03

2822 Words
“นั่งก้มหน้านิ่ง เป็นอะไรไป” เซวียเหลียงเฟยถามท่ามกลางความเงียบ หลี่อี้เหยาที่เอาแต่นั่งหันข้างก้มหน้าตลอดทาง ทั้งที่ปกตินางจะต้องพูดจนเขารำคาญ “ข้าทราบว่าพี่ชายรำคาญ จึงไม่กล้าพูดให้ท่านรำคาญใจอีกเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าวเสียงเรียบ แต่นางก็ยังไม่กล้าเงยหน้ามองเซวียเหลียงเฟยอีกด้วยความรู้สึกกลัว แต่เมื่อนางตอบเช่นนี้เซวียเหลียงเฟยเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก จนกระทั่งมาถึงงานเลี้ยง หลี่อี้เหยายอมเงยหน้า นางหายใจเข้าหายใจออกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา กิริยามารยาทของนางเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของนางเป็นใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอ่อนๆ ดวงตาของนางเปล่งประกายก่อนจะลงจากรถม้า เซวียเหลียงเฟยได้แต่มองนางด้วยความแปลกประหลาดใจ ดูท่า… นางคงโตขึ้นมากแล้วทีเดียว หลี่อี้เหยาเดินตามท่านแม่เข้าไปในงานเลี้ยง แน่นอนชายหญิงย่อมแตกต่าง ทั้งยังต้องแยกฝั่งตามธรรมเนียมตามหลักของขงจื๊อ เป็นเรื่องปกติที่ชายหญิงจะแยกจากกันระหว่างงานเลี้ยง คำสอนของขงจื๊อนั้นให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาระเบียบสังคม และลำดับชั้น โดยบุรุษจะได้อยู่ในโถงใหญ่ และสตรีจะได้อยู่ในพื้นที่ที่แยกต่างหาก “ลูกกำพร้าตระกูลเซวียมาแล้วหรือ” คุณหนูตระกูลเฉิงกล่าว นางมองหลี่อี้เหยาด้วยแววตาเหยียดหยาม หลี่อี้เหยาเพียงปรายตามองเท่านั้น ในอดีตที่นางจดจำได้ ชีวิตของเฉิงม่านผู้นี้มีชะตาดอกท้อที่ไม่เลวเลย นางแต่งเข้าตระกูลขุนนางหลักขั้นห้า สามีของนางเป็นคนตงฉิน เป็นที่พอพระทัยขององค์ชายแปดในขณะที่กลายเป็นฮ่องเต้ “ทำไมไม่พูดเล่า เป็นใบ้ไปแล้วหรือ คุณหนูกำพร้า” “ไม่ได้เป็นใบ้ แค่ไม่อยากคุยกับคนอย่างเจ้า” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะเดินตามไปยืนใกล้ท่านแม่ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครกล้ารังแกนางแล้ว ตระกูลเซวียไม่ใช่ตระกูลชั้นต่ำที่ผู้ใดดูแคลนได้ และไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องนางอีก “เหตุใดมาอยู่ตรงนี้เล่าลูก ไปหาสหายของเจ้าหรือ” ฮูหยินจิ่งที่เห็นบุตรสาวมายืนด้านหลังก็พลันตกใจเล็กน้อย หลี่อี้เหยาส่ายหน้า “ไม่เอาเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกอยากอยู่กับท่านแม่มากกว่า” หลี่อี้เหยากล่าว ฮูหยินจิ่งถอนหายใจ เกรงว่าบุตรสาวจะมีปัญหากับกลุ่มเพื่อนมากกว่า เดิมทีไม่ใช่หลี่อี้เหยาไม่มีเพื่อน แต่ด้วยนิสัยเลวร้ายนางจึงคบแต่เพื่อนที่นิสัยไม่ค่อยดีนัก จะให้กลับไปหาพวกนางตอนนี้ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม “เช่นนั้นแม่อนุญาตให้เจ้าไปเดินเล่นข้างนอกก่อนก็ได้ ถ้าเจ้าอึดอัดใจ” “เจ้าค่ะท่านแม่” หลี่อี้เหยายอบกายเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปหาที่นั่งรอระหว่างที่งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครอยากหลบเลี่ยงออกมาจากงานเลี้ยงนัก เพราะนานทีปีหนจะมีงานเลี้ยงให้เหล่าชนชั้นสูงได้พูดคุยพบปะ หลี่อี้เหยาเดิมทีก็มักจะดีใจยิ่งนักที่จะได้มาพบกลุ่มสหาย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นางไม่ปรารถนาที่จะพบเจอใครเสียเท่าไหร่ และในงานเช่นนี้ก็ไม่มีทางจะได้พบหลี่อีอีผู้เป็นพี่สาวของนางด้วย “หลี่อี้เหยา นี่เจ้ามานั่งหลบอะไรตรงนี้ ทำไมเห็นพวกข้าแล้วไม่เดินมา” คุณหนูจ้าวซืออิ๋งกล่าว นางเดินมาพร้อมกับคุณหนูอีกหลายคน จ้าวซืออิ๋งเป็นบุตรสาวเสนาบดีจ้าว เป็นขุนนางรองขั้นที่หนึ่ง สูงกว่าท่านพ่อหนึ่งระดับ และฝ่ายบุ๋นกับฝ่ายบู๊ย่อมมีความแตกต่าง จ้าวซืออิ๋งผู้นี้ยังมีมารดาที่เป็นถึงพระขนิษฐาของฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบัน นับว่าเป็นสตรีชนชั้นสูงที่หลี่อี้เหยาไม่กล้าที่จะมีปัญหา “ข้าเพียงไม่ค่อยสบายเท่านั้น จึงไม่ได้เข้าไปพบเจ้า” “เห็นข้าไม่ทักทายข้า เจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก นางเด็กกำพร้า” จ้าวซืออิ๋งกล่าว หลี่อี้เหยารู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย คุณหนูจ้าวผู้นี้เอาแต่ใจ ร้ายกาจเสียยิ่งกว่านางอีก ทั้งยังฐานะสูงส่ง แต่ต่อไปเพราะไปล่วงเกินทำร้ายหลี่อีอี ชะตาชีวิตจึงไม่ค่อยดีนัก “ข้าขออภัย” “อภัยแล้วได้อะไร เจ้ากล้าหักหน้าข้า” จ้าวซืออิ๋งกล่าวอย่างไม่ยินยอม ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลี่อี้เหยาที่วางตนสูงส่ง พูดจาสุภาพ ทั้งยังไม่เข้ามาทักทายนาง ยิ่งทำให้นางโมโห หลี่อี้เหยาเดินถอยหลังหนีเพราะไม่อยากจะมีปัญหา ทั้งเหล่าคุณหนูยังเดินหน้ากันเข้ามาหาเรื่องนางอีก “ข้าก็ขอโทษเจ้าแล้ว เหตุใดไม่ยอมเลิกรา ข้าเพียงรู้สึกไม่สบายเท่านั้น ไม่ได้เจตนาจะหาเรื่องเจ้าเลย” “จับตัวมันไว้ ข้าจะตบสั่งสอนมัน” จ้าวซืออิ๋งกล่าว หลี่อี้เหยาที่ไม่อยากสู้กับใครก็รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นเพราะเหตุใดหนึ่งที่ทำให้นางมีนิสัยร้ายกาจ หากไม่สู้ นางก็ถูกผู้อื่นรังแก แต่เอาเถอะ จ้าวซืออิ๋งตบนางสักทีสองที คงไม่กล้าทำอะไรนางมากไปกว่านี้อย่างแน่นอน “อยากรู้นักว่าหากหน้าสวยๆ ของเจ้าเป็นรอยเล็บข้า จะมีใครกล้าชื่นชมเจ้าอีกหรือไม่” “เหตุใดต้องรังแกข้าขนาดนี้ ซืออิ๋ง ข้าทำอะไรเจ้านักหนาเช่นนั้นหรือ” “ก็เพราะข้าไม่ทักทายข้าอย่างไร” จ้าวซืออิ๋งกล่าวก่อนจะเงื้อมือสูงพร้อมจะตบนาง หลี่อี้เหยาหันหน้าเตรียมรับฝ่ามือของจ้าวซืออิ๋ง นางหลับตาเพราะกลัวความเจ็บปวด ริ้วรอยบาดแผลพวกนั้นช่างมันเถอะ ก็เพียงแค่ความงามภายนอก ไม่มีอะไรจีรังสำหรับนางอยู่แล้ว “คุณหนูจ้าว เหตุใดถึงคิดจะลงมือลงไม้กับน้องสาวของข้ากัน” เซวียเหลียงเฟยเดินมากั้นฝ่ามือของจ้าวซืออิ๋ง ความจริงเขาเห็นหลี่อี้เหยาสักพักแล้วตั้งแต่นางหลบมานั่งคนเดียว