“ตระกูลเยี่ยมีปัญหาจริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ เยี่ยกวนเป็นบุตรชายอนุ เยี่ยฮูหยินไม่ชอบเขานัก ถึงได้แสดงท่าทางกับลูกของเราไม่ดี” ท่านแม่กล่าวกับท่านพ่อบนโต๊ะอาหาร หลี่อี้เหยาทำเหมือนไม่ได้ยิน และไม่ได้สนใจอะไร นางชอบทานผัดผักมากที่สุด จึงได้แต่ก้มหน้าทานผักผัดของโปรดนาง
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“วันนี้เหยาเอ๋อร์กับคุณชายเยี่ยก็ดูสนิทสนมกันดี ข้าว่าหากวันหน้าคุณชายเยี่ยแยกจวนก็ไม่เลวนะท่านพี่ จะย้ายไปประจำการเมืองอื่น พอมียศสูงขึ้นค่อยกลับมาเมืองหลวงก็คงจะดี” ท่านแม่กล่าวเป็นเรื่องเป็นราว นางเพียงแค่เล่นหมากล้อมกับคุณชายเยี่ยเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่ท่านแม่คิดเสียหน่อย
“ท่านแม่ ข้าเพียงแต่เล่นหมากล้อม อีกอย่างข้าอายุสิบสองปี ใต้เท้าเยี่ยอายุยี่สิบปีแล้วนะเจ้าคะ”
“แล้วลูกไม่ชอบคุณชายเยี่ยหรือ แม่เห็นแล้วก็รู้สึกรูปร่างหน้าตาดียิ่งนัก ดีเสียยิ่งกว่าพ่อเจ้าสมัยยังหนุ่มเลย” ท่านแม่กล่าว หลี่อี้เหยาหัวเราะเล็กน้อย ส่วนท่านพ่อก็รู้สึกเคืองใจฮูหยินเล็กน้อย
“ไม่หล่อก็จริง แต่ได้คุณหนูตระกูลจิ่งที่สูงศักดิ์มาคนหนึ่งแล้ว”
“ท่านพี่”
“ท่านแม่เจ้าคะ เรื่องพวกนั้นท่านแม่อย่าเพิ่งคิดเลยเจ้าค่ะ ข้ายังอายุน้อยอยู่เลย ทำเช่นนี้น่าอายจะตาย วันนี้ก็เพียงแต่เล่นหมากล้อมฆ่าเวลาเท่านั้น” หลี่อี้เหยากล่าว ฮูหยินจิ่งพยักหน้า หลังมื้ออาหารจึงจบลงอย่างเรียบง่าย จนกระทั่งขากลับเรือน หลี่อี้เหยาให้อาจูเดินกลับไปก่อนเพื่อเตรียมน้ำอุ่นให้แก่นาง วันนี้เดินทางทั้งวัน ควรจะต้องอาบน้ำคลายร้อนเสียหน่อย
“ดูท่าชะตาดอกท้อของเจ้าคงกำลังเบ่งบานเต็มที่สินะ ถึงได้หลงลืมนิสัยเดิม ความชอบเดิมจนสิ้น” เซวียเหลียงเฟยกล่าวทักทายหลี่อี้เหยาท่ามกลางความมืด เด็กสาวตกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายก็โผล่ตัวออกมาจากความมืด เกือบทำโคมร่วงหล่นลงกับพื้น
“พี่ชายมีอะไรหรือเจ้าคะ” หลี่อี้เหยาแสร้งทำไม่ได้ยินถ้อยคำเสียดสีของเซวียเหลียงเฟย
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ พยายามเรียกร้องความสนใจจากท่านแม่ หรือจากข้าอยู่หรือ ไม่ใช่เมื่อก่อนเจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าปรารถนาจะเป็นเพียงฮูหยินของข้าเท่านั้น หากไม่ใช่ข้าก็จะไม่แต่งกับใคร” เซวียเหลียงเฟยกล่าว หลี่อี้เหยาได้แต่มองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ การที่นางเป็นเช่นนี้ไม่ดีกับเขาอย่างไร
“พี่ชาย ในอดีตข้ายังอายุน้อย ไร้เดียงสานัก จึงได้พูดไปเรื่อย ข้าเพียงเห็นท่านเป็นบุรุษคนเดียวในจวน ท่านเป็นคนเก่ง ท่านพ่อ ท่านแม่มักชื่นชมท่าน แม้กระทั่งบ่าวไพร่ข้ารับใช้ในจวนก็เช่นกัน ทำให้ข้าพาลคิดไปว่าหากมีสามีเช่นท่านแล้ว ชีวิตจะดีขนาดไหน แต่พอโตมาจึงได้เข้าใจว่าข้าเพียงชื่นชอบความสามารถของท่าน แต่ในด้านความรู้สึกที่เหลือ ข้านับถือท่านอย่างพี่ชายคนหนึ่งเจ้าค่ะ ที่ผ่านมาล่วงเกินพี่ชายไว้มาก ข้าขออภัย” หลี่อี้เหยากล่าวออกมาอย่างชัดเจน ก่อนจะเดินจากไปทันที นางไม่เคยคิดถึงเหตุผลเช่นนี้ได้มาก่อน แต่เพราะนางมาจากช่วงเวลาอันโหดร้าย ร่างกายและความคิดของนางพัฒนาไปมาก การโกหกหน้าตายถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของนาง อีกอย่างนางในตอนก่อนที่เซวียเหลียงเฟย และท่านพ่อจะจากไปเมืองหลวงก็เป็นเพียงเด็กน้อยวัยเยาว์เท่านั้น
“เจ้าอย่ามาเสแสร้ง คนร้ายกาจเช่นเจ้าหรือจะคิดได้” เซวียเหลียงเฟยจับแขนของหลี่อี้เหยา นางนั้นเจ็บนัก แต่ทำได้เพียงเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชาเท่านั้น
“ข้าไม่ได้ชอบท่านพี่ชาย จะให้เป็นวันนี้ หรือวันหน้า คำตอบของข้าย่อมไม่มีทางเป็นท่าน ข้าไม่ได้เรียกร้องความสนใจ ข้าอยากกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ท่านจะปล่อยข้าได้หรือยัง” หลี่อี้เหยากล่าว ดวงตาของนางนั้นว่างเปล่านักยามมองมาที่เขา ทำให้เซวียเหลียงเฟยมั่นใจในความคิดของนางมากขึ้น เขาจะได้ปล่อยวางกับเรื่องนี้เสียที เพราะตลอดหลายเดือน หลี่อี้เหยาก็ไม่ได้ยุ่งกับเขาเลยแม้แต่น้อย อาหารที่ถูกวานให้มาส่งหลายครั้งก็เพียงมอบให้ฟ่านเหอแล้วกลับทันที
“ท่านพ่อต้องไปชายแดนอีกแล้วหรือเจ้าคะ” หลี่อี้เหยาที่ต้องมายืนส่งบิดาหน้าจวนก็ทำหน้าเศร้า ท่านพ่อตามใจนางมากที่สุดคนหนึ่ง มาเพียงไม่กี่เดือนก็ต้องกลับไปประจำการที่ชายแดนอีกแล้ว ไม่ใช่ท่านแม่จะไม่อยากตามไป แต่ที่นั่นอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างน่ากลัว กลางวันร้อนกลางคืนหนาว ท่านแม่อยู่ได้เพียงไม่กี่วันก็ล้มป่วย จำจะต้องอยู่เมืองหลวง
“เจ้าก็ดูแลท่านแม่ให้ดี แล้วพ่อจะรีบกลับมา”
“ต้องรีบกลับมานะเจ้าคะ”
“อืม” ท่านแม่ทัพเซวียเจิ้งยิ้มพลางลูบศีรษะของบุตรสาว หลี่อี้เหยานิสัยเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังมีความออดอ้อนเหมือนเด็กอยู่ไม่น้อย เขาทั้งรักทั้งเอ็นดูนางมากทีเดียว เขาตัดใจก่อนจะกอดร่ำลาฮูหยินของตนเองก่อนจะออกเดินทาง ความจริงเซวียเหลียงเฟยต้องออกติดตามไปพร้อมบิดา แต่เขานั้นล่วงหน้าไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หลี่อี้เหยาก็ไม่ได้สนใจในตัวเขานัก จะไปไหนมาไหนก็สุดแล้วแต่เขาเถิด นางก็มีหน้าที่ของนาง
พอความสงบคืนกลับมาหลี่อี้เหยาก็อายุครบสิบสามขวบปี นางอยู่กับท่านแม่สองคน อนุของท่านพ่อก็มีอยู่ในจวน แต่พวกนางไม่กล้าออกมาปั่นป่วน เพราะท่านพ่อเป็นคนเด็ดขาด และยกหน้าที่ทุกอย่างให้ท่านแม่คอยดูกำกับ พวกนางจึงไม่กล้าเหิมเกริม และเพราะท่านพ่อกลับมาไม่บ่อยครั้งนัก ทำให้พวกนางไม่มีใครตั้งครรภ์เสียสักคน ยิ่งทำให้ชีวิตของพวกนางยากลำบาก ความจริงหลี่อี้เหยาก็เห็นใจ แต่การที่จวนตระกูลเซวียมีฮูหยินเอกอย่างท่านแม่ก็นับว่าเป็นโชควาสนาแล้วที่พวกนางไม่ต้องถูกรังแก
หลี่อี้เหยานั้นกลับมาร่ำเรียนอย่างเข้มงวด ซึ่งนางมักได้รับคำชมจากท่านอาจารย์เสมอ นางเรียนมารยาท เริ่มต้นด้วยวิชาทั่วไปอย่างลิ่วไป่ ก้าวย่างดั่งใบหลิว วิธีการเดินจะเป็นการเดินช้า ด้วยความสง่างาม และตั้งใจ โดยเท้าวางบนพื้นอย่างแผ่วเบา และแม่นยำ ร่างกายของผู้เดินจะตั้งตรง โดยยกศีรษะขึ้นสูง และแขนที่ปล่อยอย่างสบาย การเดินถือเป็นพื้นฐานที่แสดงสถานะทางสังคม สตรีที่ได้รับการศึกษา มาจากชนชั้นสูงจะต้องมีพื้นฐานในสิ่งนี้ที่ดีมาก และมันยังต่อยอดไปสู่การเรียนเต้นรำได้ หลี่อี้เหยาแต่เดิมก็เรียนวิชานี้ได้ดีอยู่แล้ว แต่เพราะนางอยากจะฝึกฝนให้มากกว่าเดิม จึงตั้งใจเรียนยิ่งนัก
ในด้านศาสตร์ของดนตรีหลี่อี้เหยาเลือกที่จะเรียนผีผา เนื่องจากสตรีส่วนใหญ่มักนิยมเรียนกู่เจิ้ง กับซอเอ้อรหู นางจึงไม่ค่อยมีเพื่อนร่วมเรียนด้วยมากนัก จะเพียงคุณหนูไม่กี่คน ซึ่งนางก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมกับใครมากนัก แต่ละวันหลี่อี้เหยาล้วนตั้งใจเรียนเป็นอย่างยิ่ง ในอดีตนางก็เป็นคนตั้งใจเรียนมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้นางกลับทุ่มเทกับการเรียน เพื่อให้วันหน้านางมีชื่อเสียงที่ดี ท่านพ่อ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องลำบากหาบุตรเขยที่ดีมาแต่งกับนาง ชื่อเสียงก็เหมือนยอดเกสรที่หากหอมหวานสวยงามเพียงพอสักวันก็ต้องมีหมู่ภมรมาให้ความสนใจแก่นางอยู่บ้าง โดยที่ไม่ต้องพยายามมากเกินไป
ด้านการเรียนบทกวีของหลี่อี้เหยาก็เช่นกัน ท่านแม่ส่งนางมาเรียนในสำนักศึกษาของสตรีโดยมีอาจารย์มาเป็นผู้สอนสั่ง อาจารย์ก็มีหลายคน แต่ที่เห็นเด็กสาวจะนิยมมากที่สุดก็คือท่านอาจารย์จาง เขาเป็นบุรุษที่หล่อเหลา เป็นบัณฑิตที่อายุยังน้อย มีความเชี่ยวชาญในด้านศาสตร์ของบทกวี มีชื่อเสียงไม่น้อย ทั้งยังเป็นคุณชายที่มีรูปหน้าหวาน เป็นที่ชื่นชอบของเด็กสาวมากที่สุด แม้แต่นางที่ไม่ค่อยจะรู้สึกอะไร บางคราก็ยังอดขัดเขินขึ้นมาไม่ได้
“หลี่อี้เหยา เจ้าจะทำตัวเป็นเด็กเรียนไปอีกนานแค่ไหน ท่านอาจารย์จางหล่อเหลาปานนี้ เจ้ายังมัวแต่อ่านหนังสืออยู่อีก” คุณหนูตระกูลว่านกล่าว ก่อนจะโยนตำราบทกวีในมือของนางทิ้ง พลางลากนางไปทางที่อาจารย์จางกำลังสอนศิษย์อีกกลุ่มหนึ่ง หลี่อี้เหยาได้แต่นั่งถอนหายใจรวมกลุ่มอยู่กับเหล่าคุณหนูคนอื่น โดยไม่ได้สนใจเลยว่าการที่นางนั่งหันหลัง ทำให้นางนั้นหนีไม่ทัน อาจารย์จางที่เหลือบเห็นเหล่าคุณหนูแอบมองก็ได้แต่ลุกขึ้นมาเพื่อตำหนิกลุ่มเด็กสาว ทว่า… พวกเหล่าคุณหนูพากันหนีหัวซุกหัวซุน ทิ้งหลี่อี้เหยานั่งถอนหายใจโดยไม่รู้เรื่องราวอันใด
“คุณหนูหลี่ เดิมทีข้าคิดว่าท่านเป็นเด็กตั้งใจเรียน” ท่านอาจารย์จางตำหนิหลี่อี้เหยาในวัยสิบสี่ขวบปีที่กำลังสวมชุดสีชมพูอ่อนอมแดง ใบหน้าของนางมองซ้ายมองขวา …เจ้าพวกบัดซบทิ้งนางหมดเสียแล้ว กลายเป็นนางถูกท่านอาจารย์จางจับได้
“ข้าไม่ได้”
“โกหกไม่ใช่วิสัยของผู้มีการศึกษา”
“ตะ…”
“คัดตำราหลี่จี้สิบจบมาให้ข้าก่อนยามเหม่า ไม่เสร็จไม่ต้องกลับบ้าน"
“ทะ ท่านอาจารย์จางเจ้าคะ” หลี่อี้เหยาพยายามร้องเรียกขอความเมตตาท่านอาจารย์จาง แต่ทว่า… ท่านอาจารย์จางส่ายหน้าก่อนจะเดินหนีกลับไปสอน เหล่าคุณหนูทั้งหลายที่แอบอยู่ต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยหลี่อี้เหยาก่อนจะพากันไปเรียนตามแต่ละวิชา ส่วนหลี่อี้เหยาจำต้องหยุดเรียนวิชาอื่นเพื่อมานั่งคัดตำราหลี่จี้ที่เป็นตำราเกี่ยวกับมารยาท อาจารย์จางเจตนาด่าทอนางว่าไร้มารยาทโดยแท้ นางนั่งคัดตำราหลี่จี้จนปวดมือไปหมด กว่าจะได้หนึ่งเล่ม ที่นี่แม้แต่สาวใช้สักคนก็ไม่มีตามมารับใช้
“คุณหนูหลี่ ท่านยังไม่กลับบ้านอีกหรือ” ท่านอาจารย์จางในชุดสีขาวเดินเข้ามาหานาง หลี่อี้เหยาเกือบจะถอนหายใจใส่เขา แต่เพราะแม้จะอายุห่างกันไม่เท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายเป็นมหาบัณฑิตที่ได้รับการยอมรับ และยกย่องอย่างสูง วันหน้าเขาจะได้รับราชการในราชสำนักกรมอาลักษณ์ แต่ก็ไม่ได้ยุ่งกับการเมือง ดำรงตนเป็นคนกลางเป็นอาจารย์ที่มีเกียรติยิ่งใหญ่มากผู้หนึ่ง นางจึงไม่สามารถล่วงเกินเขาได้โดยเด็ดขาด
“ข้ายังคัดไม่เสร็จ ได้เพียงสี่เล่มเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงทำกิริยาซุกซนเช่นนั้น มันไม่ใช่วิสัยของเจ้า”
“ข้ายังเด็ก จะทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้เชียวหรือเจ้าคะ”
“หากอยากเห็นข้าก็มองหน้าข้าสิ จะก้มหน้าทำไม” ท่านอาจารย์จางกล่าว หลี่อี้เหยาเงยหน้าขึ้นมองท่านอาจารย์ที่กำลังยิ้มให้แก่นาง ความรู้สึกแปลกประหลาดผันผ่านในแววตาของนาง หลี่อี้เหยากัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าอีกครั้ง “ที่เช่นนี้เจ้ากลับเขินอาย ไม่กล้ามองหน้าข้า แต่กลับแอบมองข้าจากไกลๆ เช่นนั้นนับว่าดีกว่าหรือ”
“ขะ ข้าไม่ได้อยากมองท่านอาจารย์ แต่คนอื่นมาลากข้าไปนั่งมองท่านต่างหาก ที่ข้าหนีไม่ทัน เพราะไม่ได้มองท่าน” หลี่อี้เหยาตอบตามตรง นางกลัวความรัก ไม่ใช่กลัวบุรุษอื่น แต่กลัวตัวนางเองจะไม่อาจควบคุมจิตใจ ความประพฤติการกระทำของตนเอง นางจึงมักหลีกเลี่ยงที่จะสนทนา หรือให้ความสนใจบุรุษอื่น
“เจ้าไม่ชอบข้าเหมือนผู้อื่นหรือ”
“ทะ ท่านอาจารย์เหตุใดท่านเอ่ยเช่นนั้นเจ้าคะ” หลี่อี้เหยากล่าว จางฮั่นเจ๋อมองหน้าสตรีแน่งน้อยที่ยังเยาว์วัยตรงหน้า หลี่อี้เหยาเป็นสตรีที่งดงาม เฉลียวฉลาด ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร กิริยามารยาทล้วนดีเยี่ยม ไม่เคยรังแกผู้อื่น กดขี่ผู้ใด แม้แต่ถ้อยคำเหยียดหยามก็ไม่มี แต่ละวันมักจะก้มหน้าก้มตาเรียน ถึงเวลาก็กลับจวนไม่สุงสิง ทำตัวไม่ดีเลยแม้แต่น้อย จางฮั่นเจ๋อมาจากตระกูลที่ไม่ได้สูงนัก เขาตั้งใจอย่างมากกว่าจะมาถึงตรงนี้ สตรีแน่งน้อยตรงหน้าไม่เพียงมีหน้าตารูปโฉมที่เขาพอใจ แต่กลับมีนิสัยที่เขาก็พอใจอย่างมากเช่นกัน …น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่ในสายตาของนาง และเขาในตอนนี้ก็ยังนับว่าต่ำต้อยเกินไป
“เพียงอยากบอกให้เจ้ารู้เท่านั้นว่าในใจของข้าคิดอย่างไร หากเจ้าอยากเห็นหน้าข้า ข้าจะให้เจ้ามองโดยที่เจ้าไม่ต้องแอบ” ท่านอาจารย์จางกล่าว หลี่อี้เหยาพลันรู้สึกร้อนที่หน้าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในอดีตท่านอาจารย์จางไม่เคยสนใจนางเลยแม้แต่น้อย เหตุใดกันที่ตอนนี้นางกลับอยู่ในสายตาของเขา ถึงขั้นพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
“ทะ ท่านเป็นอาจารย์ของข้า”
“เจ้าเลิกเรียนเมื่อใด ข้าก็ไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าแล้วคุณหนูหลี่”
“เช่นนั้นท่านยังให้ข้าคัดตำราหลี่จี้หรือไม่”
“เจ้าเปลี่ยนเป็นคัดกวีลำนำผีผาก็ได้ หึ.. เอาเถอะ กลับจวนได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน" ท่านอาจารย์จางกล่าว หลี่อี้เหยารีบวางมือทิ้งจากพู่กัน และกระดาษก่อนจะรีบลุกอย่างเสียมารยาท แล้วเดินหนีหายไปที่รถม้า อาจูทักทายคุณหนู แต่นางก็ไม่ยอมตอบอะไร เพียงนั่งครุ่นคิดถึงท่านอาจารย์จาง บทกวีลำนำผีผาก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไป เกรงว่าที่เขาหมายถึงจะไม่ใช่เรื่องลำนำบทกวีอะไรพวกนั้น แต่หมายถึงนางที่เล่นผีผาเสียมากกว่า แต่จะเอ่ยถึงทำไมในเมื่อบทกวีมันเป็นเรื่องเศร้า…
“คุณหนู ท่านเหม่อลอยคิดถึงเรื่องอะไรอยู่เจ้าคะ” อาจูถามหลี่อี้เหยาที่กำลังนั่งเหม่อลอยไม่ได้ฟังในสิ่งที่นางพูดเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่คิดถึงเรื่องเรียนเท่านั้น” หลี่อี้เหยากล่าว พอมาถึงจวนก็ค่ำแล้ว เลยเวลาทานอาหารไปเสียแล้ว แต่ท่านแม่ก็ไม่ได้ตำหนิอะไร อีกทั้งมื้อเย็นนางก็ไม่ชอบทานเสียเท่าไหร่จึงได้เข้าไปนอนหลับพักผ่อนตามประสาเท่านั้น
ในอีกวันก็เป็นวันที่นางจะต้องไปเรียนเหมือนเดิม หลี่อี้เหยาแต่งกายเรียบง่ายไม่ค่อยแต่งกายมากนัก ชุดที่นางชื่นชอบก็เป็นชุดที่มีสีสัน พออายุมากไปแล้วจะกลับมาสวมใส่ของพวกนี้ก็คงทำไม่ได้อีก ที่คนอายุมากชอบให้บุตรหลานสวมใส่อะไรที่สดใส หลี่อี้เหยาแม้จะไม่ได้สดใสตามสีสันของผ้านัก แต่นั่นก็ทำให้จิตใจของนางสดชื่นไปด้วยไม่ต่างกัน
“หลี่อี้เหยา เมื่อวานมีคนมาบอกข้าว่าเจ้าได้คุยกับท่านอาจารย์จางหรือ” คุณหนูเซี่ยหลินหลินกล่าวก่อนจะล้มตัวนั่งลงตรงหน้านางพร้อมกับคุณหนูหลายคนที่เป็นสมุนของนาง สีหน้าของเซี่ยหลินหลินไม่พอใจนัก ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลของบัณฑิต บิดาของนางเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่นี่ ฐานะของนางไม่ถือว่าต่ำ ไม่ถือว่าสูง ลูกศิษย์มากมายใต้หล้าที่เติบโตยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นลูกศิษย์ของบิดานาง ปู่นางทั้งนั้น แม้แต่โอรสสวรรค์ก็ตามที ย่อมไม่ใช่คนที่นางสามารถหาเรื่องได้