“เจ้ากล่าววาจาสามหาวอันใด”
เฟิงอี๋เอ่ยถามเสียงสั่นพลางลุกขึ้นจากที่นั่ง บัดนี้นางไม่อาจนั่งสบายอยู่บนเก้าอี้ได้อีกแล้ว นางกำนัลข้างกายรีบเข้ามาประคองแขนนาง ดวงตาแดงก่ำจ้องมองฟางเหริน บุตรีของอัครเสนาบดีฉือ เพราะใบหน้าอ่อนเยาว์ดุจบุปผาแรกแย้ม ความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสองจึงทำให้นางก้าวสู่ตำแหน่งกุ้ยเฟยในอายุเพียง 18 ปี
“นางมิได้เอ่ยวาจาสามหาวอันใด เป็นเจ้าที่ปิดบังเรา หลอกลวงเบื้องสูง มีโทษสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง !”
บุรุษในอาภรณ์สีเหลืองลายมังกรเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงตวาดกึกก้องราวอสุนีบาต เขาจ้องมองฮองเฮาด้วยแววตาวาวโรจน์ด้วยความเจ็บใจที่ถูกคู่ชีวิตทรยศหักหลัง
พระสุรเสียงของฮ่องเต้ที่เต็มไปด้วยความพิโรธนั้นทำให้เฟิงอี๋ถึงกับตัวสั่น ลืมแม้กระทั่งว่าจะต้องยอบกายเอ่ยถวายความเคารพ ส่วนฟางเหรินกุ้ยเฟยและข้ารับใช้คนอื่น ๆ ต่างคุกเข่าถวายความเคารพฮ่องเต้
จากนั้น ฟางเหรินกุ้ยเฟยลอบยกยิ้ม ในเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาเองแล้ว นางจึงไม่ต้องเปลืองแรงกระทำสิ่งใดอีก จึงให้นางกำนัลประคองไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง แล้วทอดตามองคนทั้งคู่ราวกับว่าอีกไม่นานภาพการแสดงที่งดงามตระการตากำลังจะปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เสด็จพี่ทรงตรัสเรื่องอันใด หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
ริมฝีปากขาวซีดเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง นางได้รับความเฉยเมยจากสามีมาร่วมเดือน พบหน้ากันอีกครั้งเขากลับจะเอาชีวิตของเธอและลูกน้อยเสียแล้ว
“รับสั่งเรื่องใดงั้นรึ เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าตนทำผิดเรื่องใด ยังจะแสร้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ คิดว่าเราหูหนวกตาบอดแล้วรึ”
เฉินเฉิงฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง เรือนร่างสูงเด่นงามสง่าสมดั่งผู้อยู่บนบัลลังก์มังกร อยู่เหนือคนนับล้าน
“หม่อมฉันไม่เคยทำผิดต่อพระองค์”
แม้เสียงของฮองเฮาจะแผ่วเบา แต่คำนั้นหนักแน่น นับตั้งแต่นางอภิเษกกับประมุขของแผ่นดิน ทั้งจิตใจและร่างกายก็มอบไว้บนฝ่ามือเขาเพียงผู้เดียว เป็นเขาเองต่างหากที่มีสนมนางในนับร้อย แม้เจ็บซ้ำที่ต้องแบ่งปันสามีให้สตรีอื่น แต่นางก็ฝืนทนกล้ำกลืนความเจ็บซ้ำนั้นเอาไว้ เพราะตระหนักดีว่า สามีของนางเป็นฮ่องเต้มีชีวิตเพื่อแผ่นดิน มิได้มีไว้ให้นางครอบครองเพียงผู้เดียว
“ไม่เคยทำผิดต่อข้างั้นรึ !”
ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทตรงเข้าหาฮองเฮา มือแกร่งบีบไหล่นางทั้งสองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ตะคอกใส่หน้าของนางว่า “แล้วบุรุษที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้ในคราบของขันทีในตำหนักของเจ้าคืออะไร แล้วยังจะยาบำรุงครรภ์ที่เจ้าดื่มทุกวัน คือ อะไร คิดว่าเราโง่จนไม่รู้ว่าเจ้าแอบคบชู้จนตั้งครรภ์หรืออย่างไร !”
สิ้นคำ เขาก็ผลักร่างสั่นสะท้านลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี
ตุบ
นางกำนัลส่งเสียงกรี้ดออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ แล้วรีบเข้าไปประคองร่างฮองเฮาบนพื้น เฟิงอี๋ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บหน่วงที่ท้องน้อยแปลก ๆ มือเรียวรีบยกขึ้นกุมท้องตามสัณชาตญาณ พลางบอกลูกน้อยในใจว่า - เด็กดีเข้มแข็งไว้นะลูก แม่อุตส่าห์เฝ้ารอเจ้ามาสิบกว่าปี เจ้าต้องอยู่กับแม่นะ –
เหงื่อผุดพรายขึ้นตามหน้าผากขาวไร้สีของฮองเฮา นางกัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันถูกปรักปรำ เด็กในครรภ์นี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์นะเพคะ”
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าพระอุระเพื่อระงับความโกรธในใจ แค่นเสียงขึ้นจมูกว่า
“ลูกของเรารึ เรามาตำหนักเจ้าแค่ไม่กี่ครั้ง อีกทั้งหากเจ้าจะตั้งครรภ์ ก็ควรตั้งครรภ์ตั้งนานแล้ว ไยมาท้องเอาตอนนี้ ตอนที่เจ้าซุกซ่อนบุรุษไว้ในตำหนัก ทหารนำตัวชายโฉดผู้นั้นออกมา !”
ประโยคสุดท้ายฮ่องเต้สั่งทหารองครักษ์เสียงดังลั่น ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธ
ไม่นานนักทหารสองนายก็นำบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งในชุดขันทีของตำหนักเฉียนชิงเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์
“เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักมันรึ”
ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเฉียบเย็น
“หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริง ๆ เพคะ”
เฟิงอี๋ส่ายหน้าตอบ
ฟางเหรินกุ้ยเฟยที่นั่งชมละครอยู่ข้าง ๆ ขยับกายลุกขึ้นดุจบุปผาไหวตามลม แล้วเข้าคล้องแขนฮ่องเต้พลางปรายตามองคนบนพื้นอย่างเย้ยหยันก่อนเอ่ยเสียงหวานเฉกเดิมว่า
“โจรที่ไหนกันจะยอมรับว่าตนเองขโมยของ ไม่สู้ถามคนในตำหนักคนอื่นดีหรือไม่เพคะ”
เมื่อฮ่องเต้พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางจึงเรียกข้ารับใช้ตำหนักเฉียนชิงที่เป็นคนของนางออกมาซักถาม “ไท่เจี้ยนเจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่”
หัวหน้าขันทีของตำหนักเฉียนชิงเหลือบมองฟางเหรินกุ้ยเฟย และองค์ฮ่องเต้ จากนั้นก็หมอบตัวสั่นอยู่กับพื้นพลางส่งเสียงที่ฟังไม่ได้ความว่า
“กระหม่อม... กระหม่อม... คือ.. กระ...”
“อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังไม่พูดความจริงมาอีก !”
ฮ่องเต้ตวาดออกมา สนมรักที่ยืนอยู่ข้างกายจึงลูบอกของเขาเบา ๆ คล้ายกับกำลังปลอบเขาให้สงบสติอารมณ์
“ชายผู้นี้เป็นคนที่ฮองเฮานำมาเลี้ยงไว้ในตำหนักพระเจ้าค่ะ”
หัวหน้าขันทีผู้นั้นตะโกนออกมาทั้งที่ยังหมอบอยู่ ไม่เหลือบมองชายแปลกหน้าผู้นั้นด้วยซ้ำ
เมื่อหลักฐานทุกอย่างต่างชี้ชัดว่านางลอบคบชายชู้ ฮองเฮาได้แต่ส่ายหน้าอย่างช้า ๆ นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะรวมหัวกันใส่ร้ายนาง
“หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะ ฝ่าบาทโปรดใคร่ครวญด้วย”
เฟิงอี๋ร้องออกมาพลางสะอื้นไห้ แม้นเป็นฮองเฮาแต่นางก็ไม่เคยข่มเหงรังแกสนมนางใด แต่ไยพวกนางถึงไม่ยอมละเว้นนางกับลูก !
ฮ่องเต้ไม่ฟัง อีกทั้งไม่มองหน้านางแม้แต่น้อย เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วตรัสสั่งลงโทษนางทันที
“ให้นางกินยาขับก้อนเลือดชั่ว ๆ ออกมาซะ และมอบผ้าขาว ประหารตระกูลนางเก้าชั่วโคตร !”
เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็กรีดร้องออกมาจนไม่มีเสียง ดวงตาเฟิ่งอี๋แดงก่ำคล้ายร่ำไห้ออกมาเป็นสายเลือด ทหารสองนายจับนางกรอกยาขับเลือด เฟิงอี๋ขัดขืนสุดกำลังแต่สุดท้ายเรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิอาจต้านทาน
ทันทีที่น้ำยาไหลซึมแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย ท้องของนางก็เริ่มบีบรัดจนเจ็บปวด นางเงยหน้าขึ้นมองฟางเหรินกุ้ยเฟย ใบหน้าสวยนั้นกำลังฉาบรอยยิ้มบาง ๆ เอาไว้ ส่วนสามีที่สั่งฆ่าเลือดเนื้อตัวเองกับมือกลับใบหน้าเย็นชายิ่ง
เมื่อเลือดไหลซึมออกมาจนแดงฉานเปรอะเปื้อนไปทั้งกระโปรง นางก็รับรู้ว่าลูกได้เดินทางล่วงหน้าไปยังธารเหลืองก่อนแล้ว หัวใจของนางแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ลูกแม่.... ลูกแม่....”
น้ำตาของนางไหลออกมาเป็นสายเลือดแล้วจริง ๆ
“พระราชทานแพรขาว !”
ตรัสสั่งเสร็จ ฮ่องเต้ก็สะบัดพระภูษาเสด็จออกไป พร้อมกับพระสนมกุ้ยเฟย
ในขณะที่เฟิงอี๋ฮองเฮาถูกจับแขวนคอด้วยผ้าขาว ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“ข้าถูกปรักปรำจนตัวตาย วิญญาณมิอาจสงบได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้สงบสุข !”
ทันทีที่ทหารปล่อยมือทิ้งร่างนางลง ผ้าขาวที่พาดลำคอเอาไว้ก็รัดแน่น ร่างนางกระตุกสามสี่หนอย่างทรมานก่อนจะสิ้นใจตายอย่างเดียวดาย
....................................................................................