เพราะตรงหน้ายังมีผาจำลองตั้งอยู่ที่เขา และองค์ชายแปด องค์ชายสิบ และคุณชายเยี่ยยืนพูดคุยกันอยู่ จึงได้เห็นได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมด หลี่อี้เหยาถูกดูหมิ่นดูแคลน ทั้งยังเหยียดหยามนาง ทั้งที่เขาเองก็จำได้ว่าหลี่อี้เหยาสนิทสนมกับจ้าวซืออิ๋งอยู่ไม่น้อย “ขะ ข้า…” จ้าวซืออิ๋งที่มองเห็นเซวียเหลียงเฟย ใบหน้าของนางพลันขึ้นสีระเรื่อด้วยความขวยเขิน รูปลักษณ์ของแม่ทัพน้อยเซวียสูงใหญ่ ใบหน้านิ่งหล่อเหลา เรือนกายใหญ่โตชวนเป็นที่ใฝ่ฝันของสตรี ยิ่งงานเลี้ยงวันนี้ เขาช่างโดดเด่นยิ่งนัก ทั้งตอนนี้เขายังยืนมองนางอีกด้วย จ้าวซืออิ๋งถึงขั้นเป็นบื้อใบ้ไปชั่วขณะ “ข้าเพียงหยอกล้อนางเล่นเท่านั้น” “หยอกล้อด้วยการใช้กำลังตบตี หากข้าไม่เห็น น้องสาวของข้าก็คงจะถูกเจ้าทำร้ายเช่นนั้นหรือ” “ถามนางสิ อี้เหยาเจ้าบอกพี่ชายเจ้าไปสิว่าข้าหยอกล้อเจ้าเล่นเท่านั้น” จ้าวซืออิ๋งกล่าว แม้นางจะถูกจับได้ว่าทำร้ายผู้อื่น แต่หากหลี่อี้เหยาไม่บอกผู้อื่นว่านางทำร้าย เซวียเหลียงเฟยจะทำอย่างไรได้ ที่น่าแปลกใจก็คือ เหตุใดเซวียเหลียงเฟยถึงปกป้องหลี่อี้เหยาเช่นนี้กัน “เพียงแค่เล่นกันเท่านั้นเจ้าค่ะพี่ชาย” “นั่นสิเจ้าคะ ไม่เห็นท่านต้องโกรธเลย” จ้าวซืออิ๋งกล่าวด้วยความเจ้าเล่ห์ เซวียเหลียงเฟยถอนหายใจ อย่างไรคนตรงหน้าก็มีตำแหน่งฐานะสูงกว่า เขาหันกลับมามองคุณหนูที่จับตัวหลี่อี้เหยาไว้ พวกนางหวาดกลัวจนปล่อยมือของหลี่อี้เหยา “ตามข้าไปด้วย” เซวียเหลียงเฟยกล่าว หลี่อี้เหยาพยักหน้าก่อนจะเดินตามพี่ชายของนางไปอีกทาง จนได้พบกับบุรุษหลายคนที่อยู่ในความทรงจำภายภาคหน้าของนาง องค์ชายแปดมีรูปลักษณ์สง่างาม หล่อเหลาเป็นเอก สมเป็นบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในวันหน้า องค์ชายสิบดูร้ายกาจเจ้าเล่ห์และเป็นคนที่นางเกลียดชังมากที่สุด อีกคนก็เป็นบุรุษที่นางเคยพบเมื่อไม่กี่วันก่อน “อี้เหยาถวายพระพรองค์ชายแปด องค์ชายสิบ และคุณชายเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าวด้วยความสุภาพ ก่อนจะถอยกายไปยืนอยู่เยื้องด้านหลังของพี่ชาย นางไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ของคนทั้งสองเท่าไหร่นัก “เมื่อก่อนข้าได้ยินเรื่องราวข่าวลืออันร้ายกาจของคุณหนูหลี่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะแตกต่างจากข่าวลือมากนัก” องค์ชายสิบกล่าวก่อนจะย่อตัวเพื่อมองใบหน้าโฉมสะคราญตัวน้อยที่เอาแต่ก้มหน้า หลี่อี้เหยาตกใจที่องค์ชายสิบย่อกายจ้องมองนางจนเดินถอยหลังออกไปหลายก้าว ชายผู้นี้เคยขืนใจนางอย่างที่นางไม่ยินยอมมาก่อน นางทั้งรังเกียจ ทั้งหวาดกลัว ฝันร้ายครั้งนั้นยังหลอกหลอนนางมาตลอดจนมือไม้ของนางสั่นเทาไปหมด แต่ก็ต้องพยายามข่มใจ เพราะตอนนี้องค์ชายสิบไม่ได้ทำอะไรนาง และนางก็จะไม่มีวันเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกเขาเด็ดขาด “คุณหนูหลี่กลัวเจ้า เจ้ายังจะไปแกล้งนางทำไมกันน้องสิบ” องค์ชายแปดกล่าว เขาเห็นหลี่อี้เหยาตัวสั่นเล็กน้อยประหนึ่งนกน้อยที่กำลังตกน้ำจนหนาวเหน็บ นางได้แต่ถอยหลบไปยืนหลังของเซวียเหลียงเฟย ดูท่าข่าวลือพวกนั้นจะเป็นเรื่องที่ไร้แก่นสารที่เดียว ท่าทางเช่นนี้จะร้ายกาจอย่างที่คนอื่นกล่าวได้อย่างไร หากจะบอกว่าเป็นเพียงการเสแสร้ง คนเสแสร้งจะสั่นเทาได้เช่นนี้เชียวหรือ “เจ้าคือคุณหนูหลี่ที่ข้าได้พบในวันนั้นใช่หรือไม่” คุณชายอีกท่านหนึ่งกล่าว หลี่อี้เหยาเงยหน้าก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อย “เจ้าค่ะ” “ที่แท้แล้วเป็นเจ้า ข้าตามหาเจ้าเสียทั่วเมืองหลวง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเป็นใคร” คุณชายผู้นั้นกล่าวก่อนจะหยิบกำไลหยกสีมันแพะให้กับหลี่อี้เหยา นางถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางแย้มยิ้มด้วยความยินดี “ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ ข้านึกว่ากำไลหยกชิ้นนี้หายไปแล้วเสียอีก” หลี่อี้เหยากล่าวกับคุณชายตรงหน้าด้วยรอยยิ้มดีใจ จนบุรุษทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกแปลกใจ กับพวกเขานางดูเหมือนจะหวาดกลัว แต่กลับเยี่ยกวน นางกลับยิ้มจนตาของนางโค้งอย่างน่าเอ็นดู เซวียเหลียงเฟยครุ่นคิดในใจ เกรงว่าจะเป็นเพราะคุณชายเยี่ยผู้นี้ที่ทำให้หลี่อี้เหยาชมชอบ “เป็นของสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ” “กำไลนี้เป็นของขวัญวันเกิดข้าตอนอายุครบสิบขวบเจ้าค่ะ ท่านแม่ให้ ไม่คิดว่าจะได้เจอมันอีก นึกว่าหายไปเสียแล้ว” หลี่อี้เหยาบ่นพึมพำก่อนจะสวมกำลังใส่ข้อมือขาวเรียวเล็กของนาง “ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะที่นำมันกลับมาให้ข้า” “ไม่เป็นไรหรอก เด็กคนนั้นเก็บหยกชิ้นนี้ไว้กับตัว วันนั้นในถุงเงินเจ้าถึงไม่มีหยก” “แล้วท่านได้ลงโทษนางอย่างไรเจ้าคะ” “ปล่อยนางไปแล้ว เพียงตักเตือนและคาดโทษบิดามารดานางเท่านั้น” “เช่นนั้นข้าก็วางใจเจ้าค่ะ นางยังอายุน้อยอยู่เลย” หลี่อี้เหยากล่าว คุณชายเยี่ยยิ้ม รอยยิ้มของนางยังประทับในใจของเขาไม่คลาย อายุน้อยเพียงนี้ แต่กลับมีรอยยิ้ม ใบหน้าที่งดงามสะคราญโฉมตั้งแต่ยังเยาว์ เกรงว่าอีกไม่กี่ปีคงจะกลายเป็นยอดหญิงงามที่บุรุษต่างหมายปอง หยกของนางนั้นเขาพกติดตัว หากเจอก็จะนำมันคืน แต่หากไม่เจอเขาก็จะเก็บไว้เพื่อคอยระลึกถึงนาง เรื่องนี้บุรุษในที่นั้นต่างทราบดีว่าเยี่ยกวนนั้นน่าจะมีความชอบพอในหลี่อี้เหยา จึงได้พกกำไลหยกของนางไปมา “ข้าชื่อเยี่ยกวน เจ้าเป็นน้องสาวสหายเซวียหรือ” “ข้าเป็นน้องสาวที่เป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพเซวียเจ้าค่ะ ชื่อหลี่อี้เหยา” “อืม วันหน้าหากมีโอกาสคงได้พบกันอีก” “เจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะก้มลงอีกครั้งเนื่องจากนางเริ่มเสียมารยาทที่เอาแต่พูดคุยกับคุณชายเยี่ย ทั้งที่จริงสตรีไม่ควรพบปะบุรุษ “พี่ชายเจ้าคะ ข้าขออนุญาตกลับไปฝั่งของสตรีก่อน” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะเดินจากไปในโถงของสตรี นางไม่กล้าที่จะออกมาเพ่นพ่าน หรือห่างจากท่านแม่อีกแล้ว เกรงว่าหากจ้าวซืออิ๋งเคียดแค้นไม่พอใจนาง จะเกิดเป็นเรื่องเป็นราวอยู่อีก “เหยาเอ๋อร์ ดูเจ้าสิ นั่งนานจนเบื่อใช่หรือไม่ หน้าตาถึงได้ไม่ค่อยสดใสนัก” ฮูหยินจิ่งกล่าว หลี่อี้เหยาส่ายหน้า ทั้งสองพากันมารอท่านพ่อ และพี่ชายบนรถม้า หลี่อี้เหยาที่พักนี้นางนอนหลับเร็วกว่าปกติก็รู้สึกง่วงงุนจนหลับไปบนรถม้า ทิ้งกายนอนลงอย่างลืมตนว่านั่นเป็นพื้นที่ของพี่ชาย เซวียเหลียงเฟยที่ขึ้นมาบนรถม้าก็ได้แต่ชะงักงันเมื่อเห็นนางนอนหลับทิ้งตัวทอดยาวไปบนเก้าอี้ ครั้นจะเปลี่ยนไปขี่ม้า รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้แต่ต้องนั่งอยู่ที่ตั่งเตี้ยตัวเล็ก มองดูเด็กสาวที่กำลังหลับสนิท และพลันหวนคิดถึงกริยาที่นางแสดงออกต่อคุณชายเยี่ย นางไม่ได้ชมชอบคุณชายเยี่ย เพียงยิ้มขอบคุณตามธรรมเนียม แต่น่าแปลกที่นางกลับดูหวาดกลัวองค์ชายสิบอย่างมากจนเกินไป เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่… ตลอดเวลาที่เขาไม่อยู่เมืองหลวง มีเรื่องราวแปลกประหลาดอันใดที่เขายังไม่รู้อยู่อีก “ตายแล้ว ทำไมลูกอุ้มน้องลงมาเช่นนั้น” ฮูหยินจิ่งถามบุตรชายที่กำลังอุ้มหลี่อี้เหยา แม้จะกล่าวว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ก็ไม่ได้เกิดจากบิดามารดาเดียวกัน ทำเช่นนี้ออกจะใกล้ชิดมากจนเกินไปหน่อย อีกทั้งในความเป็นจริงแล้ว ฮูหยินจิ่งก็ไม่ได้คิดอยากจะสนับสนุนให้หลี่อี้เหยาเป็นฮูหยินของบุตรชายสักเท่าไหร่ การแต่งงานเป็นเรื่องของคนทั้งชีวิต อีกฝ่ายก็เป็นลูกในอุทร อีกฝ่ายก็เป็นลูกที่นางรัก แม้หลี่อี้เหยาจะรู้สึกดีต่อเซวียเหลียงเฟย แต่เซวียเหลียงเฟยกลับชิงชังหลี่อี้เหยานัก นางไม่กล้าที่จะให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างแน่นอน “แล้วท่านแม่จะให้ข้ารับใช้ชายอุ้มแทนหรือขอรับ” “เช่นนั้นมาให้พ่ออุ้มไปส่งน้องก็ได้” “ท่านพ่ออายุมากแล้ว เป็นหน้าที่ข้าเถิดขอรับ” เซวียเหลียงเฟยกล่าวกับบิดาของตนเอง หลี่อี้เหยาที่ได้ยินเสียงพูดคุยก็พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา นางที่เห็นตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเซวียเหลียงเฟยก็พลันตกใจจนดิ้น เซวียเหลียงเฟยปรายตามองที่นางดิ้นขัดขืน จนต้องยอมปล่อยนางลงกับพื้น “ขออภัยเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยารีบขออภัยพี่ชาย ทั้งที่นางเพิ่งตื่นสะลึมสะลือจนร่างโงนเงน ฮูหยินจิ่งรีบเข้ามาพยุง “เหตุใดต้องรีบร้อนตกใจขนาดนั้นลูก ดูสิเวียนหัวเลยเห็นไหม อาจูมาพยุงคุณหนูกลับเรือนไปพักผ่อนซะ" ฮูหยินจิ่งกล่าว อาจูรีบมาพยุงคุณหนูของนางกลับเรือนทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD