“พวกเราพักค้างแรมกันที่นี่ดีหรือไม่?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยชวนสหายเพราะตอนนี้ได้เข้าต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17.00 – 18.59 น.) ดังนั้นพวกเขาควรต้องหยุดการเดินทาง เพื่อพักเอาแรงกันเสียก่อน และด้วยเพราะจิงเสี่ยวจางได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหล ซึ่งแสดงว่าไม่ไกลจากบริเวณนี้น่าจะมีลำธารหรือแม่น้ำ ดังนั้นพวกเขาควรหาที่พักแถวนี้
เหรินเหยียนชิงเมื่อได้ยินที่จิงเสี่ยวจางถาม เขาจึงหันไปพยักหน้าตอบรับคำชวนของสหาย
เมื่อได้รับคำตอบจิงเสี่ยวจางก็ขี่ม้าไปยังบริเวณที่พวกเขาน่าจะพอใช้พักค้างแรมในคืนนี้ได้ จากนั้นเขาจึงลงมาจากหลังม้าเพื่อเข้าไปช่วยทุกคนจัดเตรียมที่พัก ก่อนจะขอแยกตัวเพื่อออกไปยังบริเวณที่เขาได้ยินเสียงน้ำไหลพร้อมกับเพ่ยฉีและจินเฟยหลงที่ตามออกไปด้วย เพื่อไปตรวจดูความปลอดภัยบริเวณโดยรอบให้กับทุกคน
“เหยียนชิงหลังต้นไม้ใหญ่ตรงนั้นมีลำธารด้วยนะ เจ้าไปล้างหน้าสักหน่อยดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะช่วยเตรียมของต่อให้เอง” จิงเสี่ยวจางบอกกับสหาย หลังจากที่เขากลับมาจากการเดินสำรวจ
“ได้ขอบใจเจ้ามากนะอาจาง”
จากนั้นเหรินเหยียนชิงจึงเดินออกไปยังลำธารที่จิงเสี่ยวจางบอก
“พี่เหยียนชิงข้า...” เพ่ยหยีรีบพูดขึ้น เมื่อเห็นเหรินเหยียนชิงกำลังจะเดินออกไป แต่เด็กสาวก็ถูกหยงหมินเอ่ยขัดคำพูดของนางขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหนูเพ่ยหยีขอรับ เสบียงที่เตรียมมาอยู่ตรงไหนหรือขอรับ?” เมื่อหยงหมินเห็นสัญญาณที่ผู้เป็นนายส่งมา เขาจึงรีบเอ่ยรั้งเด็กสาวเอาไว้ทันที
เพ่ยหยีที่ถูกเรียกตัวเอาไว้นางจึงต้องหันกลับมาช่วยหยงหมินจัดเตรียมเสบียงและที่พักต่อ
จินเฟยหลงแอบเดินตามเหรินเหยียนชิงมาที่ลำธาร เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว เขาจึงก้าวออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะเอ่ยทัก
“เหยียนชิง”
“ท่านแม่ทัพใหญ่” เหรินเหยียนชิงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเมื่อหันกลับไปแล้ว เห็นว่าใคร...เป็นผู้เรียกชื่อเขา
“เหตุใดเจ้าถึงเรียกข้าแบบนี้ เจ้าเรียกข้าแบบเดิมได้นะ” จินเฟยหลงรู้สึกปวดใจและแปลกใจกับคำเรียกขานที่ห่างเหินจากคนตรงหน้า
“ไม่ดีกว่าขอรับ ข้าขอเรียกแบบนี้น่าจะสะดวกใจกว่า” เหรินเหยียนชิงเอ่ยปฏิเสธทันที เพราะเขาไม่อยากกลับไปเป็นสหายกับจินเฟยหลงอีก
“แต่ข้าไม่เคยถือยศกับเจ้า เราเป็นสหายกันเรียกชื่อข้าแบบเดิมเถิด ข้าไม่ถือ” จินเฟยหลงก็ไม่คิดจะยอมแพ้ เพราะเขาอยากกลับไปพูดคุยกับคนตรงหน้าได้เหมือนเดิม
“ข้าขอเป็นเพียงแค่อดีตสหายของท่านน่าจะดีกว่านะขอรับ เพราะข้าคงไม่บังอาจกลับไปเป็นสหายกับท่านหรอกขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่”
“แต่สำหรับข้าเจ้ายังเป็น...”
“ท่านแม่ทัพเรียกข้าต้องการจะสอบถามหรือมีอะไรจะให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ? เพราะถ้าหากไม่มีข้าขอตัวเลยนะขอรับ” เหรินเหยียนชิงเอ่ยตัดบททันทีเพราะไม่อยากยืดเยื้อ ยามนี้เขาอยากรู้ว่าจินเฟยหลงต้องการอะไรจากเขา
“ข้า...”
“เหยียนชิง อ้าว...เฟยหลงเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” จิงเสี่ยวจางเดินออกมาตามเหรินเหยียนชิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายออกมานาน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเจอจินเฟยหลงมาอยู่ที่นี่กับเหรินเหยียนชิงด้วย
“ท่านแม่ทัพมาล้างหน้าน่ะ อาจางเจ้ามาตามข้าหรือ?”
“อืม...ข้าเห็นเจ้าหายออกมานาน” จิงเสี่ยวจางตอบกลับคำพูดของเหรินเหยียนชิงไปพร้อมกับความรู้สึกแปลกใจกับคำเรียกขานจินเฟยหลงของสหายตรงหน้า
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ” พูดจบ เหรินเหยียนชิงก็เดินเข้าไปจับชายเสื้อคลุมของจิงเสี่ยวจาง เพื่อให้อีกฝ่ายเดินตามเขากลับไปหาคนอื่น ๆ
จิงเสี่ยวจางยอมเดินตามแรงดึงของเหรินเหยียนชิง แม้เขาจะยังติดใจกับการกระทำยามนี้ของอีกฝ่าย
‘เหยียนชิงที่เป็นแบบนี้...มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วเจ้ายังจะต้องการอะไรอีกเฟยหลง!’ จินเฟยหลงถามตัวเองในใจขณะยืนมองคนทั้งสองเดินห่างออกไปจากเขาเรื่อย ๆ
จินเฟยหลงเมื่อเห็นสหายทั้งสองคนของเขาเดินห่างออกไปจนลับสายตาแล้ว เขาจึงลงไปนั่งข้างลำธาร แล้วมองไปยังสายน้ำที่กำลังไหลตามกระแส จากนั้นเขาจึงนึกย้อนไปถึงงานเลี้ยงฉลองการเรียนจบจากสำนักศึกษาหลวงของพวกเขาทั้งสี่คน...
งานเลี้ยงฉลองการเรียนจบจากสำนักศึกษาหลวงถูกจัดขึ้นในวันสอบวันสุดท้ายของพวกระดับสูงก่อนที่ทุกคนจะต้องแยกย้ายกันในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ก็จะมีเพียงจินเฟยหลงเท่านั้นที่ในเช้าวันถัดไปยังจะต้องไปตามสอบอีกหนึ่งวิชา เนื่องจากคนอื่น ๆ ได้สอบวิชานี้กันหมดแล้วในช่วงที่เขาไปออกรบ
ในวันนั้นหลังจากที่จินเฟยหลงสอบเสร็จเขาก็ต้องออกไปฝึกวรยุทธและศึกษาเรื่องกลศึกที่จวนของตนเองต่อ แล้วเมื่อฝึกเสร็จเขาก็ยังต้องออกไปรับสำรับเย็นร่วมกับครอบครัวของหนิงฮุ่ยหลิงที่โรงเตี๊ยมตามความต้องการของผู้เป็นบิดา
กว่าที่จินเฟยหลงจะได้กลับเข้ามาร่วมงานเลี้ยงฉลองกับพวกสหายของเขา ก็ได้ผ่านล่วงเลยเข้าสู่ช่วงค่ำของวันแล้ว
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