๔.๑

1332 Words
สองวันต่อมา ปภาพินท์ลืมตาขึ้น ทันทีที่รู้สึกตัว หญิงสาวก็ปวดร้าวไปทั้งร่าง... “พี่ปูน... พี่ปูนอยู่ไหน” สาวน้อยครางชื่อพี่สาวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า พอจะขยับตัวก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดร้าวระบมไปทั้งร่าง “โอ๊ย...เจ็บจัง” เสียงที่ดังแผ่วๆ ทำให้วรรณาที่เพิ่งก้าวเข้ามาภายในห้องคนไข้รีบสาวเท้าเข้ามาหาทันที “แป้ง รู้สึกตัวแล้วหรือลูก” วรรณาเอ่ยกับสาวน้อยด้วยความดีใจ ก่อนจะหันไปมองสามีที่ตามเข้ามาติดๆ “ฟื้นแล้วหรือแม่” “จ้ะพ่อ ฟื้นแล้ว” วรรณาตอบสามี พลางมองใบหน้างามที่บัดนี้ฟกช้ำไปทั่ว ศีรษะถูกพันด้วยผ้าสีขาว แขนและขาขยับไม่ได้เพราะถูกเข้าเฝือกดามเอาไว้... “เป็นยังไงบ้างลูก นี่พ่อกับแม่เองนะ” ทะนงกล่าวกับ ปภาพินท์ ขณะที่หญิงสาวรู้สึกสับสน เลื่อนลอย และคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ทุกอย่างจะดับวูบลง “เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไม แป้งมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วพี่ปูน พี่จอมล่ะคะ” เอ่ยถามด้วยหวาดกลัว สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ระหว่างทางกลับบ้าน รถของหนูเกิดอุบัติเหตุจ้ะ มีรถบรรทุกพุ่งข้ามเลนมาชนรถของหนูจนพลิกคว่ำ” วรรณาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะเวลานี้ลูกชายของนางเองก็ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่อีกห้องหนึ่งของโรงพยาบาล ส่วน ปภาวดีนั้นหนักสุด เพราะตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวแต่อาการโดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว จึงถูกย้ายออกจากห้องฉุกเฉินมายังห้องพักฟื้นและมีพยาบาลดูอาการใกล้ชิด ปภาพินท์ได้ฟังเช่นนั้นก็หน้าเผือดซีด คิดถึงพี่สาวทันที “พี่ปูนเป็นยังไงบ้างคะแม่ แล้วลูกพี่ปูนล่ะคะ ปลอดภัยไหม พี่จอมด้วย ฮือ... นี่แป้งหมดสติไปกี่ชั่วโมงคะ แม่คะ พ่อคะ แป้งอยากพบพี่ปูนค่ะ” แล้วสาวน้อยก็ร้องไห้โฮ เพราะหวาดกลัวสุดหัวใจว่าจะสูญเสียพี่สาวที่รักยิ่งไป เพราะหากเป็นเช่นนั้นหล่อนจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร จะอยู่กับใคร.. พี่ปูน... คนทั้งคู่ได้แต่นิ่งอึ้ง จะตอบอย่างไรดีไม่ให้สาวน้อยตรงหน้าต้องสูญเสียกำลังใจลงไปอีก วรรณาขยับเข้าไปใกล้ กุมมือเล็กไว้เบาๆ พลางยิ้มอ่อนปลอบโยนคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความวิตกกังวล “พี่ปูนกับพี่จอมของหนูตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะจ๊ะ แต่ว่าคุณหมอให้อยู่กันคนละห้อง เพราะยังเคลื่อนย้ายไม่ได้ พี่จอมน่ะ เป็นไม่มากเท่าไรนัก แค่แขนหัก อีกสักพักถ้าหมออนุญาตก็คงจะมาเยี่ยมหนู ส่วนพี่ปูน...ตอนนี้คุณหมอต้องดูอาการมากกว่าคนอื่น เพราะกระทบกระเทือนมากกว่าใคร อย่าเพิ่งร้องสิจ๊ะ ไม่เอา” ปภาพินท์ร้องไห้ออกมาทันทีที่รู้ว่าพี่สาวเจ็บหนักสุด วรรณาหันไปมองสามีด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน แต่จำต้องอยู่คอยปลอบใจสาวน้อยตรงหน้า “ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วจ้ะ ไม่มีแล้ว พี่ปูนของหนูแค่ยังไม่ฟื้น ก็เหมือนหนูนี่แหละ หลับกันไปตั้ง 2 วันเชียวนะ พี่ปูนเองอีกไม่นานก็คงฟื้นจ้ะ อย่าเพิ่งคิดมาก หนูต้องพักผ่อนนะ จะได้หายเร็วๆ” “แต่ว่าแป้งอยากไปดูพี่ปูน พี่ปูนไม่เป็นอะไรอีกแน่หรือคะ มีอะไรเสียหายหรือเปล่าคะ แล้วเด็กล่ะคะ ปลอดภัยไหม” คำถามของปภาพินท์ทำให้สองสามีภรรยาต่างทอดถอนหายใจยาว เรื่องนี่คงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับครอบครัวของจอมทัพ และเวลานี้ชายหนุ่มก็กำลังใจสลายอยู่อีกห้องหนึ่งเช่นกัน