น่านฟ้านอนพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนขนาดใหญ่ เปลือกตาบางพยายามข่มตาให้หลับแต่ทว่ายิ่งพยายามมันกลับยิ่งนอนไม่หลับและเหมือนกับว่า ตอนนี้เธอตาสว่างเสียอย่างงั้น จนน่านฟ้าต้องเปลี่ยนจากนอนกลิ้งไปมาบนที่นอน เปิดประตูออกจากห้องนอนแล้ว เดินไปข้างล่าง หานมมาอุ่นให้ร้อนๆแล้วดื่ม เผื่อจะช่วยได้บ้าง
น่านฟ้าเธอใช้ไฟจากโทรศัพท์มือถือเพื่อเพิ่มความสว่างจากโคมไฟดวงน้อยๆที่ติดเอาไว้ตามระหว่างทางเดิน
"จะหรูไปไหนเนี่ย อยู่ก็อยู่คนเดียว..." ถึงแม้เธอจะพูดบ่นออกไปแบบนั้น แต่ภายในใจของเธอกลับคิดว่า มันน่าอยู่มากๆ เธออยากจะมีบ้านมีห้องสวยๆแบบนี้และเธอก็คาดหวังหรือเกินว่า ความฝันของเธอจะเป็นจริงรวมถึงอาชีพของเธอ เธออยากเป็นดีไซเนอร์ เป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก
ภาพจำของน่านฟ้าก็คือ เธอถูกปลูกฝังมากับภาพที่แม่ของเธอตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับเธอกับพ่อและรวมไปถึงตากับยายที่อยู่เมืองบอร์กโดซ์ ชุดที่เธอใส่ไปทำงาน และชุดอยู่บ้านบางชุด บางตัว ล้วนแต่เป็นชุดที่แม่ของเธอตัดใส่เองแต่แม่กลับไม่ใส่ เพราะอุบัติเหตุที่พรากชีวิตของแม่เธอไปตั้งแต่เธออยู่ชั้นประถมปีหก
ตั้งแต่น่านฟ้าจำความได้ แซลลี่แม่ของเธอที่ชื่นชอบการตัดเย็บเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ออกจากบ้านก็เพื่อไปเดินเลือกซื้อผ้าเมตรสวยๆ หลายลวดลายและหลากสีรวมไปถึงอุปกรณ์การตัดเย็บ ต่อให้มีคนช่วยถืออีกกี่คนบอกได้เลยว่าเต็มไม้เต็มมือกันทุกคน เมื่อนึกถึงก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เพราะพ่อของเธอหิ้วถุงกระดาษออกจากร้านมาไม่หมดทำให้พ่อต้องเดินย้อนกลับไปเอา พอนึกถึงตรงจุดนี้ยิ่งขำพ่อของเธอเข้าไปใหญ่ เพราะพ่อจำไม่ได้ว่าแม่ซื้อร้านไหนเพราะแม่เล่นเข้าออกร้านผ้าเป็นว่าเล่น แล้วตอนสุดท้ายเป็นแม่ต้องออกตามหาพ่อ เพราะจนมืดค่ำพ่อก็ไม่ยอมกลับมาบ้านเสียที ปรากฏว่าไม่มีร้านไหนบอกว่ามีถุงผ้าวางเอาไว้อยู่เลยสักร้าน พ่อคงจะกลัวว่าแม่จะโกรธเลยยังไม่กล้าเข้าบ้านในตอนนั้น
"ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อจะเป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นโทรมาหาเสียที" น่านฟ้าคิดในใจว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่พ่อเธอจะไปหาตากับยาย ขนาดแม่ชวนไปเที่ยวพ่อก็ยังไม่ไปเลย น่านฟ้าถอนหายใจออกมาแรงๆก่อนจะพูดออกมา
"โกหกลูกอีกแล้ว"
สองเท้าใหญ่ที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลมากนักจากจุดที่น่านฟ้ายืนอยู่ เขาได้ยินประโยคที่เธอพูดถึงพ่อ ที่ว่าไม่โทรมาหาเธอเสียทีรวมไปถึงประโยคหลัง นั่นทำให้เขาคิดว่า พ่อของน่านฟ้าคงจะโกหกจนติดเป็นนิสัยไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น
น้ำป่าเดินออกจากห้องนอนพร้อมกับชุดสูทสีเข้มทรงผมที่เนี้ยบทำให้วันนี้เขาดูหล่อกว่าทุกวัน เพราะอเลสซิโอยังเอ่ยปากชมคนเป็นเจ้านายด้วยน้ำเสียงที่สดใส
"วันนี้เจ้านายของผมดูหล่อจนผิดปกตินะครับ"
น้ำป่ามองอเลสซิโอผ่านกระจกที่ตัวเองยืนส่องอยู่ด้วยแววตาเรียบนิ่งแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป
"เธอตื่นหรือยัง..ไม่สิเธอออกมาจากห้องหรือยัง"
"ยังครับนาย"
น้ำป่าเดินนำออกจากห้อง สายตาคมอดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตูห้องที่อยู่ตรงกันข้าม พลางยกข้อมือที่มีนาฬิกาบอกเวลาว่า ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดนาฬิกา ยี่สิบนาที
"แต่งตัวเสร็จหรือยังนะ?"
"ให้ผมเรียกไหมครับนาย"
"ไม่เป็นไร เรายังมีเวลา"
อเลสซิโอเดินตามน้ำป่าไปเงียบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกใจบางอย่าง ว่านายของเขาเป็นคนใจเย็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เป็นเพราะวันนี้เธอต้องไปสถานที่ราชการทำให้เธอต้องแต่งตัวเรียบร้อยกว่าทุกวัน น่านฟ้าไม่ใช่คนสวยจนทำให้ใครต้องเหลียวหลังมอง แต่ตรงกันข้ามเธอเป็นคนที่มีเสน่ห์หากว่าได้พูดคุยกับเธอก็จะรู้ได้ในทันที
่น่านฟ้าเธอใส่เสื้อแขนตุ๊กตาคอกลมติดกระดุมสุดความยาวของเสื้อที่หายเข้าไปในกระโปรงทรงหางปลาบานยาวเลยเข่า เดินลงบันไดพร้อมกับมองชายหนุ่มที่กำลังเงยหน้ามองเธออยู่เช่นกัน และทันทีที่เธอเดินลงมาถึง น้ำป่าก็เดินออกไปทันทีโดยไม่รอหรือเรียกให้เธอตามมา ราวกับว่าให้เธอได้รู้เอง
ตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกันทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไร ต่างคนต่างมองออกไปที่ด้านนอกตัวรถท่ามกลางความอึดอัดทำให้น่านฟ้าหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์หาเจ้านายของเธอเรื่องงาน เป็นการพิมพ์ตอบโต้ที่นานสลับกับเสียงหัวเราะทำให้น้ำป่าหรี่ตามองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
"พิมพ์คุยอะไร กับใคร ทำไมต้องหัวเราะ" คำถามที่ยาว ทำให้น่านฟ้าถึงกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยก่อนจะถามออกไป
"ฉันคุยกับใครต้องบอกคุณ...เฮียป่าด้วยเหรอคะ"
"แทนตัวเองว่าอะไร ลืมหรือไง"
"ค่า ค่า น่านฟ้าคุยกับใครต้องบอกเฮียป่าด้วยเหรอคะ"
"...อยากคุยกับใครก็คุยไปเถอะ ฉันไม่ได้ว่าอะไร"
"แล้วทำไมเฮียป่าไม่แทนตัวเองว่าเฮียล่ะคะ"
"..."
อเลสซิโอกับยากุถึงกับระบายยิ้มออกมา นี่ไงคนที่ทำให้นายของเขากลับมาเป็นคนสดใส ยิ้มแย้มเหมือนคนเดิม ต้องเป็นคนนี้แน่ๆ
"คุยไปเถอะ เฮียไม่ได้ว่าอะไรแค่ถามเพราะสงสัยเฉยๆ"
"ขอบคุณนะคะ ที่ไม่ถามอะไรที่มันมากเกินไป"
ทุกอย่างทุกขั้นตอนทำเสร็จภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง น้ำป่ากับน่านฟ้าก็มีทะเบียนสมรสอยู่ในมือคนละแผ่นที่ถูกเคลือบเป็นอย่างดี ด้วยการบริการจากยากุที่บอกว่าให้เคลือบเอาไว้ดีที่สุดเพราะถ้าจะหย่ากันเดี๋ยวจะหาไม่เจอหรือไม่ก็ขาดชำรุดไปเสียก่อน สองคนที่เพิ่งจดทะเบียนกันเออออห่อหมก คล้อยตามกันไปอย่างงงๆ
น้ำป่าเสนอตัว ว่าเขาจะไปส่งเธอที่หน้าทำงาน เป็นเพราะทุกอย่างเสร็จเร็วทำให้เธอไม่ต้องลางานครึ่งวันแต่เปลี่ยนเป็นลากิจแค่สองชั่วโมง
"ตอนเย็นจะมารับ" เสียงที่แผ่วเบาออกมาจากน้ำป่าพอให้ได้ยินกันสองคน
"ไม่เป็นไรค่ะ น่านฟ้าไม่รบกวนเฮียป่าดีกว่า น่านฟ้ากลับเองได้ค่ะ แค่นี้สบายมาก" น่านฟ้ารีบลงจากรถแล้วปิดประตูทันที เพราะเธอก็กลัวว่าคนอื่นจะมาเห็น เธอไม่อยากพูดหรืออธิบายให้ใครฟังทั้งนั้น เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าอายยังไงล่ะ ไม่มีอะไรน่าอวดเสียหน่อย
"ออกรถ"
น้ำป่าก้มดูทะเบียนสมรสด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ส่วนอีกแผ่นเป็นรูปภาพที่มีเขากับน่านฟ้านั่งถือทะเบียนสมรสนั่งถ่ายรูปเคียงข้างกันใบหน้าที่ไม่มีอากัปกิริยาอะไรของทั้งสองคน ใครจะคิดกับอีแค่กลัวการจับคู่แต่งงานถึงกับทำให้เขากล้าที่จะจดทะเบียนสมรส กับผู้หญิงที่ไม่ใช่สเปคเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
โรงงานผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ RSA
"ไม่เห็นต้องรีบมาเลยน่านฟ้า งานไม่ได้ยุ่งอะไรเสียหน่อย" รสาเจ้าของโรงงานและแบรนด์เสื้อผ้าRSA พูดขึ้นเมื่อเห็นน่านฟ้าเดินเข้าห้องทำงานมา
"น่านก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกันค่ะพี่รสา" น่านฟ้าพูดพลางเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ววางกระเป๋าที่ด้านล่างของโต๊ะทำงาน
"คุณอองเดร์บอกพี่ว่า เราไม่รับสายของเขาเลย มีอะไรกันหรือเปล่า"
"เปล่าค่ะ ไม่...เออคือว่า" น่านฟ้าอ้ำอึ้งอยู่ครู่ เธอควรพูดออกไปดีไหม
"น่านฟ้า อย่าลืมสิ เราสองคนก็เหมือนพี่น้องกัน น่านฟ้าสามารถคุยกับพี่ได้ทุกเรื่อง ทุกอย่างนะ"
"น่านไม่ได้ชอบคุณอองเดร์ค่ะ น่านรู้ว่าคุณอองเดร์เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติน่านทุกอย่างแต่ น่านไม่ได้ชอบคุณอองเดร์ค่ะพี่รสา น่านควรทำยังไงดีค่ะ"
ทีแรกเธอกะว่าจะไม่เล่าเรื่องอะไรที่มันทำให้พี่รสาของเธอยุ่งยากหัวใจแต่การที่ได้บอกมันน่าจะเป็นการดีกว่าเธอจึงตัดสินใจพูดออกไป