๑๐
วันรุ่งขึ้น ทุกคนเตรียมพร้อม จอมทัพดันรถเข็นของภรรยาเข้าไปในรถครอบครัวคันใหญ่ เสร็จแล้วเขาก็ทำหน้าที่ประจำคนขับ ก่อนจะหันไปมองทั้งภรรยาและ ปภาพินท์ที่กำลังจะทำหน้าที่อุ้มท้องแทนภรรยาว่า
“พร้อมแล้วนะทุกคน”
ปภาวดีและปภาพินท์ส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม ต่างพยักหน้าแล้วตอบพร้อมกันว่า
“พร้อมค่ะ...”
ชายหนุ่มยิ้มตอบ แล้วหันกลับไปพลางผ่อนลมหายใจยาว บอกตนเองว่าทำถูกแล้ว ทุกคนโอเค เขาก็โอเค...
จากนั้นไม่นาน ทั้งหมดก็มาถึงโรงพยาบาลชื่อดังที่เข้ารับการผสมเทียมครั้งนี้ เมื่อทำความเข้าใจอีกครั้งกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อย ทั้งจอมทัพและปภาพินท์จึงถูกนำตัวเข้าไปเตรียมตัวในห้อง โดยที่ปภาวดีนั่งรออยู่ด้านนอกกับพยาบาลอีกคนหนึ่ง แต่ก่อนไปหญิงสาวจับมือน้องสาวแน่นพลางบอก
“ขอบใจนะแป้ง ขอบใจมาก” น้ำตาคลอขณะสบตาน้องสาว ปภาพินท์ยิ้มให้พลางบีบกระชับมือฝ่ายนั้นกลับ
“แป้งเต็มใจค่ะ และดีใจที่ได้ช่วย”
พูดจบหญิงสาวก็เดินตามพยาบาลเข้าไปด้านใน เพื่อเตรียมการผสมเทียม
จอมทัพถูกนำเข้าไปยังห้องปฏิบัติการ เขามองอุปกรณ์ที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้แล้วพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนบอกตนเองว่าเพื่อปภาวดีและเพื่อครอบครัวของเขาเอง...
ขณะเดียวกันปภาพินท์ก็นั่งอยู่ในห้องเตรียมความพร้อม หญิงสาวกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงรัว ข้อปฏิบัติที่แพทย์บอกนั้นดังอยู่ในหัวของหล่อนวนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางปลอบใจตนเองว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยแป้ง ก็แค่...ขึ้นขาหยั่ง แล้วฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก ขึ้นขาหยั่ง แล้วฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก...
คนที่กำลังปลอบใจตัวเองขนกายลุกชัน รู้สึกอายหมอ รู้สึกกลัว แต่เมื่อคิดถึงแววตาเต็มไปด้วยความหวังของพี่สาว จึงสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วบอกตนเองว่า..
“ทำเพื่อพี่... แป้งจะทำเพื่อพี่ปูนค่ะ”
บอกตัวเองแบบนั้นแล้วจึงยิ้มได้ มีกำลังใจมากขึ้น ความกลัวลดลง... เวลาเดียวกัน คนที่รออยู่ด้านนอกอย่าง ปภาวดีก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้คนข้างใน หญิงสาวภาวนาให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี...
จนในที่สุดการผสมเทียมผ่านไปอย่างราบรื่น จอมทัพพาสองสาวกลับบ้านในช่วงบ่าย แต่ก่อนกลับ ปภาวดีบอกให้จอมทัพแวะซูเปอร์มาร์เก็ต หญิงสาวเลือกซื้อของบำรุงร่างกายให้ปภาพินท์หลายรายการ จนน้องสาวต้องทักท้วง
“พอแล้วค่ะพี่ปูน มากขนาดนี้แป้งจะกินไหวไหมคะ อีกอย่างแป้งไม่อยากอ้วนเป็นหมูด้วย” หญิงสาวโอดครวญ จึงถูกพี่สาวทำตาดุใส่
“ได้ที่ไหนกันแป้ง พี่ไม่อยากให้การผสมเทียมครั้งนี้ล้มเหลวนะจ๊ะ ความจริงพี่อยากให้แป้งออกจากงานด้วยซ้ำ เพราะพี่อยากดูแลแป้ง อยากเห็นเขาเติบโตทุกนาที” คนที่อยู่ในรถเข็นโดยมีสามีคอยดันให้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเป็นสุข ทำให้คนที่ท้วงในตอนแรกจำต้องหุบปากเงียบ
จอมทัพเห็นปภาพินท์เงียบไป จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่เอาน่าปูน แป้งกำลังสนุกกับงาน อีกอย่างงานก็ไม่ได้หนักนักใช่ไหมแป้ง”
ปภาพินท์รีบพยักหน้าทันที
“ใช่ค่ะ งานไม่หนักเท่าไร”
“แล้วถ้าท้องโต แป้งจะบอกเพื่อนว่ายังไง”
ปภาพินท์นิ่งอึ้ง ก่อนจะยิ้มให้พี่สาว
“ก็บอกตามตรงสิคะ ว่าแป้งท้องแทนพี่ปูน” พูดจบก็หัวเราะ ทำเอาคนเป็นพี่ค้อนขวับ ในขณะที่จอมทัพเพียงแค่ยิ้ม พลางคิดไปถึงอนาคต...
“เอาเถอะ พี่ตามใจแป้งแล้วกัน แต่อย่าโลดโผนมากนะ พี่เป็นห่วงทั้งตัวแป้งและก็ลูก”
ทั้งปภาพินท์และจอมทัพต่างลอบถอนหายใจ เพราะแค่นี้หญิงสาวยังคิดมาก หากต่อไปปภาพินท์ท้องโตไม่เข้มงวดกวดขันยิ่งกว่านี้อีกหรือ...
สามเดือนถัดมา ร่างกายของปภาพินท์อวบขึ้นเล็กน้อย รวมถึงหน้าท้องที่ไม่ได้ยื่นออกจากเดิมสักเท่าใด ในขณะที่สุขภาพครรภ์นั้นแข็งแรงดีมาก และทุกค่ำคืนก่อนนอน ปภาวดีจะต้องได้ลูบท้องและพูดคุยกับลูกน้อยเสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน...
“วันนี้จอมกลับดึกจังเลย” เสียงพี่สาวบ่นทันทีที่ ปภาพินท์เดินเข้ามาในห้องเพื่อให้อีกฝ่ายได้บอกราตรีสวัสดิ์ลูกน้อย
“เดี๋ยวก็คงกลับเองนั่นแหละค่ะพี่ปูน” หญิงสาวบอกพลางนั่งลงบนเตียงนอนของพี่สาว ฝ่ายนั้นเอื้อมมือมาลูบท้องของน้องเบาๆ พลางบอก
“ท้องสาวนี่มองไม่รู้เลยว่าท้อง พี่ตื่นเต้นจังเลยแป้ง อยากให้ถึงเวลาที่เขาดิ้น” คนพูดนัยน์ตาเป็นประกาย ทำให้น้องสาวอดยิ้มไม่ได้ ใช่เพียงปภาวดีเท่านั้นที่ตื่นเต้น หล่อนเองก็เช่นกัน เพราะไม่ทันได้มีสามี และไม่รู้ว่าเขามีกันอย่างไร ก็ต้องมาตั้งท้องเสียแล้ว คิดๆ ไปก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง...แล้วจอมทัพล่ะ เขาจะรู้สึกเช่นไรบ้าง
คิดถึงพี่เขยแล้วก็ให้นึกแปลกใจ เพราะในระยะหลังมานี้ จอมทัพเริ่มกลับบ้านดึก เขาไปส่งหล่อนเช่นเดิม ทว่าน้อยครั้งที่จะรับกลับที่สำคัญพูดเล่นกันน้อยลง สิ่งเหล่านี้ทำให้หล่อนรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้กังวลว่าเขากำลังมีปัญหาอะไรหรือไม่...
ปภาพินท์ตัดสินใจรอชายหนุ่มกลับบ้านเป็นครั้งแรก ทั้งที่ไม่เคยคิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา เพราะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ ทว่าเพราะเป็นห่วงทั้งเขาและพี่สาวจึงตัดสินใจรอถาม กระทั่งเกือบสี่ทุ่มครึ่ง เสียงรถยนต์ของจอมทัพจึงเคลื่อนเข้ามาจอด ไม่กี่นาทีให้หลัง ร่างสูงในชุดทำงานก็ก้าวเข้ามา แต่แล้วเขาต้องชะงักเมื่อพบว่าปภาพินท์ยังนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นแทนที่จะเข้าห้องพักผ่อนเหมือนทุกวัน
“ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะแป้ง” เขาเอ่ยถามและมองด้วยแววตาตำหนิ ปภาพินท์ขยับตัวนั่งตรง มองเขาด้วยสายตาที่ทำให้จอมทัพนิ่งงัน แววตาจับผิดแบบนั้น ปภาพินท์ไม่เคยมองเขา และหล่อนคงไม่รู้ตัวและลืมไปว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมองเขาด้วยสายตาแบบนั้น เพราะมันควรเป็นแววตาของภรรยาไม่ใช่น้องสาวภรรยา หัวใจของจอมทัพเต้นแรงก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวเมื่อหญิงสาวเอ่ยขึ้น
“แป้งมีเรื่องอยากคุยกับพี่จอมค่ะ ขอเวลาให้แป้งสักสิบห้านาทีจะได้ไหมคะ”
ชายหนุ่มสบตาน้องสาวภรรยาครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ายิ้มๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกก่อนหน้านี้
“ได้สิ แป้งมีอะไรหรือเปล่า” เขานั่งลงและพร้อมรับฟังหญิงสาว ปภาพินท์มองไปยังห้องนอนของพี่สาวแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“พี่จอมมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ พักนี้ดูเงียบๆ ขอโทษที่ถาม แต่แป้งเป็นห่วงพี่จอมนะคะ ถ้ามีอะไรที่แป้งพอจะช่วยได้ ก็บอกมาเลย”
จอมทัพนิ่งเงียบไปอีก เขาไม่รู้จะตอบหล่อนว่าอย่างไร
“อีกอย่าง พี่ปูนเริ่มบ่นแล้วว่าพี่จอมกลับดึก” บอกเขาพลางจ้องนัยน์ตาคมกริบของชายหนุ่มนิ่ง อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร
“คือ เธอไม่ได้บ่นอะไรหรอกนะคะ แต่เพราะเป็นห่วงพี่จอมน่ะค่ะ แล้วหลังๆ แป้งเองก็สังเกตว่าพี่จอมดูเครียดๆ อาจมีเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจใช่ไหมคะ หรือว่าลำบากใจเรื่องของแป้ง...”
จอมทัพสะดุ้งในใจ ก่อนจะรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกแป้ง คิดมากไปแล้วเรา” เขากลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะเบาๆ แต่ปภาพินท์กลับไม่เชื่อ
“พี่จอมไม่อยากมีลูกใช่ไหมคะ” หญิงสาวตัดสินใจถามตรงๆ อย่างที่หล่อนแอบคิด จึงทำให้คนที่คิดไปอีกเรื่องถึงกับตกใจ เพราะเขาไม่ได้คิดเช่นนั้นสักนิด ทว่าสิ่งที่เขาคิดมันต่างออกไปและไม่ควรจะเกิดขึ้นในความคิดของเขาเลยต่างหาก
“แป้งเข้าใจผิด พี่อาจจะดูเครียดไปสักหน่อยช่วงนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องไม่อยากมีลูกแน่ๆ พี่อยากมีและดีใจที่แป้งช่วยเหลือพี่กับปูน”
“แล้วทำไมพี่จอมถึงดูเหมือนมีปัญหาล่ะคะ”
จอมทัพไม่มีคำตอบที่ดีนัก แต่ก็พยายามทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้น
“ไม่มีอะไรจริงๆ เอาเป็นว่าต่อไปนี้พี่จะไม่ทำให้แป้งกับพี่สาวของแป้งต้องคิดมากอีกแล้ว แป้งไปนอนเถอะ พี่ก็จะเข้านอนเหมือนกัน”
ปภาพินท์รู้ว่าเขาพยายามเลี่ยงที่จะตอบ จึงหมดคำถาม และลุกขึ้นพร้อมเอ่ยลาเขาเบาๆ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าห้อง ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามจนลับสายตา