02

2726 Words
“อาจู ข้าอยากกินขนม เอาผ้าไปเก็บที่รถม้า ข้าจะเดินออกไปซื้อขนม เดี๋ยวข้ากลับมา” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะถือถุงเงินออกไปเดิน ทิ้งให้อาจูได้แต่ยืนงงยังไม่ทันห้ามปราม ความจริงที่นางเดินออกมาเพียงเพราะนางอยากเดินเล่นอย่างเงียบสงบเท่านั้น ในชีวิตก่อนนางไม่เคยเห็นวิถีชีวิตชาวบ้าน คนทั่วไปเลยสักครั้ง นางอยากรู้ว่าเขาซื้อหาอะไรกัน กินอะไรกัน เพราะนางมักดูถูกผู้อื่น ชีวิตของนางเลยไม่อิสระเฉกเช่นผู้อื่น “เถ้าแก่ขนมชิ้นนี้คืออะไร ขายอย่างไรเจ้าคะ” หลี่อี้เหยาถามพลางมองแป้งที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนจี่บนกระทะร้อน เถ้าแก่เงยหน้ามองเห็นเป็นคุณหนูน้อยวัยเยาว์ที่ปิดบังครึ่งใบหน้า แม้จะปิดบังไปมากแล้วก็ยังเห็นดวงตากลมโตที่ฉายประกายความงาม “แม่นางน้อย นี่คือขนมเซาปิ่ง ชิ้นละห้าอีแปะเท่านั้น มีไส้เผือก มีไส้ถั่วกวน” “เช่นนั้นเอาอย่างละชิ้นเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยายิ้มก่อนจะหยิบพวงเงินออกมานับให้เถ้าแก่ เมื่อรับขนมเซาปิ่งมาแล้ว นางก็เดินไปหาที่หลบมุมก่อนจะดึงผ้าที่ปิดหน้าออกมา ในความเป็นจริงนางก็เป็นเพียงคุณหนูกำพร้า เป็นตัวตลกของคนในเมือง นางไม่จำเป็นต้องวางท่าสูงส่งให้ผู้อื่นเหยียดหยามก็ได้ หลี่อี้เหยายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อนางได้ทำในสิ่งที่ชีวิตก่อนไม่เคยได้ทำ ริมฝีปากกระจับเล็กของนางอ้าออกพร้อมกับงับขนมเซาปิ่งที่นางไม่เคยได้กินมาก่อน แป้งหอมทอดจนมีความร้อน ส่งกลิ่นหอม รสชาติหวานกำลังดีของไส้ ผลั่กกก… ทันใดนั้นก็มีร่างของเด็กสาวตัวน้อยหน้าตามอมแมมวิ่งมาชนหลี่อี้เหยา ทั้งที่ถนนหนทางมีตั้งมากมาย นางเองก็มาหลบอยู่ตรงนี้ แต่เหตุใดเด็กสาวตัวน้อยที่วัยไม่น่าจะเกินเจ็ดขวบถึงได้วิ่งมาชนนางได้กัน “ขอโทษเจ้าค่ะ” เด็กคนนั้นกล่าวก่อนจะวิ่งจากไป หลี่อี้เหยายังได้แต่ยืนงง ก่อนจะมีหญิงสาวชาวบ้านนางหนึ่งตะโกนบอกด้วยความเห็นใจในแม่นางน้อยคนงาม “แม่นางน้อยคนงาม เจ้าเด็กนั่นมันเป็นขโมย มันเอาถุงเงินเจ้าไปแล้ว” เมื่อสิ้นเสียงหลี่อี้เหยาก็ได้แต่จับที่เอวของนางก่อนจะถอนหายใจที่เสียเงินไปแล้ว แต่ทว่า… นางใส่กำไลหยกที่ท่านแม่ให้ไว้ข้างในนั้น ของที่ท่านแม่ให้ในวันเกิดของนาง สำคัญเป็นอย่างยิ่ง หลี่อี้เหยารีบเก็บขนมใส่ห่อก่อนจะวิ่งตามเด็กคนนั้น นางไม่เคยต้องวิ่งเร็วมาก่อน ทำให้นางเกือบจะล้มลงไปกับพื้น “อ๊ะ” นางร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะมีใครบางคนเข้ามารับตัวนางไว้ได้ทัน หลี่อี้เหยาลืมตามองก็พบว่านางอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษคนหนึ่งที่นางไม่เคยพบ จึงได้รีบผละกายออกก่อนจะก้มศีรษะขออภัย “ข้าน้อยขออภัยที่ล่วงเกินคุณชายเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะเงยหน้าก็พบว่าเด็กน้อยคนนั้นกำลังยืนหน้าซีดถูกคนของทางการล้อมไว้หลายคน พวกเขาสวมชุดเฟยอวี่ ถือดาบซิ่วชุน นั่นย่อมเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มองครักษ์เสื้อแพร หลี่อี้เหยาหันมามองบุรุษที่รับร่างนางเมื่อสักครู่ เขาสวมใส่ชุดโตว่หนิงถือเป็นชุดขุนนางระดับสูงขององครักษ์เสื้อแพร เช่นนั้นเมื่อครู่เท่ากับนางล่วงเกินเขาแล้ว “แม่นางนี่ถุงเงินของเจ้า” “ขอบพระคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ แล้วเอ่อ… ท่านจะทำอย่างไรกับเด็กน้อยผู้นี้เจ้าคะ” “คงต้องจับส่งทางการ” “นางยังเด็กอยู่เลยนะเจ้าคะ ถ้าข้าไม่เอาระ.." “ไม่ได้ นางทำเช่นนี้มาแล้วหลายหน เพราะนางเป็นเด็กผู้คนจึงมักจะให้อภัย เจ้าให้อภัยนางก็เท่ากับปล่อยให้ผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังนางลอยนวล วันหน้าก็คงหาเด็กมาวิ่งขโมยเช่นนี้อีก” ท่านองครักษ์เสื้อแพรผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงเข้ม หลี่อี้เหยาที่รู้สึกกลัวเล็กน้อยพยักหน้า นางเติบโตมาในบ้านที่เกี่ยวกับกองทัพ ท่านพ่อมีนิสัยโผงผางดุดัน แต่พูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาโดยตลอด เซวียเหลียงเฟยผู้เป็นพี่ชาย แม้จะรำคาญนาง แต่ก็ไม่เคยเสียงดังใส่นางมาก่อน หลี่อี้เหยาจึงไม่กล้ามองหน้าคนตรงหน้านัก ด้วยเพราะความกลัวเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าน้อยขอบพระคุณใต้เท้ามากเลยเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะยอมเงยหน้ามองคนตรงหน้า เพราะนางไม่อยากเสียมารยาท คนตรงหน้าเหมือนนิ่งไปสักครู่ก่อนจะได้สติแล้วพยักหน้าให้นาง “คุณหนู คุณหนู แฮ่กก… ท่านเดินมาไกลนักเจ้าค่ะ เหตุใดไม่สวมผ้าปิดหน้ากันเจ้าคะ แล้วนี่ซื้ออะไรมากินมั่วซั่ว กลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวฮูหยินท่านจะเป็นห่วง” อาจูกล่าวร่ายยาวบนหลี่อี้เหยา นางยังไม่ทันเอ่ยอะไรก็ถูกอาจูพากลับไปทางรถม้าที่จอดรถอยู่ไม่ไกล หลี่อี้เหยาจำต้องขึ้นรถม้ากลับไป วันนี้เป็นวันที่ท่านพ่อ และพี่ชายกำลังจะกลับมา ในใจของข้าทั้งตื่นเต้น และตื่นกลัว คนที่นางหวาดกลัวมากที่สุด และคนที่นางรักมากที่สุดคนหนึ่ง ก่อนที่นางจะตาย เซวียเหลียงเฟยได้เล่าเรื่องที่ท่านพ่อ และท่านแม่เคยขอร้องไว้ หลังจากสงครามครั้งสุดท้าย ขอให้ข้าแต่งเป็นฮูหยินของเขา เซวียเหลียงเฟยที่พลาดหวังจากหลี่อีอี เขายอมที่จะรับนางมาเพื่อจบปัญหาทุกอย่าง แต่ไม่คาดคิดว่านางยังเอาแต่เคียดแค้นหลี่อีอี จนนำพาความสูญเสียมาสู่ครอบครัว ท่านพ่อท่านแม่ร้องขอเพื่อนางขนาดนั้น แต่นางกลับไม่รู้อะไร เดิมเซวียเหลียงเฟยก็ไม่ได้คิดจะสังหารนาง เพราะยังติดกับคำร้องขอของท่านพ่อท่านแม่ เป็นนางเองที่วิ่งเข้าหากระบี่เล่มนั้นที่เขาถืออยู่ในมือ… “เหม่อลอยสิ่งใดหรือเหยาเอ๋อร์” “ข้าเพียงนึกถึงเซาปิ่งที่ทานไปไม่กี่วันก่อนเจ้าค่ะ รสชาติของมันอร่อยหอมหวานนัก” หลี่อี้เหยากล่าว นางเพียงครุ่นคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด การที่ท่านพ่อ และพี่ชายจะกลับมา มันก็ยิ่งทำให้นางหวาดกลัว หวังใจเพียงว่าหากนางเลือกเดินทางอื่นแล้ว จะไม่พบจุดจบเช่นเดิมอีกเท่านั้นก็พอแล้ว หลี่อี้เหยารอเพียงไม่นานก็ปรากฏร่างของบุรุษทั้งสองที่ขี่อาชากลับมาด้วยความสง่างาม ทันทีที่พวกเขาถึงเมืองหลวง ย่อมต้องเข้าเฝ้าถวายรายงานก่อน ถึงจะตรงกลับจวนได้ ท่านแม่ย่อมดีใจมากที่สุดที่ได้พบทั้งสามี และบุตรชายกลับมาอย่างปลอดภัย “ฮูหยินเจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่” ทันทีที่ท่านพ่อลงจากหลังม้าก็รีบเข้ามาทักทายท่านแม่ ท่านพ่อแม้จะมีอนุหลายคนในจวน แต่ก็ไม่เคยปันใจให้ใคร มีเพียงท่านแม่คนเดียวเท่านั้นที่ได้ครอบครองพื้นที่ในหัวใจทั้งหมด แม้จะอายุมากขึ้นแล้ว แต่ความรักก็ยังหวานชื่นอย่างที่นางเคยเห็นตอนเด็กไม่เปลี่ยนแปลง “คนหน้าไม่อาย ลูกยืนอยู่นะเจ้าคะ ข้ารับใช้ก็เยอะ” “อายอะไรกัน โอ้… เหยาเอ๋อร์ของพ่อสูงขึ้นมากทีเดียว ก่อนพ่อไปนั้นเจ้าตัวสูงเพียงแค่เอวพ่อเท่านั้น” ท่านแม่ทัพเซวียกล่าว หลี่อี้เหยายอบกายคารวะท่านพ่อทันที “ลูกคิดถึงท่านพ่อมากเลยเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยายิ้ม ดวงตากลมโตของนางทอประกายด้วยน้ำตา ท่านพ่อที่เหมือนจะเย็นชาไปบ้างในบางครั้ง แต่กลับเป็นท่านพ่อที่รักนางมากจนยอมเสียเกียรติ สิ้นชีพด้วยการประหาร หลี่อี้เหยาไม่เคยคาดคิดว่าท่านพ่อจะยอมเสียสละตนเองถึงขนาดนั้น น้ำตาของนางไหลออกมา “โถ่… ลูกถึงขั้นร้องไห้เลยหรือ” ท่านแม่ทัพกล่าวก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะบุตรสาวอย่างแผ่วเบา นางโตเป็นสาวมากแล้ว จะหอมกอดอย่างเด็กน้อยก็คงไม่เหมาะสม หลี่อี้เหยามองเพียงท่านพ่อ ไม่ได้สนใจคนที่ติดตามมาด้านหลัง สำหรับนางเซวียเหลียงเฟยก็ไม่ต่างจากมัจจุราช นางหวาดกลัวเขา ไม่ใช่เพราะนิสัย …แต่เพราะใจของนางเองนั่นแหละ รักชายผู้นี้มาเป็นสิบปี จะให้เลิกรักเพียงเดือนเดียว ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น “หัดแต่งกายเรียบง่ายเป็นแล้วหรือ” เซวียเหลียงเฟยที่เดินผ่านหลี่อี้เหยาทักทาย นางเพียงยอบกายคารวะทักทายตามธรรมเนียม “ยินดีต้อนรับพี่ชายกลับบ้านเจ้าค่ะ” “ข้าไม่มีน้องสาวอย่างเจ้า” “เจ้าค่ะคุณชาย” หลี่อี้เหยากล่าวเพียงสั้นๆ ก่อนจะรีบเดินตามท่านแม่ และท่านพ่อไป เซวียเหลียงเฟยมองหลี่อี้เหยาที่แต่งกายเรียบง่าย เดิมนั้นนางมักจะแต่งกายสีชมพู เครื่องประดับเต็มศีรษะของนางอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้นางกลับสวมเสื้อผ้าสีเขียวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าท่าทางก็ไม่ได้ประทินผิว การแต่งกายก็นับว่าเรียบง่าย ทรงผมของนางก็ไม่ได้ประดับอะไรมากมายจนเกินพอดีเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งสายตาของนางไม่ยอมมองเขาเลยแม้แต่น้อย นับว่าแปลก แต่เป็นเรื่องดี… “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกเตรียมรังนกเย็นให้ท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะพยักหน้าให้ข้ารับใช้ไปหยิบมา รังนกเย็นสองถ้วยถูกนำมาให้ท่านแม่ทัพ และคุณชาย ท่านแม่ทัพยิ้มเล็กน้อยก่อนจะทานรังนกเย็น บุตรสาวของเขาดูเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ท่าทางของนางน่าจะโตแล้วจริงๆ “พ่อไม่อยู่บ้านสองปี ลูกดูเติบโตขึ้นมาก” “เติบโตอะไรเจ้าคะ ท่านพี่ ลูกยังติดมานอนกับข้าอยู่เลย” ฮูหยินจิ่งกล่าว ท่านแม่ทัพหัวเราะเล็กน้อย หลี่อี้เหยาเด็กตัวแสบที่มักจะทำลายค่ำคืนแสนหวานของเขาและฮูหยินอยู่บ่อยครั้ง ยามที่นางเด็กมักจะชอบมานอนกับฮูหยินของเขา วันไหนถูกเขาขัดขวาง ยามดึกดื่นค่ำคืนนางก็จะหนีปีนขึ้นมาบนเตียง แทรกตัวนอนกอดมารดาราวกับนางเป็นเจ้าของ นิสัยของนางก็ช่างออดอ้อนนัก “แล้วเช่นนี้ พ่อจะนอนกับแม่เจ้าได้หรือไม่กัน เจ้าเด็กตัวแสบ” “ลูกไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ กลัวท่านพ่อจะถีบลูกตกเตียง” หลี่อี้เหยากล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ท่านแม่ทัพหัวเราะเสียงดังด้วยความสุข หลี่อี้เหยาตัวน้อยในวันวาน คล้ายจะกลับมาแล้ว หลี่อี้เหยาคนที่เอาแต่ใจ ร้ายกาจหายไปไหนแล้วกัน แต่เอาเถอะ ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ยังเป็นบุตรสาวบุญธรรมที่เขารักดั่งไข่มุกในมือเหมือนเดิมอยู่ดี “คุณหนู เหตุใดท่านหลบมานั่งด้านนอกตรงนี้เจ้าคะ” อาจูถามพลางหยิบห่อขนมเซาปิ่งไส้ถั่วกวนมาให้หลี่อี้เหยา นางยิ้มก่อนจะยื้อแย่งขนมมาจากอาจู “ข้าจะนั่งฟังเรื่องอะไร มีแต่เรื่องของผู้ใหญ่คุยกัน หลบออกมาข้างนอกนี่ดีแล้ว เจ้าซื้อร้านเดิมใช่หรือไม่” หลี่อี้เหยาถาม อาจูพยักหน้า คุณหนูสั่งอะไร มีหรือที่นางจะทำผิดพลาด นางย่อมสรรหาสิ่งที่คุณหนูชอบมาตามคำสั่งอยู่แล้ว “คุณหนูท่านไม่ชอบคุณชายใหญ่แล้วหรือเจ้าคะ ท่านเคยบอกว่าถ้าได้แต่งงานเป็นฮูหยินของคุณชายใหญ่ วันหน้าท่านจะกลายเป็นฮูหยินผู้สูงศักดิ์ ไม่ลำบากอย่างไรเจ้าคะ” อาจูกล่าวน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย หลี่อี้เหยายิ้มเล็กน้อย นางหลงลืมความต้องการของตนเองไปเสียสนิท สิ่งที่นางถือสาอยู่ในใจคือการที่นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุของรองแม่ทัพผู้ต่ำต้อย บิดามารดาไม่ได้มาจากตระกูลดี เป็นเพียงชาวบ้านที่ไต่เต้าขึ้นมาจากความสามารถ บิดานางจำต้องแต่งกับคุณหนูตระกูลมู่ เพื่อฐานะในวันหน้า แล้วจึงสามารถรับท่านแม่เข้าจวนในภายหลัง พอให้กำเนิดนางได้ไม่นาน นางก็กลายเป็นลูกกำพร้า แม้จะถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีด้วยความใส่ใจ คนมากมายก็ยังหยามเหยียดนาง ที่นางไม่ชอบออกไปไหนพบใครก็เพราะไม่อยากถูกผู้อื่นดูแคลน นางรักเซวียเหลียงเฟยเจ็ดส่วน อีกสามส่วนนางต้องการชื่อเสียง อำนาจ เกียรติยศ แต่ในตอนนี้ที่เคยตายมาอย่างไร้เกียรติแล้ว นางจึงระลึกได้ว่าการมีชีวิตอย่างสุขสงบไปทั้งชีวิตต่างหากที่เป็นคำตอบที่ดีที่สุด “ข้าไม่เอาแล้วอาจู เจ้าอย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ข้าบอกเจ้าหลายรอบแล้ว หากมีครั้งหน้าข้าจะไม่ให้เจ้ารับใช้ข้าอีกแล้ว” หลี่อี้เหยากล่าว อาจูเป็นข้ารับใช้ที่มีนิสัยชอบยุยงให้นางทำอะไรผิดเสมอ แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร อาจจะเพราะนางทะเยอทะยาน ร้ายกาจ อาจูจึงได้มีนิสัยไปในทางเดียวกับนาง อาจูเป็นคนแรกที่ยอมสละชีวิตเพื่อนาง นางย่อมเข้าใจอาจูเป็นอย่างดี “เจ้าค่ะคุณหนู” หลังจากท่านพ่อกลับมาเมืองหลวงด้วยการนำพาชัยชนะที่ปราบปรามโจรในน่านน้ำเมืองเสี้ยนจิงได้ การสงครามที่นำมาสู่ชัยชนะ ท่านพ่อย่อมได้รับสินสงครามอย่างมาก และแน่นอนว่าจวนตระกูลเซวียนั้นมั่งคั่งร่ำรวยเป็นอย่างยิ่ง ท่านพ่อไม่เพียงเชี่ยวชาญยุทธวิธีการรบ แต่ความสามารถในด้านการต่อสู้ก็ไม่แพ้ผู้ใด พี่ชายเองก็เช่นกัน เขาเป็นผู้บัญชาการทหารตั้งแต่ยังอายุน้อย มีความสามารถมากพอที่จะทำให้ทหารแทบทั้งกองทัพยอมรับนับถือในตัวเขาที่ความสามารถ ไม่ใช่เพราะอำนาจของท่านพ่อ “เหยาเอ๋อร์ของแม่งดงามนัก เกรงว่าต่อไปเจ้าปักปิ่นแล้ว แม่สื่อจะมาเสียเต็มจวนของเราเป็นแน่” ท่านแม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม วันนี้หลี่อี้เหยาสวมชุดสีเหลืองสดใส สวมเครื่องประดับเงินฝังมุกห้อยระย้าคลอเคลียกับเส้นผมที่ยาวสลวยประดุจเส้นไหม ความงามของหลี่อี้เหยาเป็นความงามที่เย้ายวน เรือนร่างวัยเยาว์ของนางที่ใกล้จะเติบโตเป็นสตรีเต็มตัวฉายชัดนัก “นั่นสิ แม่เจ้าคงเลือกเจ้าบ่าวให้เจ้าไม่ไหว” ท่านแม่ทัพกล่าว ด้านหนึ่งเพื่อลองดูปฏิกิริยาของบุตรสาว แต่ทว่า… หลี่อี้เหยากลับยิ้มตอบเล็กน้อย ท่าทางขัดเขิน แววตาไม่มีความไม่พอใจอะไรก็รู้สึกว่าเป็นอย่างที่ฮูหยินได้กล่าวไว้ บุตรสาวนั้นเปลี่ยนไปมากแล้ว “เช่นนั้นลูกต้องรบกวนท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าว ท่านพ่อท่านแม่พากันขึ้นรถม้าคันแรก ส่วนนางต้องไปขึ้นคันที่สอง หลี่อี้เหยาถอนหายใจเล็กน้อย เพราะนางต้องนั่งไปพร้อมกับเซวียเหลียงเฟย นางไม่ค่อยอยากพบหน้าเขามากนัก พี่ชายผู้นี้วาจาคมกริบ ในอดีตนางถูกเขาพูดจาไม่ดีหลายครั้ง แต่นางก็หน้าทนทำเป็นไม่รับรู้ ทั้งที่ในใจนั้นเสียใจยิ่งนัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD