บทที่ 1 (1/3) : เกือบไปแล้ว (1)
หมู่บ้านหยางเซินเป็นหมู่บ้านแถบแนวชายแดนแคว้นตง ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดนแคว้นฉิน จึงทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มักจะได้รับผลกระทบจากการทำศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากการทำศึกระหว่างสองแคว้นครั้งล่าสุด ที่ได้แผนล่อข้าศึกให้จนมุมของคุณชายรองจิน ทำให้แคว้นฉิน...ที่พ่ายแพ้จากการทำศึกสงครามในครั้งนั้น ได้รับผลกระทบมากกว่าในทุกครั้งที่ผ่านมา จึงส่งผลให้แคว้นฉินยังไม่กล้ากลับเข้ามารุกรานแคว้นตง มาจนถึงทุกวันนี้...
จินเฟยหลงแม่ทัพใหญ่แคว้นตงหรือคุณชายรองจิน ด้วยความพยายามและความสามารถที่เขามี จึงทำให้เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งนี้มาจากผู้เป็นบิดาด้วยวัยเพียงแค่สิบแปดหนาว และก็เพราะการขึ้นรับตำแหน่งด้วยวัยเพียงเท่านี้ จึงทำให้เขาต้องคอยแบกรับทั้งแรงกดดัน และความคาดหวังจากผู้คนรอบข้าง ซึ่งตอนนี้ก็ได้ผ่านล่วงเลยมาแล้วถึงสองปี
และในยามนี้บิดาของเขาก็ยังต้องการให้เขาขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจินต่อจากอีกฝ่ายแล้วด้วย และก็ด้วยเพราะคำว่า ‘ผู้นำตระกูลในภายภาคหน้า’ ของผู้เป็นบิดาที่เคยบอกกับจินเฟยหลงไว้ตั้งแต่ในวัยเยาว์ มันได้ทำให้เขาต้องคอยยึดถือและต้องคอยปฏิบัติตัวตาม ‘หน้าที่’ ให้สมกับสิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัวเขาเรื่อยมา
จวนแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวงตอนนี้ มีเพียงครอบครัวสายหลักของตระกูลจิน นั่นก็คือครอบครัวของจินเฟยหลงอาศัยอยู่ในจวนเพียงเท่านั้น และส่วนใหญ่ทุกคนในครอบครัวก็มักจะพากันเดินทางไปพักอยู่ที่เรือนพักรับรอง ในค่ายทหารแถบแนวชายแดนซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านหยางเซิน เหตุด้วยเพราะคุณชายใหญ่จินเฟยเทียนหลังจากเข้าพิธีมงคลสมรส เจ้าตัวได้มาสร้างโรงหมออยู่กับคนรักในหมู่บ้านแห่งนี้ จึงทำให้ทั้งผู้เป็นบิดา น้องสาวของเขาหรือแม้แต่ตัวจินเฟยหลงเอง หากมีเวลาว่างก็มักจะพาตนเองมาอยู่ใกล้กับผู้เป็นพี่ชายที่นี่
จินเฟยหลงที่ได้เดินทางเข้ามาตรวจงานในค่ายทหารแถวหมู่บ้านหยางเซิน หลังจากที่ตัวเขาจัดการงานในค่ายเสร็จแล้ว วันนี้เขาจึงตั้งใจจะเข้าไปหาผู้เป็นพี่ชาย แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงหน้าโรงหมอ เขาก็เจอกับเจียงเสียนเดินออกมาจากที่นั่นด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะผิดหวัง
“ท่านแม่ทัพมาหาคุณชายใหญ่จินกับอาหยางหรือขอรับ?” เจียนเสียนเอ่ยทักจินเฟยหลง
“ใช่ขอรับ ท่านลุงเจียงเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” จินเฟยหลงเอ่ยถามเพราะเขาสงสัยในท่าทางแปลก ๆ ของอีกฝ่าย
“เอ่อ...พอดีข้าน้อยตั้งใจเข้ามารับยากับอาหยางน่ะขอรับ แต่อาเล่อบอกว่าวันนี้โรงหมอปิดแล้ว และตอนนี้อาหยางก็ได้พาคุณชายใหญ่จินกลับไปพักที่เรือนแล้วขอรับ” เจียนเสียนพูดจบก็เห็นอีกฝ่ายยังคงมองมาที่เขาอยู่ ก็คงจะด้วยเพราะความที่เรือนของเขาอยู่ติดกับเรือนของหยางหมิงเซียน ดังนั้นการที่เขาเดินทางเข้ามารับยาถึงที่นี่จึงทำให้อีกฝ่ายสงสัยในการกระทำของเขาเป็นแน่
“คือข้าน้อยแอบให้อาหยางช่วยปรุงยาเพิ่มความกำหนัดให้น่ะขอรับ แต่ข้าน้อยไม่ได้คิดจะเอาไปทำเรื่องไม่ดีนะขอรับ พอดีข้าน้อยกับฮูหยินอยากจะมีบุตรเพิ่มกันอีกสักคนสองคน แต่เพราะข้าน้อยอายุมากแล้ว มันก็เลย...เออ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่วงเช้าข้าน้อยค่อยแวะเข้ามาหาอาหยางใหม่อีกครั้งน่าจะดีกว่าขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเลยนะขอรับ” เจียนเสียนรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกกระดากอาย เขาจึงรีบเอ่ยลาคนตรงหน้าทันที
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินแยกกลับไปยังเรือนพักของตนเองในค่ายทหาร
แล้วเมื่อจินเฟยหลงเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินตรงไปยังเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอน จากนั้นเขาก็หลับตาของตนเองลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับคิดไปถึงชื่อยาที่ได้ยินมาจากเจียนเสียนเมื่อครู่
‘ยากำหนัดอย่างนั้นหรือ...หึ!’
ย้อนกลับไปในช่วงหลังจากจบศึกครั้งล่าสุดระหว่างแคว้นตงกับแคว้นฉิน...
ยามนั้นจินเฟยหลงอยู่ในวัยสิบห้าย่างสิบหกหนาว แต่ด้วยฝีมือการสู้รบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นบิดา จึงทำให้เขาจะได้รับพระราชทานแต่งตั้งขึ้นเป็นรองแม่ทัพฝ่ายยุทธการทันที เมื่อเขาเดินทางกลับเข้าไปถึงเมืองหลวง
ซึ่งขบวนทัพของท่านแม่ทัพใหญ่จินเฟยหมิง ได้เดินทางกลับมาถึงเร็วกว่ากำหนดที่เจ้าตัวได้แจ้งไว้กับผู้คนในเมืองหลวง จินเฟยหมิงจึงต้องจัดหาที่พักนอกเมือง เพื่อที่จะได้เคลื่อนขบวนทัพได้ตามกำหนดเดิม แล้วเมื่อจินเฟยหลงได้รับรู้ถึงการตัดสินใจของผู้เป็นบิดา เขาจึงขอแยกตัวออกมาจากขบวน เพื่อกลับเข้าไปนอนพักที่สำนักศึกษาหลวงทันที เพราะเขาไม่อยากอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดาเพิ่มอีกหนึ่งวัน
“เฟยหลงเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” เหรินเหยียนชิงเดินออกมาจากห้องพักก็เจอเข้ากับสหายร่วมเรือนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบครึ่งปี กำลังเดินกลับเข้ามายังเรือนพักของพวกเขา
“อืม” จินเฟยหลงตอบกลับคนตรงหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องพักของตนเอง
สำนักศึกษาหลวงแห่งนี้มีเรือนพักภายในให้สำหรับผู้เข้าศึกษา ที่มีจวนหรือมีเรือนอยู่ไกลจากสำนักศึกษาสามารถทำเรื่องขอเข้าพักได้ แต่ด้วยเพราะจำนวนเรือนที่มีไม่มากนัก หนึ่งเรือนพักจึงจะต้องมีผู้พักอาศัยอยู่ร่วมกันเรือนละสองถึงสี่คน และเรือนที่จินเฟยหลงได้เข้าพักอาศัยอยู่นั้นเป็นเรือนที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้เขามีผู้ร่วมอาศัยอยู่เพียงแค่หนึ่งคน และคนผู้นั้นก็ยังเป็นสหายสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเขาด้วย
“ข้าก็นึกว่าหลังจากจบศึก เจ้าจะกลับไปอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเสียอีก แล้วนี่...” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสหายของเขาปกติก็ไม่ค่อยจะกลับจวนอยู่แล้ว เขาจึงรีบเงียบปากของตนเองลง
จินเฟยหลงที่กำลังก้มลงไปเก็บสัมภาระของตนเอง จึงทำเพียงแค่รับฟังสิ่งที่สหายพูดแบบผ่าน ๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และก็ด้วยเพราะยามที่เขาเข้ามาพักอยู่ในสำนักศึกษาหลวง เขาไม่ได้ให้บ่าวคนสนิทตามเข้ามาคอยดูแลเขาที่นี่ ดังนั้นเรื่องทุกอย่างเขาจะต้องเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง
แล้วหลังจากที่เขาจัดเก็บสัมภาระเสร็จ เขาก็เริ่มจัดเตรียมของที่จะใช้สำหรับการไปอาบน้ำต่อ...
“อย่างนั้นข้าไม่กวนเจ้าล่ะดีกว่า เจ้าจะได้รีบไปจัดการดูแลตัวเองแล้วกลับมาพักผ่อน แต่เย็นนี้เจ้าจะไปรับสำรับกับพวกข้าหรือไม่? พอดีข้ามีนัดกับอาเจี้ยนและอาจางไว้ว่าจะไปรับสำรับด้วยกันที่โรงเตี๊ยม”
“อืม”
“ได้ เช่นนั้นเดี๋ยวข้า...เฮ้อ! เฟยหลงเจ้าก็เป็นแบบนี้ทุกที ข้ายังพูดไม่ทันจบเลยนะ”
จินเฟยหลงเมื่อจัดเตรียมของเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องพักทันที โดยไม่รอให้สหายร่วมเรือนพูดจบ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินที่อีกฝ่ายบ่นตามหลัง แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเดินกลับไปต่อว่าหรือโต้ตอบ เพราะเดี๋ยวคนพูดมากก็คงจะหยุดพูดไปเอง