BEATIFUL LIAR l บทนำ
บทนำ
ณ คอนโดหรูใจกลางเมืองที่ชั้นยี่สิบสี่...
ร่างสูงโปร่งกำลังนั่งดื่มเงียบ ๆ คนเดียวที่เคาน์เตอร์บาร์ภายในห้องแสนกว้างขวางของเขาเอง ‘หัสดินทร์’ คือชื่อจริงของเขา โดยส่วนมากแล้วผู้คนจะเรียกชื่อของเขาเพียงแค่พยางค์เดียวนั่นก็ ‘หัสด์’ แต่นั่นไม่ใช่ชื่อเล่นที่แท้จริงของเขาหรอก เสียงดนตรีคลาสิกที่หัสดินทร์เปิดทิ้งไว้ยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แล้วเขาเองก็ยกแก้วเหล้าแก้วที่เท่าไหร่ก็นับไม่ได้ขึ้นมากระดกดื่มต่อ
แม้จะดื่มไปมากเท่าไหร่... เหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ยังคอยตามหลอกตามหลอนเขาอยู่ร่ำไป อันที่จริง หัสดินทร์ไม่รู้ว่าเขาต้องรัก ‘เด็กนิสัยไม่ดี’ คนนั้นได้มากแค่ไหน... แต่เจ็บชะมัด ตอนที่รู้ว่าเด็กคนนั้นมีคนที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แถมพวกมันยังแสดงออกว่ารักกันมาก ขนาดที่ยอมตายแทนกันยังได้ แต่ที่แน่ ๆ หัสดินทร์คงต้องรักมากพอสมควรนั่นแหละ...
รักจนต้องยอมเป็นฝ่ายถอยออกมา...
Rrrrrrr…!
เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้คนที่กำลังคิดถึงอดีตตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันที่เจ็บปวดอีกครั้ง หน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อรุ่นน้องที่สนิทพอ ๆ กับเด็กนิสัยแย่คนนั้น หัสดินทร์ไม่คิดอะไรนอกจากเลื่อนปลายนิ้วรับสาย
“เออ ว่าไงไอ้นิค”
‘เฮ้ย! ไอ้พี่หัสด์ ได้ยินข่าวลือเรื่องไอ้แฝดเปล่าวะ!! ที่เขาพูดกันว่ามันโดนฆ่าตายอ่ะ!’
“ไม่นี่” หัสดินทร์โกหก... เรื่องของแฝดทามแทนเขาเห็นกับสองตาตัวเองเลยล่ะ ตอนที่มันโดนฆ่าตาย เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้วมันก็เป็นวันเดียวกันกับที่หัสดินทร์เจ็บหัวใจไปหมด
‘พี่! รู้อะไรเปล่าว่าผมนี่โคตรกลัวเลย ตอนมีชีวิตอยู่แม่งสองตัวยิ่งชอบแกล้งเราด้วย เออ! แล้วไอ้ทัพมันหายไปไหนของมันวะ พักหลังมานี่ไม่โผล่หัวมาหากันเลย!’
นิโคลัสยังคงเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องประจำตัวของไอ้เด็กตาสีน้ำข้าวนี่ล่ะ แต่ว่าชื่อของบุคคลที่อยู่ในบทสนทนามันทำให้หัสดินทร์สะอึกไปเลย เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วหยิบแก้วเหล้ามากระดกดื่มเข้าไปอีก
‘เฮ้! แล้วนี่พี่อยู่ไหนวะ คืนนี้มีปาร์ตี้ที่บ้านไอ้เวลล์ พี่จะมาแจมหน่อยไหม สาว ๆ ถามหาพี่นะ!’
“คงไม่ว่ะ...ฝากสนุกด้วยแล้วกัน” หัสดินทร์พูดแค่นั้นก่อนที่เขาจะเป็นคนวางสายเอง
เรื่องทั้งหมดที่มันทำให้เขาเป็นแบบนี้ เขาไม่คิดจะโทษว่ามันเป็นความผิดของใครหรอก... หัสดินทร์รู้ดีแก่ใจว่ากองทัพเองก็มีสิทธิ์จะเลือกอยู่กับคนที่เด็กคนนั้นรัก และเรียวมะ...ต่อให้ภายนอกคนอื่นจะมองเห็นว่ามันร้ายมากแค่ไหนแต่พอเป็นเรื่องของกองทัพเรียวมะก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเด็กนั่น
สิ่งเดียวที่ผิดก็คือหัสดินทร์ลืมไม่ได้ ทั้งความทรงจำที่อยู่ติดตัวมาเป็นสิบ ๆ ปี เขาไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร สำหรับหัสดินทร์แล้วกองทัพคือน้อง คือเพื่อน คือทุกอย่าง... เพียงแค่ตอนนี้ วินาทีนี้มันเหลือแค่เขากับลมหายใจที่แค่พ่นมันออกมาอย่างไร้ความรู้สึก สิ่งที่อยู่ในความคิดของหัสดินทร์ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ‘รอ’
แม้มันจะดูไม่มีความหวังเลยก็ตามเพราะสองคนนั้นคงไม่ยอมปล่อยมือกันง่าย ๆ แต่เขาก็คิดว่าเขาควรรอ...
แม้ความหวังจะเหลือน้อยเพียงใด เขาก็เลือกรอเพราะเขารักเด็กที่นิสัยไม่ดีคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลงสักวินาที...
วันต่อมา...
หัสดินทร์ถือกระเป๋าใบใหญ่หนึ่งใบออกมาจากห้องพักกับกุญแจรถคู่ใจในช่วงสาย ๆ ของวัน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปทำงานที่ต่างจังหวัดแทนเพื่อนในบริษัทการท่องเที่ยวที่เขาเองก็เป็นหุ้นส่วนในนั้นสักพัก เหตุผลก็เพราะว่าเขาไม่อยากอยู่กรุงเทพฯด้วย และอยากไปพักผ่อนที่ต่างหวัดด้วย คิดว่าหลาย ๆ อย่างมันคงดีขึ้น...
“อ้าว คุณหัสด์...จะไปไหนแต่เช้าคะ” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวสวยเอ่ยทักทายตามปกติเวลาที่เจอกัน หัสดินทร์ระบายยิ้มบาง ๆ ก่อนชูกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้น
“ไปสัตหีบสักอาทิตย์น่ะครับ ยังไงก็ฝากคุณรินดูแลห้องให้ด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
หัสดินทร์เดินออกมาจากทางเข้าคอนโด ยัดกระเป๋าใส่หลังรถแล้วก็เดินวนไปที่ฝั่งคนขับทันที เขาคำนวณเวลาในการเดินทางประมาณสองชั่วโมงนิด ๆ จากตอนนี้มันคงถึงชลบุรีไม่มืดเกินไป อีกอย่างเขายังไม่ได้จองโรงแรมที่พักด้วย ดังนั้นเขาเลยต้องรีบออกเดินทางตั้งแต่ตอนเช้าและบางทีรถติดก็กลายเป็นเรื่องชวนหงุดหงิดได้ไม่ยากแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ใจเย็นมากก็ตามเถอะ...!
ตอนบ่ายสาม... หัสดินทร์ก็ได้ที่พักเรียบร้อย เขาเลือกบ้านพักใกล้สถานที่ที่ต้องออกไปดูตอนทำงาน เป็นบ้านพักติดชายทะเลแล้วก็ดันตกแต่งสไตล์โมเดิร์นด้วย หัสดินทร์ชอบอะไรเรียบง่าย ยิ่งเงียบยิ่งดีสำหรับคนแบบเขา ระหว่างเช็คอินเสร็จสรรพเขาก็เข้ามาจัดของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย พลางคิดว่าตกเย็นกว่านี้อีกหน่อยเขาจะเดินออกไปดูด้านนอกสักพัก ได้ข่าวจากพนักงานของที่พักมาว่าวันนี้งานเทศกาลขายของเล็ก ๆ ที่ชายหาดตอนตะวันตกดิน เขาเองก็ออกไปเดินดูสิ่งต่าง ๆ ดีกว่าต้องมานั่งในห้องแล้วเอาแต่คิดเรื่องกองทัพ...
ในช่วงตกเย็น...
เด็กผู้ชายผมสั้นวิ่งออกจากไร่ฟาร์มขนาดใหญ่มาที่หน้าบ้านหลังใหญ่กว่าใคร สักพักก็เห็นลุงสมหมายที่เปรียบเสมือนพ่อและผู้ปกครองเดินตามมาพร้อมกับวางตระกร้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน
‘พฤกษา’ หรือ ‘ต้นไม้’ เป็นเด็กร่าเริงมากถึงขั้นมากที่สุด ต้นไม้เกิดที่ต่างเมืองซึ่งเป็นชนบท ตั้งแต่จำความได้ก็อยู่กับลุงที่นี่และรักไร่ฟาร์มมากราวกับว่ามันคือบ้านแท้ ๆ ของตนเอง เรียวมะคือลูกชายของพ่อเลี้ยง ต้นไม้เองก็รักเรียวมะด้วยเพราะเขาคือคนที่มีพระคุณ ตอนนี้นายเหนือหัวเรียวมะอยู่ที่บ้านใหญ่ในเมือง เมื่อสองสามเดือนก่อนต้นไม้เคยไปช่วยงานบ้านที่นั่นแถมยังสนิทกับแม่บุญหัวแล้วด้วย เด็กตัวเล็ก ๆ ยิ้มจนตาเป็นสระอิตอนที่เห็นแม่บ้านอาวุโสเดินนวยนาดมาที่หน้าประตูบ้าน
“แม่อิงอร! แม่อิงอรรู้ไหมจ๊ะว่าวันนี้วันอะไร แหะ ๆ” หลานลุงสมหมายเอ่ยถามพร้อมกับวิ่งไปจับมือทั้งสองข้างของหญิงวัยชราดด้วยความตื่นเต้นสุดตัว ยิ้มจนแก้มบุ๋มแล้วบุ๋มอีก แม่อิงอรที่ว่าก็ยังไม่ตอบคำถามสักที...!
“งั้น ๆ ๆ ข้าถามใหม่ แม่อิงอรว่าวันนี้ข้าแปลกไปไหมจ๊ะ...แบบ ๆ ๆ ข้าสูงขึ้นมาอีกนิดไหมเอ่ย?” พูดอีก แล้วยิ้มกริ่ม ยกฝ่ามือขึ้นมาปัดไปปัดมาเหนือเส้นผมตัวเอง ต้นไม้ทำอยู่แบบนั้นซ้ำ ๆ จนกระทั่ง
เพี๊ยะ!
“เล่นอะไรของเอ็ง ไอ้เด็กคนนี้นี่ แม่อรแกเวียนหัวแล้วเห็นไหมนั่น...” ลุงที่เคารพรักเดินมาฟาดกลางหลังเต็ม ๆ มือ ต้นไม้กระโดดโหยงเหยงไปมาเหมือนจิงโจ้พลางทำสีหน้าเจ็บปวดเจียนตายออกมาให้ดูน่ามันเขี้ยวอีก แต่เด็กคนนั้นก็ยังไม่หยุดความตั้งใจตั้งแต่แรก ต้นไม้ยิ้มแบบที่คิดว่ามีเลศนัยที่สุดแล้วในชีวิตใส่ลุงสมหมายจนจะโดนฝ่ามืออรหันต์อีกรอบถึงได้วิ่งไปหลบหลังแม่บ้านอิงอรแล้วใช้ยื่นหน้าออกมาแก้มเบียดกับต้นแขนนิ่ม ๆ ของเธอ
"ข้าเฉลยก็ได้...วันนี้คือวันที่ข้าอายุสิบแปดปีไงจ๊ะ”
“แล้วมันยังไงกันล่ะ ไอ้ไม้...เอ็งอ้อนข้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะขอจีบหลานสาวข้า!” แม่บ้านอิงอรหันมาถามสีหน้าจริงจังแต่แววตาก็เปล่งประกายเสียไม่มี ในที่สุดหลานสาวคนเดียวก็จะขายออกแล้วโว้ย...!
“โหย... ถ้าข้าได้ส้มจี๊ดเป็นเมีย ข้าขอไปเป็นเมียคนอื่นแทนแล้วกันแม่!”
“อ๊าย! หยาบคายไอ้ไม้ ยายจี๊ดมันไม่สวยตรงไหนฮึ? งานบ้านงานเรือนรึมันก็เก่ง เลี้ยงเอ็งได้สบายทั้งชาติ!”
“แล้วข้าไม่สวยตรงไหน งานบ้านข้าก็ทำเก่งกว่าส้มจี๊ด...ข้าทำกับข้าวได้อีกต่างหาก ข้าซักผ้าเองเป็น…อีกอย่างนะจ๊ะแม่อิงอร ถ้าอย่างส้มจี๊ดสวยงั้นไอ้ไม้คนนี้ก็โคตรสวยเลย!” ต้นไม้พูดเสียงใสแล้วสะบัดเส้นผมที่ไม่ได้ยาวอะไรเลยไปมาอยู่อย่างนั้น สะดีดสะดิ้งจนลุงสมหมายทนไม่ไหวเดินมาเคาะกะโหลกเล็ก ๆ นั่นให้หยุดเพ้อเจ้อเสียบ้าง
“มากขึ้นแต่อายุ สมองเท่าเดิมเลยนะมึง”
“แฮร่... ลุงจ๋าข้าล้อเล่น คือว่าแบบนี้นะจ๊ะแม่อิงอร ลุงหมาย วันนี้ที่ริมหาดตะวันรอนมันมีตลาดนัด!” เด็กที่เพิ่งอายุบรรลุนิติภาวะโพล่งขึ้นมาอย่างตื่นเต้นสุด ๆ ปกติถ้าต้นไม้ทำงานในไร่เสร็จแล้ว ลุงจะอนุญาตให้ออกไปเดินในตลาดหรือแถว ๆ นี้ได้ แต่วันนี้แค่จะขอออกไปไกลกว่าฟาร์มอีกสักนิด
“บ้านแม่เอ็งสิเปิดตลาดนัดที่ชาดหาด ไม่ต้องมาโกหกข้าเลย!” พูดจบก็โดนดีดหน้าผากอีกครั้งจนต้องร้องแล้วลูบหน้าผากปอย ๆ ต้นไม้ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร ถ้ามีขายของกินก็เรียกตลาดนัดนั่นแหละ!
“โอ๊ย ลุง! ข้าไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรนี่จ๊ะ... รู้แค่ว่ามันจะมีคนมาร้องรำทำเพลงที่นั่นแล้วขายหมูปิ้งด้วยจ้ะ! แต่เดี๋ยวก่อนน้า... มันไม่ใช่หมูปิ้งธรรมดา มันคือ หมู! ปิ้ง! ที่! มี! พริกกับสัปปะรด!! แท่นแท้น…!”
เพี๊ยะ!!!
“โอ๊ย! เจ็บ ๆ ๆ” ต้นไม้ก้มหน้าหลบฝ่ามือทั้งลุงสมหมายและแม่บ้านอิงอรพัลวัน ก่อนจะโดนดึงใบหูจนแดงไปหมดแล้วคนอาวุโสทั้งคู่ก็พูดขึ้นมาพร้อม ๆ กันด้วยความหงุดหงิดในใจลึก ๆ มากมายกับเด็กซื่อบื้อคนนี้!
“เขาเรียกว่าบาร์บีคิว!!!”