“เมื่อครู่เจ้าว่าพ่อแก่หรือ” เซวียเจิ้งถามบุตรชายพลางหรี่ตามองด้วยความไม่พอใจ แม้จะอายุมากถึงเลขสี่กว่าก็ไม่ได้หมายความว่าไม่แข็งแรง บุตรสาวตัวเล็กนิดเดียวเหตุใดจะอุ้มไม่ได้กัน เทียบกับคนวัยเดียวกันแล้ว เขาแข็งแรงยิ่งนัก แต่บุตรชายกับบอกว่าเขาอายุมากแล้ว
“แล้วท่านพ่อคิดว่าตัวเองเป็นหนุ่มหรือขอรับ”
“เจ้าเด็กบัดซบ!” ท่านแม่ทัพตะโกนด่าบุตรชายก่อนจะมอบฝ่าเท้าไล่เตะบุตรชาย ฮูหยินจิ่งมองสองพ่อลูกที่แต่งกายเต็มยศด้วยความรู้สึกรำคาญใจนัก อายุกันก็ไม่น้อยกลับเล่นเป็นเด็ก แต่ท่าทางเมื่อครู่ของบุตรสาวก็ทำให้รู้แล้วว่าหลี่อี้เหยาไม่ได้มองเซวียเหลียงเฟยเหมือนเดิม แต่ที่น่าแปลกคือนางกลัวอะไรกัน
“เหยาเอ๋อร์ เจ้านำผลไม้พวกนี้ไปให้พี่เจ้าที” ฮูหยินจิ่งกล่าวในขณะที่กำลังจัดผลไม้ หลี่อี้เหยามองท่านแม่สักเล็กน้อยก่อนจะรับคำ และนำถาดเดินออกมา ท่านแม่สามารถใช้ใครก็ได้ แต่กลับเลือกใช้นาง เกรงว่าท่านแม่คงเกิดความสงสัยในตัวนางหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ หลี่อี้เหยาถอนหายใจ นางไม่อยากใกล้ชิดกับเซวียเหลียงเฟยอีก นางกลัวนางจะทำตัวชั่วช้าแบบในอดีตอีก แม้นางจะได้ย้อนกลับมาแล้ว แต่ใจคนยากเปลี่ยนแปลง นางถือทิฐิมากขนาดนั้น จะเลิกรักง่ายเช่นนั้นก็ไม่อาจกระทำได้จริงๆ มันเป็นความซับซ้อนทางความรู้สึกที่นางมีต่อเขา
“ฟ่านเหอ ผลไม้พวกนี้ท่านแม่ให้ข้านำมาให้พี่ชาย ฝากเจ้าด้วย” หลี่อี้เหยากล่าวก่อนจะยกถาดผลไม้ให้ฟ่านเหอก่อนจะเดินออกมา ฟ่านเหอนำผลไม้เข้าไปในห้องทำงานของคุณชายใหญ่
“คุณชายขอรับ คุณหนูเอาผลไม้มาให้ขอรับ”
“แล้วนางไปไหนกัน”
“มาส่งเสร็จก็กลับไปแล้วขอรับ”
ช่วงวันเวลาเกือบสองเดือนนับตั้งแต่ท่านพ่อ และพี่ชายกลับมา หลี่อี้เหยาก็มักจะหลบเลี่ยงไม่พบปะพี่ชายสักเท่าไหร่ แต่นางฉลาดเฉลียวนัก และไม่ทำให้ท่านพ่อ กับท่านแม่แปลกใจสงสัยสักเท่าไหร่ มีเพียงเซวียเหลียงเฟยที่รู้ดีว่านางนั้นพยายามหลบหน้าเขาให้ได้มากที่สุด
“เหยาเอ๋อร์ แม่เพิ่งได้พบองค์หญิงหนานอันมาเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ร้านผ้าจินเฉียน เจ้ารู้จักกับคุณชายเยี่ยด้วยหรือ ทำไมแม่ไม่เคยรู้มาก่อน” ฮูหยินจิ่งกล่าว คราวก่อนนางพบองค์หญิงหนานอันที่ร้านผ้าจินเฉียน นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังให้ฟังเกือบทั้งหมด ความจริงฮูหยินเองก็ทราบดีว่าหลี่อี้เหยาถูกจ้าวซืออิ๋งหาเรื่อง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นลูกขององค์หญิงผู้เป็นพระขนิษฐาของฮ่องเต้
“ข้าเคยพบเขาครั้งที่ไปรับผ้าให้ท่านแม่เจ้าค่ะ พบกันเพียงครั้งเดียว ครั้งที่สองพบกันในงานเลี้ยง พี่ชายก็อยู่ด้วย ลูกไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมอะไร” หลี่อี้เหยากล่าว ฮูหยินจิ่งถอนหายใจ นางวาดหวังไว้เสียด้วยซ้ำ คุณชายเยี่ยผู้นี้แม้จะไม่ใช่บุตรชายตระกูลเยี่ยสายหลัก แต่ผลงานความสามารถล้วนเป็นเอก สอบเคอจวี่ได้ตั้งแต่ยังเด็ก เป็นจิ้นซือที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคว้น ไม่เพียงแต่บุ๋น ยังเก่งบู๊จนได้ทำงานในกลุ่มองครักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งฐานะนับว่าสูงนัก หากหลี่อี้เหยาบุตรสาวของนางอยู่ในสายตาคุณชายเยี่ยผู้นี้ก็นับว่าเป็นวาสนาอย่างยิ่ง
“ฮูหยินเจ้าคิดอะไร อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ” ท่านแม่ทัพกล่าว
“ท่านพี่ คุณชายเยี่ยสอบเคอจวี่เป็นจิ้นซืออันดับหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เหยาเอ๋อร์ของเราอายุยังน้อย หน้าตารูปโฉมกิริยามารยาทก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้อื่น หากว่าคุณชายเยี่ยส่งแม่สื่อมา ข้าก็คงไม่ปฏิเสธ แล้วเจ้าเล่าเหยาเอ๋อร์ของแม่ จะปฏิเสธหรือไม่” ฮูหยินจิ่งถามบุตรสาว หากท่านแม่คิดว่าเหมาะสม สำหรับนางก็คือความเหมาะสม ตำแหน่งของคุณชายเยี่ยในราชสำนักนับว่าไม่ต่ำต้อยเลย วันหน้าย่อมไปได้ไกล แต่สำหรับนางจะไกลหรือใกล้ นางก็ล้วนสามารถอยู่ได้อยู่แล้ว เพียงไม่สร้างปัญหา ไม่ทำตัวให้ผู้อื่นรังเกียจอีก ชั่วชีวิตของนางก็คงไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก
“หากท่านแม่คิดว่าเหมาะสม ลูกก็ยินดีเจ้าค่ะ”
“ได้อย่างไร การแต่งงานต้องมาจากความพอใจของเจ้าด้วย ชีวิตทั้งชีวิตนะลูก” ท่านแม่ทัพกล่าวกับบุตรสาว หลี่อี้เหยายิ้มตอบท่านพ่อ เพราะนางเคยดื้อดึงจนนำความสูญเสียมาสู่ตนเอง เช่นนั้นต่อให้ชีวิตทั้งชีวิตของนางไม่มีความสุข แต่แลกมาด้วยความสุขของครอบครัว เช่นนั้นแล้วก็ถือว่านางย้อนเวลากลับมาโดยไม่เสียเปล่าอีกแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ย่อมคิดรอบคอบแล้ว ลูกขอทำตามความปรารถนาของท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ แต่ว่า… เรื่องคุณชายเยี่ย คงไม่ใช่เช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงพบกันสองครั้ง พูดคุยกันนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย” หลี่อี้เหยากล่าว ในแววตาของนางใสสะอาดไม่มีร่องรอยของการโกหกเลยแม้แต่น้อย ฮูหยินจิ่งก็วางใจ หากบุตรสาวคิดได้จริงๆ อย่างไรมีบุตรสาวเพียงคนเดียวก็ต้องหาสามีที่ดี และเหมาะสมให้แก่นาง ชีวิตจะได้ไม่ลำบาก
อากาศร้อนจนทำให้หลี่อี้เหยาแทบจะเป็นลม วันนี้เป็นวันที่ท่านแม่เลือกจะมาไหว้พระที่วัดจูหลิน หลี่อี้เหยาที่สวมชุดสีเขียวอ่อนเนื้อผ้าบางเบา อาจูบีบบังคับนางให้สวมผ้าครึ่งหน้า นางที่เดินตามท่านแม่ไม่ทัน ก็ได้แต่หอบเหนื่อยเกาะที่อยู่ที่บันได
“ข้าไม่สวมผ้าปิดหน้าแล้ว หายใจไม่ทัน” หลี่อี้เหยาหอบเหนื่อยก่อนจะกระชากผ้าทิ้ง แล้วนั่งทรุดตัวตรงบันไดอย่างไม่เขินอายอีก พลางหอบเหนื่อยอย่างน่าสงสาร อาจูที่ติดตามคุณหนูมาพยายามห้าม แต่ผ้าก็ปลิวไปตามลมไกลเสียแล้ว
“โถ่… คุณหนู ท่านต้องปิดบังรูปโฉมนะเจ้าคะ สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงก็ทำเช่นนี้ทั้งนั้น”
“ไม่… ข้าไม่ใช่สตรีชั้นสูงเสียหน่อย เป็นแค่บุตรบุญธรรมเท่านั้น จะต้องวางท่าให้สูงส่งทำไมให้คนอื่นมาเหยียดหยามข้า” หลี่อี้เหยาพึมพำบ่นก่อนจะตรงไปนั่งในศาลาร้างที่ไร้ผู้คน แต่ยังมีคนมาทำความสะอาดอยู่จึงรู้สึกไม่สกปรกนัก เพราะรีบร้อนจึงไม่ทันเห็นว่านอกระเบียงศาลาร้างมีชายผู้หนึ่งกำลังยืนมองทิวทัศน์จากยอดเขาสูงอยู่ เขาได้ยินเสียงพร่ำบ่นของเด็กสาวก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย แม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่ก็อยากจะฟังต่ออีกหน่อย
“ไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านงดงามขนาดนี้”
“อาจู ข้าอายุสิบสองขวบปีเท่านั้น จะเอาอะไรมางดงาม ในสายตาของผู้ใหญ่ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น มีแต่คนโรคจิตวิปริตเท่านั้นที่จะอยากมีสัมพันธ์กับเด็กอย่างข้า” หลี่อี้เหยากล่าว นางยังไม่มีเรือนกายที่เป็นเหมือนผู้ใหญ่เลย ทรวงอกแม้จะเริ่มมีบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตจนอวบอูมอยู่ภายใต้สาบเสื้อ ช่วงเอวบั้นท้ายก็ยังไม่มีแม้แต่น้อย คิดดูแล้วก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่ประสา นางช่างแก่แดดที่หวงแหนรูปโฉมจนเกินไปนัก
“ทำไมคุณหนูคิดเช่นนั้นล่ะเจ้าค่ะ เพราะแบบนี้ใช่ไหม ท่านถึงคิดว่าคุณชายใหญ่ต้องไม่ชอบท่าน”
“อาจู พี่ชายเป็นพี่ชายของข้า เหตุใดเจ้าชอบยุยงข้านัก หากเจ้ายังพูดมากอีก ข้าจะหาสามีเป็นคนเลี้ยงม้าเสีย"
“ตายแล้ว คุณหนูท่านพูดแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ใครมาได้ยินเข้า ชื่อเสียงท่านจะเสียหาย”
“ก็เสียหายไปสิ ข้าจะอยู่รับใช้ท่านพ่อ ท่านแม่ หากไม่มีใครต้องการข้าแล้ว ข้าก็จะออกจากเมืองไปปลูกกระท่อมหลังเล็ก ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้นก็พอ” หลี่อี้เหยากล่าว ความคิดของนางแปลกกว่าผู้อื่นนัก คุณชายปริศนาท่านนั้นที่ได้ฟังก็รู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อย พี่ชายของนางหรือใครกัน และนางเป็นใคร เหตุใดคิดสั้นถึงขู่ว่าจะหาสามีเป็นคนเลี้ยงม้า ต้องเป็นสตรีแบบไหนกันที่คิดเช่นนี้
“ข้าเพียงไม่อยากให้คุณหนูลำบาก วันหน้าท่านแม่ทัพจะหาสามีที่ดีให้ท่านได้ขนาดไหน คุณหนูท่านก็รู้ว่าท่านเป็นเพียงบุตรบุญธรรม ท่านจะเทียบเท่ากับคุณหนูคนอื่นได้อย่างไร” อาจูกล่าวด้วยความสัตย์จริง ในอดีตหลี่อี้เหยาพยายามจับเซวียเหลียงเฟยให้ได้ เพราะหนึ่งเขาเป็นขุนนางชั้นสูงที่หากนางได้เป็นฮูหยินแล้ว นางย่อมมีเกียรติมากที่สุด และท่านพ่อ ท่านแม่สามีก็รักนางมากอยู่แล้ว คนภายในจวนก็รู้จักนางมาตั้งแต่เด็ก มีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสีย
“อาจู ข้าไม่อยากเป็นคนแบบนั้น ตระกูลเซวียเป็นครอบครัวข้า ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าถ้าเจ้ายังยุยงข้าให้กระทำผิดอีก ข้าจะไม่ให้เจ้ารับใช้ข้า นี่เป็นคำเตือนครั้งที่สอง ต่อไปครั้งที่สาม ข้าจะไม่เห็นแก่ที่เจ้ารับใช้ข้าอีกแล้วนะ” หลี่อี้เหยากล่าว อาจูถอนหายใจ
“เพราะข้าไม่อยากเห็นท่านลำบาก คุณหนู”
“แล้วข้าลำบากตรงไหน ท่านพ่อให้ท่านแม่เป็นคนเลี้ยงข้ามา เทียบกับคุณหนูหลายคนในเมืองหลวง ข้ามีเครื่องประดับที่ดี ได้ติดตามท่านแม่เข้าร่วมงานเลี้ยง ไม่มีคุณหนูตระกูลต่ำคนไหนกล้ารังแกข้า จะมีก็แต่ตระกูลที่สูงกว่า หรือระดับเดียวกัน ถ้าเดินตามติดท่านแม่ ก็ไม่มีใครมารังแกข้าแล้ว”
“เหตุใดท่านเปลี่ยนไปนักเจ้าคะ”
“ข้าไม่อยากทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่เสียใจ อีกอย่างหน้าที่ของลูกก็คือเชื่อฟังพ่อแม่ ท่านพ่อท่านแม่รักข้าขนาดนี้ ท่านไม่มีทางเลือกบุรุษต่ำช้าให้ข้าหรอก แต่ถึงจะต่ำช้า ถ้าท่านพ่อ ท่านแม่ปรารถนาให้ข้าแต่ง ข้าก็แต่ง อย่างที่ข้าบอกอย่างไร คนเลี้ยงม้าก็ไม่เลว”
“คุณหนู เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า”
“แล้วเจ้าไม่ชอบหรืออาจู เวลาไม่ต้องรับใช้ข้าก็เห็นเจ้าเอาแต่ไปแอบดูคนเลี้ยงม้าเปลือยกายท่อนบนไม่ใช่หรือ”
“คุณหนู!”
“เจ้าเด็กหื่นกาม”
“คุณหนูนี่ท่าน ท่าน” อาจูกล่าว แต่หลี่อี้เหยากลับวิ่งออกจากศาลาไปแล้ว เจ้านายและข้ารับใช้ตัวน้อย ต่างวิ่งไล่กันขึ้นเขาไปด้านบนอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่าบุรุษที่นั่งฟังได้แต่หัวเราะขบขัน คุณหนูน้อยผู้นี้ มีทั้งความโศกเศร้า และความสนุกสนาน
“ท่านอ๋องขอรับ เหตุใดมานั่งตรงนี้ขอรับ"
“เจ้าตามดูคุณหนูผู้นั้นให้ข้าที ข้าอยากรู้ว่านางเป็นใคร” ท่านอ๋องหงเหวินกล่าว ข้ารับใช้คนสนิทขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะออกไปสั่งให้คนติดตามเรื่องของคุณหนูผู้นั้น หลี่อี้เหยาที่ตามท่านแม่ขึ้นมาทัน แต่นางกลับหัวเราะอย่างสนุกสนานกับอาจูจนไม่สังเกตเลยว่าด้านบนเขามีครอบครัวตระกูลเยี่ยอยู่ด้วย
“คุณหนู ท่านแกล้งข้า”
“แล้วเจ้าจะทำไม เสี่ยวจู” หลี่อี้เหยาแย้มยิ้มอย่างสนุกสนานก่อนจะหันไปเห็นท่านแม่กำลังมองมา พร้อมผู้ใหญ่หลายคน หลี่อี้เหยารีบหุบยิ้มก่อนจะสงวนกริยาทันที
“เหยาเอ๋อร์ นี่ใต้เท้าเยี่ย และเยี่ยฮูหยิน”
“ข้าน้อยหลี่อี้เหยาเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยาทักทายตามธรรมเนียมมารยาท อาจูก็เช่นกัน เยี่ยฮูหยินมองหลี่อี้เหยาด้วยรอยยิ้มที่กึ่งไม่ยิ้มเสียเท่าไหร่ เหมือนจะเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น เดิมทีท่านแม่ไม่ชอบมาวัดที่นี่มากนัก เพราะตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงเกินไป แต่ใครจะคาดคิดว่าท่านแม่จะยอมมาที่นี่ ที่แท้แล้วท่านแม่มีจุดประสงค์นี่เอง
“บุตรสาวของท่านช่างร่าเริงสดใสยิ่งนัก” เยี่ยฮูหยินกล่าว ครึ่งหนึ่งไม่น่าจะเป็นคำชม ท่านแม่แสดงสีหน้ายิ้มเล็กน้อย แต่หลี่อี้เหยาที่เป็นบุตรสาวจะไม่รู้หรือว่าท่านแม่ไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ต้องเข้าวัดไปทำบุญไหว้พระ หลี่อี้เหยาที่ตั้งแต่ได้กลับมา นางยังไม่ได้ไหว้พระมาก่อน นางจึงทำเพียงยกมือพนมและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้โอกาสนาง ไม่รู้ว่าฝันหรือความจริง แต่อย่างน้อยหากนางได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตา มันก็คือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนางแล้ว
“เจ้าพาน้องไปเดินเล่นสิ ผู้ใหญ่จะได้คุยกัน” ใต้เท้าเยี่ยสั่งบุตรชาย คุณชายเยี่ยกวนจึงได้เดินนำหลี่อี้เหยาไปอีกทาง พอออกจากเขตสายตาของพวกผู้ใหญ่ หลี่อี้เหยาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แต่ใต้เท้าเยี่ยกวนได้ยินก็พลันยิ้มออกมา
“เจ้าอึดอัดมากเลยหรือคุณหนูหลี่”
“เจ้าค่ะ ท่านไม่อึดอัดหรือเจ้าคะ”
“หากเจ้าโตกว่านี้ก็คงจะเข้าใจ”
“ข้าโตแล้วเจ้าค่ะ ที่ข้าหมายถึงคืออึดอัดอีกอย่าง ท่านไม่รู้จุดประสงค์ของพวกเขาหรือเจ้าคะ” หลี่อี้เหยาเอ่ยตามตรง นางไม่คิดจะอ้อมค้อม หากเยี่ยกวนไม่ชอบนาง และไม่ชอบการกระทำเช่นนี้ก็ควรจะบอกนางให้ชัดเจน นางจะได้บอกกล่าวกับท่านแม่ หากไม่พูดอะไร ท่านแม่ก็คงคิดว่านางชื่นชอบใต้เท้าเยี่ยกวน
“เจ้าไม่ขัดเขินบ้างเลยหรือคุณหนูหลี่”
“หึ… ไม่เจ้าค่ะ"
“เช่นนั้นก็ปล่อยผู้ใหญ่ไปเถอะ ในศาลานั้นมีหมากล้อม ไม่รู้ว่าเจ้าเล่นเป็นหรือไม่” ใต้เท้าเยี่ยกล่าว เขาไม่ยอมพูดอะไรกับนาง ทั้งยังหลีกเลี่ยงเกรงว่าเรื่องนี้น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น แต่เอาเถอะ เยี่ยฮูหยินทำให้ท่านแม่ไม่พอใจตั้งแต่ทักทายนางแล้ว ท่านแม่ก็คงไม่ชอบตระกูลเยี่ยแล้ว นางเอกก็ไม่รู้จะสนใจไปทำไม
“เล่นเป็นเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยาเดิมทีไม่ชอบเล่นหมากล้อมพวกนี้นัก แต่เพราะในอดีตมีการแข่งขันหมากล้อม หลี่อีอีมีความสามารถโดดเด่น ทำให้ผู้คนมากมายสนใจนาง และอยากเป็นสหายร่วมเดินหมากของนาง หลี่อี้เหยาใช้เวลาสามปีในการฝึกฝนหมากล้อมทุกวันจนนางมีความสามารถเหนือผู้อื่น ทุกกระดานหมากของนางล้วนคิดแล้วเกินสามก้าวเสมอ เพื่อไม่ให้นางพ่ายแพ้ แต่เพราะในอดีตใจร้อนอยู่บ้าง จึงพ่ายแพ้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ความสามารถของนางไม่ได้ถือว่าสามัญ และนางก็ฝึกฝนเรื่องนี้มาหนักมากเช่นกัน การประชันหมากระหว่างนางและใต้เท้าเยี่ยเป็นไปอย่างเนิ่นนาน ไม่รู้ผลแพ้ชนะ ใต้เท้าเยี่ยจ้องมองเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตามองกระดานหมากด้วยท่าทางสุขุม รอยยิ้มร้ายกาจที่มุมปากของนางปรากฏขึ้นทันที เมื่อนางได้รับชัยชนะ
“ข้าแพ้แล้ว”
“ขอบคุณใต้เท้าที่อ่อนข้อให้ข้าเจ้าค่ะ” หลี่อี้เหยากล่าว นางทราบดีว่าใต้เท้าเยี่ยไม่ได้พ่ายแพ้นาง หมากกระดานนี้สูสีมาก และท่าทางจะจบยาก นางไม่ยอมแพ้ คุณชายเยี่ยจึงยอมแพ้ให้นางเสียมากกว่า เพื่อจบหมากกระดานนี้ รอยยิ้มของคุณหนูหลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่เสแสร้ง ดวงตากลมโตของนางโค้งดั่งพระจันทร์ รอยยิ้มของนางดั่งแสงสว่างเฉิดฉายและงดงามเป็นอย่างยิ่ง
“ความสามารถของคุณหนูหลี่ไม่อาจดูแคลนได้เลย หากมีเวลาครั้งหน้าเราคงได้ดวลกระดานหมากกันอีกครั้ง”
“เจ้าค่ะ ข้าจะให้ท่านมาแก้มือใหม่อีกครั้ง” หลี่อี้เหยากล่าว ไม่นานก็มีคนมาตามนางให้รีบลงกลับจากเขา เพราะท่านแม่ของนางลงจากเขาไปแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มจะมืด แต่ตระกูลเยี่ยนั้นค่ำคืนนี้พวกเขาตั้งใจจะพักในวัด และค่อยกลับเมืองหลวงในวันรุ่งนี้แทนจึงไม่ได้ตามกลับลงไป