หลอกลวงเบื้องสูง มีโทษสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง
ณ ตำหนักเฉียนชิง
ตำหนักที่ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในวังหลังเป็นที่ประทับของฮองเฮา ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือหมู่ 12 ตำหนักของสนมของฮ่องเต้เฉินเฉิง แห่งราชวงศ์เฉิน
“ฮองเฮาเพคะ โอสถเพคะ”
นางกำนัลข้างกายประคองถ้วยโอสถที่นางเคี่ยวเองกับมือตามคำสั่งของฮองเฮาวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขาวซีดของผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้
เฟิงอี๋ฮองเฮา สตรีในวัยสามสิบปีมองถ้วยบรรจุโอสถสีดำมีควันสีขาวจาง ๆ ลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นของมันชวนคลื่นเ**ยนยิ่งนัก ไม่ทันไรนางก็จำยอมเบือนหน้าหนีแล้วร่างบางก็สั่นสะท้านคล้ายกับจะขย้อนข้าวต้มในตอนเช้ามา
“อะ.. อ๊อก..”
“ฮองเฮาเพคะ ให้ตามหมอหลวงหรือไม่”
นางกำนัลข้างกายลูบแผ่นหลังให้นายเหนือหัว ในขณะที่นางกำนัลอีกผู้หนึ่งรีบนำบ้วนพระโอษฐ์มารองรับสิ่งที่ฮองเฮาสํารอกออกมาจากปาก
“มะ.. ไม่ต้อง”
เฟิงอี๋รีบยกมือห้าม แววตาสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ่งดูซูบลงไปอีก ตั้งแต่ทรงพระครรภ์หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นางมีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารหรือยา นางก็จะอาเจียนออกมาจึงทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่แล้วผอมลงไปอีก
“แต่....”
นางกำนัลข้างกายสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความกังวลใจ เมื่อต้นเดือนก่อนฮองเฮาประชวรคล้ายกับหญิงตั้งครรภ์ ทั้งอาเจียนบ่อย ๆ ทั้งเหนื่อยง่าย แต่พระนางก็ไม่ทรงเรียกหมอหลวงเข้ามาถวายการรักษา อีกทั้ง ยังเขียนตัวยาสำหรับการบำรุงครรภ์แล้วให้นางไปขอเบิกจากคลังยาหลวงแบบลับ ๆ
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไร... ก่อนเป็นฮองเฮาเราเป็นหมอหญิงมาก่อน”
เฟิงอี๋ยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ เสียงที่เปล่งออกมานั้นอ่อนแรงนัก ในขณะที่มือลูบท้องของตนอย่างแผ่วเบา ในนี้มีโอรสสวรรค์ที่เพิ่งจะมาจุติ นางจะต้องอดทนผ่านการแพ้ท้องครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะไม่ง่ายเลยกว่านางจะตั้งครรภ์
เฟิงอี๋ บุตรีของใต้เท้าชุน เจ้ากรมการคลังได้รับการคัดเลือกให้เป็นพระสนมในวัยสิบเจ็ดปี แล้วก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮาเมื่ออายุ 20 ปี หลายปีผ่านไปไม่ว่าจะนาง หรือสนมคนใดก็ยังไม่ตั้งครรภ์สักที ในขณะที่ฮองไทเฮากดดันนางให้มีทายาท ฝ่ายขุนนางก็เร่งเร้าองค์ฮ่องเต้ให้คัดเลือกสนมคนใหม่เพิ่มทุกปี เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะมีโอรสสวรรค์
หากให้สนมตั้งครรภ์ก่อนเกรงว่าตำแหน่งฮองเฮาจะรักษาไว้ไม่ได้อีกต่อไป นางจึงใช้ความรู้เรื่องการแพทย์ที่เคยศึกษามาปรุงยาบำรุงสตรีให้เหมาะแก่การตั้งครรภ์ ล่วงเลยเวลามานานถึง 10 ปีจนในที่สุดนางก็ตั้งครรภ์ในวัยสามสิบปี ความยินดีนี้หากเป็นเมื่อก่อนนางคงแจ้งแก่ฮ่องเต้ทันทีที่ทราบข่าว แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงกำลังลุ่มหลงฟางเหรินกุ้ยเฟยจนไม่ออกว่าราชการมาหลายสัปดาห์แล้ว แม้แต่มาเยี่ยมนางสักคราก็ยังไม่มีแม้เงา นางจึงไม่มีโอกาสได้บอกข่าวดีแก่พระองค์ด้วยตนเอง อีกทั้ง ที่ยังเก็บงำเรื่องนี้ไว้เพราะเกรงว่าภัยร้ายจะมาสู่ลูกน้อยในครรภ์
“ไม่ลืมเจ้าค่ะ แต่ร่างกายของฮองเฮาทรงอ่อนแอนัก ยาที่ขอเบิกมาได้มีเพียงยาบำรุงชั้นเลวเท่านั้น หม่อมฉันคิดว่าหากได้ยาบำรุงที่ดีกว่านี้ พระองค์และโอรสสวรรค์จะแข็งแรงขึ้นนะเพคะ”
นางกำนัลข้างกาย ถวายความคิดเห็น เรื่องที่ฮองเฮาตั้งครรภ์นั้นยังถูกเก็บไว้เป็นความลับ ดังนั้น ทุกครั้งที่นางไปขอเบิกยามักจะอ้างว่าเบิกมาให้หัวหน้าแม่ครัว จึงทำให้ไม่สามารถเบิกยาบำรุงครรภ์ที่มีราคาแพงได้
“เรา.. รอเวลาอีกนิด ให้เรามั่นใจว่าลูกจะแข็งแรงจนสามารถอยู่กับเราได้ เพื่อความปลอดภัยของเขา”
เฟิงอี๋ลูบครรภ์ตนเอง แววตาเปล่งประกายระยับด้วยความสุขเมื่อนึกถึงชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ นางเคยศึกษาตำราแพทย์มาก่อน ระยะ 2 เดือนแรกของการตั้งครรภ์นั้นเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการแท้งมากที่สุด อีกทั้งร่างกายนางในช่วงนี้อ่อนแอมาก ยังไม่มีเรี่ยวแรงรับมือกับความริษยากับสนมทั้ง 12 ตำหนัก ยากนักที่จะรักษาลูกน้อยให้ปลอดภัยในเวลานี้
“เพคะ”
นางกำนัลข้างกายรับคำ พร้อมกับประคองถ้วยโอสถถวายพระนางอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องรีบวางลงทันใดแล้วเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกเมื่อทหารองครักษ์นับสิบนายวิ่งกรูกันเข้ามา
ตึก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เฟิงอี๋ฮองเฮา พลันตัวแข็งทื่อขึ้นมา รู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง เมื่อตั้งสติได้ นางตวาดขึ้นว่า
“บังอาจ ! พวกเจ้ากล้าบุกรุกตำหนักเฉียนชิงโดยไม่ได้รับอนุญาตรึ !”
ไม่มีเสียงตอบจากเหล่าทหารกำยำน่าเกรงขามเหล่านั้น มีเพียงเสียงหัวเราะเหยียบเย็นที่ดังมาจากที่ไกล ๆ ไม่นานนักร่างสตรีในชุดชาววังสีสวยก็ย่างกายเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
นางที่เข้ามานั้นเอ่ยเพียงวาจา แต่มิได้ก้มศีรษะเคารพยำเกรงดั่งวาจาที่เปล่งออกมา เพราะตอนนี้นางคือสตรีที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด
“กุ้ยเฟย... เจ้าคิดว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แล้ว นึกอยากจะสั่งทหารบุกตำหนักเราก็ได้รึ หรือเจ้าไม่เห็นตำแหน่งฮองเฮาของเราอยู่ในสายตาแล้ว”
เฟิงอี๋ดวงตาแดงก่ำ อยากจะตวาดนางแพศยาตรงหน้ายิ่งนัก แต่เพราะร่างกายอ่อนแอลงมากจึงทำให้เสียงที่เปล่งมานั้นแทบเบาจนเรียกไม่ได้ว่าตวาด
“ต่อให้กินดีเสือเข้าไป หม่อมฉันก็มิอาจใจกล้าเช่นนั้นหรอกเพคะ หากว่าไม่ได้รับราชโองการให้มาจับชายชู้ที่ลักลอบเข้าตำหนักเฉียนชิง”
ฟางเหรินกุ้ยเฟยยังคงใช้น้ำเสียงแว่วหวาน แม้วาจาที่ลั่นออกมานั้นจะเชือดเฉือนอีกฝ่ายจนใบหน้าขาวนั้นซี้ดลงอีกหลายส่วน
“เจ้ากล่าววาจาสามหาวอันใด”
เฟิงอี๋เอ่ยถามเสียงสั่นพลางลุกขึ้นจากที่นั่ง บัดนี้นางไม่อาจนั่งสบายอยู่บนเก้าอี้ได้อีกแล้ว นางกำนัลข้างกายรีบเข้ามาประคองแขนนาง ดวงตาแดงก่ำจ้องมองฟางเหริน บุตรีของอัครเสนาบดีฉือ เพราะใบหน้าอ่อนเยาว์ดุจบุปผาแรกแย้ม ความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสองจึงทำให้นางก้าวสู่ตำแหน่งกุ้ยเฟยในอายุเพียง 18 ปี
“นางมิได้เอ่ยวาจาสามหาวอันใด เป็นเจ้าที่ปิดบังเรา หลอกลวงเบื้องสูง มีโทษสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง !”