนนิ่ง ดวงตาคมกริบถือโอกาสสำรวจผู้มาใหม่อย่างถี่ถ้วน
“ตาเพชร นี่น้องทรายนะลูก ตั้งแต่วันนี้ไปน้องจะมาอยู่บ้านเราในฐานะน้องสาวของลูก รู้จักกันไว้สิ...”
“ว่าไงนะคะ” เสียงแหลมปรี้ดตวาดแว้ด “คุณว่ายัยเด็กนี่เป็นอะไรนะ...”
“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะคุณพราว อายเด็กๆ บ้างสิ”
“ช่างหัวมันเหอะ คุณยังไม่ตอบฉันเลย ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร อย่าบอกนะว่ามันเป็นลูกเมียน้อยของคุณ?”