เมื่อทั้งคู่นิ่งเงียบ ปภาพินท์ก็ใจไม่ดีอีก สาวน้อยสรุปทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น “ทำไมคะ มีอะไรอย่างนั้นเหรอคะ” ดวงตากลมโตจ้องมองคนทั้งสองอย่างคาดคั้น ทำให้คุณวรรณาต้องบีบมือเล็กของสาวน้อยหนักๆ แล้วตัดสินใจบอก “เด็กไม่รอดจ้ะ” คำตอบที่ได้รับทำให้หญิงสาวตกตะลึง วรรณามองน้ำตาที่ไหลเอื่อยลงมาแล้วเอื้อมมือไปเช็ดให้แผ่วเบา “ทำให้ใจสบายนะจ๊ะ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นรุนแรงมาก ตอนแรกแม่กับพ่อคิดว่าจะต้องเสียเราทั้งสามไปเสียแล้วตอนเห็นสภาพรถ” คนฟังเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาแดงก่ำ “ทำไมคะ” “พังยับเยินจนแทบไม่มีชิ้นดี” ทะนงเป็นคนตอบ แม่เขาร้องไห้จนเป็นลมไปหลายพัก แต่พอรู้ว่าทุกคนรอดก็รีบตามมาที่โรงพยาบาล แป้ง... ไม่ว่าเราจะสูญเสียอะไรไป แต่อย่างหนึ่งที่ยังอยู่คือชีวิตนะลูก ลูกๆ ทั้งสามปลอดภัยแล้ว เรื่องอื่น เอาไว้ค่อยคิดหาวิธีแก้ไขภายหลัง” ทะนงให้สติสาวน้อย ปภาพินท์จึงเริ่มคิดได้ นั่นสิ ถึงพี่ปูนต้องเสียลูกในท้องครั้งนี้ แต่ก็ยังมีสิทธิ์มีลูกได้อีกไม่ใช่เหรอ ขอแค่รักษาร่างกายให้กลับมาเป็นปกติแค่นั้นพอ... คิดได้ดังนั้น จึงค่อยๆ ยิ้มให้ทั้งสอง “จริงสิคะ ถ้าพี่ปูนหายดี ค่อยมีใหม่ก็ได้นะคะ” ถ้อยคำแผ่วหวานของสาวน้อยสะเทือนใจคนฟัง “แล้วพี่จอมเป็นยังไงบ้างคะ” เมื่อวางใจเรื่องพี่สาวลงมาบ้าง จึงเอ่ยถามถึงจอมทัพ “พี่จอมแค่แขนหัก นั่นน่ะน่าจะเจ็บหนักสุดแต่กลับเป็นน้อยที่สุด” ทะนงกล่าวด้วยสีหน้าเจือยิ้ม ทว่าแววตาของท่านแฝงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงบุตรชายเต็มที่เรื่องร่างกายนั้นไม่เท่าไร ทว่าจิตใจนี่สิ ที่เขาเป็นห่วงมากกว่าอะไรทั้งหมด... “ใช่จ้ะ หนูเองก็พักผ่อนให้มากนะ เพราะบาดเจ็บหลายที่เหมือนกัน หัวแตก ขาหัก กระดูกแขนร้าว” “แล้วพี่ปูนล่ะคะ นอกจากเสียลูก อย่างอื่นเป็นอะไรเพิ่มอีกไหม” คำถามนั้นทำให้ทั้งสองหนักใจที่จะตอบ แต่ก็เลี่ยงๆ ไปจนได้ “ก็ขาหักจ้ะ แต่ของพี่หนูเป็นหนักหน่อย หักทั้งสองข้าง ศีรษะแตก” ใบหน้างามเผือดซีดลง แต่ก็ยังเบาใจว่าอวัยวะทุกส่วนอยู่ครบ “สรุปคือไม่มีอะไรขาดหายไปนะคะ ทุกอย่างอยู่ครบนะคะ” เอ่ยถามเพื่อให้มั่นใจ ทั้งสองจึงพยักหน้ายิ้ม “จ้ะ อยู่ครบหมด ไม่ต้องห่วงนะ” สาวน้อยถอนหายใจด้วยสีหน้าโล่งอกทันที “เฮ้อ... ค่อยยังชั่ว” ว่าแล้วก็ยิ้มให้ทั้งสอง วรรณามองใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวแล้วบอกให้พักผ่อน “นอนเถอะ อย่าเพิ่งขยับตัวมาก อีกสักพักหมอจะเข้ามาตรวจ แม่จะอยู่เป็นเพื่อนหนูที่นี่”บอกพลางหันไปมองสามี “พ่อกลับไปอยู่กับลูกเถอะ” ฝ่ายนั้นพยักหน้า แล้วหมุนตัวกลับออกจากห้องพักฟื้นของปภาพินท์ สาวน้อยมองตามท่านออกไปจนลับตา ก่อนจะเอ่ยถามมารดาของจอมทัพอีกครั้งว่า “แล้วใครดูแลพี่ปูนคะ” เกิดความกังวลขึ้นอีกครั้ง มารดาของจอมทัพดูแลหล่อน พ่อของเขาไปดูแลลูกชาย แล้วพี่สาวหล่อนเล่า “แม่ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ปูนเถอะนะคะ แป้งไม่เป็นไรมากอยู่คนเดียวได้ค่ะ” สาวน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความเป็นห่วงพี่สาวเต็มเปี่ยม ทำเอาคนฟังยิ้มด้วยความปลื้มใจแทนสะใภ้ “ไม่ต้องห่วงพี่ปูนหรอกจ้ะ รายนั้นมีพยาบาลเฝ้าใกล้ชิด เขาเป็นหนักกว่าคนอื่น แล้วอีกอย่างคุณหมอไม่ให้ใครเฝ้าด้วย เพราะกลัวพี่ปูนของหนูจะติดเชื้อ วางใจได้นะจ๊ะ พี่ปูนของหนูปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์จ้ะ” แต่กระนั้น แม้สาวน้อยก็ยังคงมีสีหน้าหม่นหมองอยู่ดี เพราะเกิดมาไม่เคยต้องมาเจ็บพร้อมกันจนไม่อาจมีใครดูแลใครได้เช่นนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD