2

2554 Words
                             “เฮ้อ… เหนื่อย” ช่วงสายของวัน ขณะที่จุ๊บจิ๊บกำลังเพ่งสายตามองไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊ก เพื่อนั่งอ่านข้อมูลและเตรียมเอกสารการสมัครงานอยู่นั้น เขาก็ได้พูดขึ้นเบา ๆ พร้อมกับหยุดทำทุกอย่าง เมื่อเริ่มรู้สึกปวดตาขึ้นมา                 หลังในตอนนี้จุ๊บจิ๊บกำลังนั่งเตรียมเอกสารที่จะต้องใช้ในการสมัครงานในหลาย ๆ ที่อยู่ เนื่องจากเขาตั้งใจว่าเมื่อตัวเองอยู่ในบ้านหลังนี้จนครบหกเดือนตามสัญญาแล้ว เขาก็จะเริ่มทำงานต่อเลย เพราะเงินจำนวนเจ็ดหลักที่จุ๊บจิ๊บจะได้ครบหลังจากที่จบงานนี้ มันคงไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขาใช้จ่ายได้ตลอดทั้งชีวิตหรอก                 “โทรมาพอดีเลยแฮะ” ระหว่างที่กำลังนั่งพัก เสียงของจุ๊บจิ๊บก็ได้ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเครื่องมือสื่อสารของเขาดังขึ้น ซึ่งก็เป็นแม่ผัวของเขานั่นแหละที่โทรมาหา                 “สวัสดีครับ คุณแม่” จุ๊บจิ๊บพูดกับปลายสายก่อน โดยเขาก็ได้เรียกคุณนายเอื้องด้วยสรรพนามที่เธออยากได้ยิน                 [เป็นยังไงบ้าง นอนอยู่ที่นั่นคืนแรก เธอเจออะไรหรือเปล่า?]                 “ผีน่ะเหรอครับ”                 [ไม่ใช่ผี] คุณนายเอื้องตอบกลับมาทันที ทำเอาจุ๊บจิ๊บถึงกับขมวดคิ้วแล้วก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เมื่อคุณนายเอื้องเอ่ยประโยคถัดมา [ฉันหมายถึงลูกชายของฉัน เธอเจอบ้างหรือเปล่า?]                 “แล้วลูกชายของคุณนายเอื้องไม่ใช่ผีเหรอครับ ในเมื่อเขาตายไปแล้ว” จุ๊บจิ๊บถามออกไปอย่างที่คิด ก่อนที่ในหลังจากนั้นทั้งจุ๊บจิ๊บและตัวของคุณนายเอื้องเองจะต่างเงียบไปพร้อม ๆ กัน                 [….]                 “ผม…ผมขอโทษครับ” จุ๊บจิ๊บพูดเสียงแผ่ว หลังต่อมความรู้สึกผิดของเขาเริ่มทำงานขึ้นมา เพราะการที่เขาพูดแบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากการไปสะกิดแผลใจของเธอเลย และการสูญเสียลูกชายของตัวเองมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก หากจะต้องทำใจยอมรับมัน                 [ไม่เป็นไร เพราะมันก็จริงของเธอนั่นแหละ เจนเขาตายไปแล้ว…] คุณนายเอื้องตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย                 “….”                 [แล้วสรุปเธอเจอเขาบ้างไหม?] คุณนายเอื้องกลับเข้าประเด็นอีกครั้ง                 “ถ้าเห็นเป็นตัวเป็น ๆ เลย ผมไม่เห็นหรอกครับ แต่ผมก็รู้สึกนะว่าเขายังอยู่จริง ๆ” จุ๊บจิ๊บว่า โดยในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เริ่มไล่เรียงเหตุการณ์ว่าตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ และประกาศตัวว่าเป็นเมียของคุณเจน เขาเจออะไรแปลก ๆ บ้าง                 [แล้ว…เขาทำอะไรเธอหรือเปล่า?]                 “ไม่นะครับ คุณเจนไม่ได้มาทำอะไรผม แต่เขาก็แค่พยายามแสดงตัว เพื่อบอกให้ผมรู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่” จุ๊บจิ๊บพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด                 [ดีแล้วล่ะ ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรเธอก็ดีแล้ว]                 “ทำไมเหรอครับ ปกติแล้วคุณเจนเขาไม่ได้เป็นแบบนี้เหรอ” จุ๊บจิ๊บถามต่ออย่างนึกสงสัย                 [ก็พอตัวนะ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่ชอบให้คนนอกเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับบ้านเขาเท่าไร แล้วเวลาที่ฉันจ้างแม่บ้านให้เข้าไปทำความสะอาดให้ก็มักจะเจอดีกันทุกราย จนสุดท้ายเวลาที่แม่บ้านจะเข้าไปทำความสะอาดที แม่บ้านก็ต้องพากันเข้าไปพร้อมกันเป็นสิบคน]                 “….”                 [ฉันโทรมาถามเธอก็แค่เท่านี้แหละ ถ้าเธอยังอยู่ได้ก็โอเคแล้ว]                 “ครับ ไว้ถ้ามีอะไร ผมจะโทรกลับไปถามนะครับ”  เมื่อวางสายจากคุณนายเอื้องแล้ว จุ๊บจิ๊บก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเกือบห้านาที แล้วค่อยลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำและหาอะไรกินอีกยก หลังความหิวของเขาเริ่มทำงานอีกครั้ง                 “ข้างหลังบ้านคุณเจนก็ลมพัดเย็นสบายอยู่นะเนี่ย” ขณะที่กำลังทิ้งตัวลงกับพื้นพร้อมกับจานมะม่วงน้ำปลาหวาน จุ๊บจิ๊บก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ เมื่อเขาได้เดินไปเปิดประตูด้านหลังบ้านดู ซึ่งด้านหลังบ้านของคุณเจนนั้นมันก็ค่อนข้างเป็นสถานที่ปลอดโปร่ง มีลมพัดเย็นสบาย ทำเอาจุ๊บจิ๊บอดใจไม่ไหวต้องขอนอนกินมะม่วงที่พื้นพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ไปด้วย                 สถานะตอนนี้จุ๊บจิ๊บกลายเป็นคนว่างงานโดยสมบูรณ์แบบ                 หลังเลื่อนดูโซเชียลของตัวเอง แล้วเห็นเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ ที่เรียนในรุ่นเดียวกันโพสต์หรือบ่นเรื่องงานประจำ จุ๊บจิ๊บก็แอบชะงักไปเล็กน้อย เพราะจนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ทำงานเหมือนอย่างเพื่อน ๆ เลย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีงานจนถึงตอนนี้ มันก็อาจเป็นเพราะว่าจุ๊บจิ๊บใฝ่สูงเกินไป อยากทำงานในบริษัทใหญ่และไม่อยากรับเงินเดือนแค่หมื่นสองแหละมั้ง                 “นี่แหละน้า… เป็นคนเรื่องมาก มันก็เลยไม่มีงานมาจนถึงตอนนี้ ทำใจเถอะนะจุ๊บจิ๊บ” หลังปิดหน้าจอโทรศัพท์และวางมันไว้บนหน้าท้องแล้ว เสียงของจุ๊บจิ๊บก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเคี้ยวมะม่วงไปด้วย โดยหลังจากนั้นเพียงไม่นานนัก จุ๊บจิ๊บก็ได้ปิดตาลงอย่างช้า ๆ เพราะเขาตั้งใจว่าจะขอนอนกลางวันสักงีบแล้วค่อยลุกขึ้นไปปรับแก้เรซูเม่ของตัวเองต่อ                   ในตอนนี้จุ๊บจิ๊บน่าจะกำลังฝันอยู่ เขาคิดอย่างนั้น                 ระหว่างที่กำลังนอนกลางวันอยู่หลังบ้าน ณ ที่เดิม จุ๊บจิ๊บก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ หลังเขากำลังรู้สึกว่าตัวเองถูกลูบหัวคล้ายกับกล่อม เพื่อให้จุ๊บจิ๊บรู้สึกหลับสบายยิ่งกว่าเดิม ซึ่งคนที่คอยลูบหัวให้เขาอยู่นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็นคุณเจนสามีของจุ๊บจิ๊บนั่นแหละ                 “พี่เจน…” เมื่อได้สบตากับอีกคนแล้ว จุ๊บจิ๊บก็พูดขึ้นทันที                 “เป็นไง ชอบไหม?” คุณเจนถามกลับมาทั้งรอยยิ้ม และในขณะเดียวกันนั้นอีกฝ่ายก็ยังคอยลูบหัวให้จุ๊บจิ๊บอยู่อย่างนั้น                 “ชอบครับ”                 “งั้นเดี๋ยวเจนจะคอยลูบหัวให้นะ จุ๊บจิ๊บหลับเถอะ”                 “อื้อ!” เมื่อขานรับเรียบร้อยแล้ว จุ๊บจิ๊บก็หลับตาลงอีกครั้ง เพื่อปล่อยให้สามีลูบหัวของตัวเองต่อ             จุ๊บจิ๊บหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เขาถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากเสียงโทรศัพท์อีกแล้ว…                 “ฮัลโหล ว่ายังไงออย” หลังเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทที่โทรมาหา จุ๊บจิ๊บจึงกดรับสายแล้วถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงงัวเงีย                 [ทำไมเสียงมึงเป็นงั้นวะ นี่มึงนอนกลางวันเหรอ?] ปลายสายถามกลับมา                 “อือ ตอนนี้กูกำลังนอนกลางวันอยู่ มึงมีอะไร”                 [อ๋อ พอดีกูจะชวนไปกินแจ่วฮ้อนตอนเย็นนี้อะ มึงไปไหม เพราะเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะมึง]                 “ที่ร้านเดิมเหรอ”                 [ใช่ ไปไหม? เดี๋ยวกูเลี้ยงเบียร์ก็ได้]                 “มึงสัญญาแล้วนะ งั้นกูไปก็ได้ แล้วเราจะเจอกันตอนกี่โมงอะ” จุ๊บจิ๊บถามต่อ                 [เจอกันสักหกโมงก็ได้ กูเลิกงานพอดี]                 “เค ๆ งั้นเจอกันร้านเดิม” หลังกดวางสายจากเพื่อนไปแล้ว จุ๊บจิ๊บถึงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นด้วยเสียงโอดครวญ เพราะการนอนพื้นแข็ง ๆ แบบที่ไม่มีอะไรมาปูรอง มันทำให้เขารู้สึกปวดหลัง                 “เอ๊ะ! แล้วเมื่อกี้เราฝันนี่นา” ในเวลาต่อมา จุ๊บจิ๊บก็ได้พึมพำต่อด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย เมื่อเขาเพิ่งจะนึกได้ว่าระหว่างที่ตัวเองกำลังหลับอยู่นั้น จุ๊บจิ๊บมีการฝันถึงคุณเจนด้วย                  แล้วเพราะอย่างนั้น… นั่นจึงทำให้ในเวลาต่อมาจุ๊บจิ๊บก็ได้ใช้มือของตัวเองสัมผัสตรงบริเวณที่ถูกคุณเจนลูบทันที ก่อนที่เขาจะเริ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัว เพราะฝันกลางวันของเขานี้มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน                 “เราคิดไปเองหรือเขามาเข้าฝันจริง ๆ วะ” จุ๊บจิ๊บเอ่ยต่อเสียงแผ่วพร้อมหยิบจานมะม่วงและลุกขึ้น เพื่อเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ซึ่งพอเขาเดินกลับเข้ามาด้านในแล้ว จุ๊บจิ๊บก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ หลังโพสอิตที่คุณเจนเขียนเอาไว้ให้ในตอนแรกและจุ๊บจิ๊บก็ได้ติดมันเอาไว้บนโน้ตบุ๊ก ในตอนนี้มันเหลือเพียงแค่กระดาษโพสอิตเปล่า ๆ เท่านั้น ไม่มีรอยน้ำหมึกหลงเหลืออยู่เลย                 ราวกับว่าโพสอิตใบนี้ มันไม่เคยถูกเขียนมาก่อน                 “หายไปหมดเลยเหรอ ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่เลย” เมื่อพยายามเพ่งสายตามองหาร่องรอยน้ำหมึกที่น่าจะติดอยู่บนกระดาษแล้ว จุ๊บจิ๊บก็ต้องพึมพำต่ออีกครั้งด้วยความพิศวง                   “ตอนนี้มึงกำลังทำอะไรอยู่เหรอ”                 “หืม กูเหรอ?”                 “ใช่ กำลังทำงานอะไรอยู่”                 “อ๋อ กูยังไม่ได้ทำงานหรอก” ในช่วงเย็นของวัน ระหว่างที่กำลังนั่งกินมื้อเย็นกับเพื่อนที่ร้านอาหารเจ้าประจำอยู่นั้น จุ๊บจิ๊บก็ได้ตอบออยเสียงแผ่วพร้อมคีบวุ้นเส้นเข้าปากของตัวเองด้วย                 “ยังไม่ได้ทำงาน แล้วมึงเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย?” ออยถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “จุ๊บจิ๊บ ตอนนี้มึงกำลังเดือดร้อนหรือเปล่าเนี่ย มึงบอกกูได้นะ”                 “เปล่า ๆ ตอนนี้กูไม่ได้เดือดร้อนอะไร”                 “….”                 “ถึงกูจะยังไม่ได้ทำงานก็จริง แต่กูก็มีจ็อบเสริมอยู่นะ”                 “แล้วจ็อบเสริมที่ว่าของมึง คืองานอะไรเหรอ?” ออยถามอย่างข้องใจ                 “ก็… รับงานฟรีแลนซ์ไง พอดีมันมีเว็บหนึ่งที่มีเอาไว้จ้างงานพวกฟรีแลนซ์อะ กูก็ไปลงผลงานของตัวเองไว้ที่นั่น มันก็มีคนคอยเข้ามาจ้างงานอยู่นะมึง เข้ามาเรื่อย ๆ เลย” จุ๊บจิ๊บบอกเพื่อนสนิททั้งหน้าซื่อ ซึ่งนั่นก็เป็นแค่รายได้ส่วนหนึ่งของจุ๊บจิ๊บเท่านั้นและก็ไม่ใช่จ็อบทั้งหมดที่เขาทำด้วย                 “ถ้าอย่างนั้นก็โอเคแล้ว เพราะกูก็เป็นห่วงมึง บอกให้สมัครพวกบริษัทเล็ก ๆ ไปก่อนก็ไม่เอา”                 “ก็กูมองว่ามันไม่คุ้มอะ ค่าเทอมกูยังจ่ายแพงกว่าเงินเดือนอีก ซึ่งทำไปมันก็ไม่พอกินอยู่ดี” จุ๊บจิ๊บว่า                  เนื่องจากเงินเดือนที่จะได้รับในแต่ละเดือนนี้ มันไม่ใช่แค่รายรับเพียงอย่างเดียว แต่เขายังต้องหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่พ่วงมากับงานออกด้วย ทั้งพวกเรื่องค่าเดินทาง ค่าประกันสังคม ไหนจะรายจ่ายยิบย่อยที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอีก ซึ่งไม่ว่าจุ๊บจิ๊บจะมองมุมไหน เงินเดือนหมื่นสองถึงหมื่นห้ามันก็ไม่พอกินหรอก                 “ตามใจมึงก็แล้วกัน กูก็แค่อยากให้มึงได้ทำงานแล้วก็เท่านั้นแหละ เพราะรับฟรีแลนซ์แบบนี้ก็ใช่ว่ารายได้จะแน่นอนเสียหน่อย” ออยตอบกลับมา พลางรินเบียร์อีกแก้วให้จุ๊บจิ๊บ ซึ่งจุ๊บจิ๊บกับออยก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว                 “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะมึง แต่ว่าตอนนี้กูก็เริ่มดู ๆ พวกงานประจำของบริษัทไว้แล้วแหละ” จุ๊บจิ๊บเอ่ยแล้วระบายยิ้มออกมาจนตาหยี เนื่องจากเขาไม่อยากให้ออยรู้สึกเป็นห่วงกัน                 “อืม ถ้าได้งานแล้วก็บอกด้วยนะ กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ออยว่า ก่อนที่เธอจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงานร้านต่อ “โต๊ะหก เอาตำป่าไม่เผ็ดหนึ่งจานค่ะ”                 “เออ แล้วที่อยู่ใหม่ของมึงอยู่ที่ไหนวะ? เห็นมึงบอกกูว่าย้ายที่อยู่แล้ว แต่ยังไม่บอกกูเลยว่าอยู่ที่ไหน” ออยถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้                 “อ๋อ ช่วงนี้กูจะอยู่แถวปิ่นเกล้าอะ แต่ว่าเป็นที่อยู่ชั่วคราวนะ”                 “ฮะ? ยังไงวะ คือมึงมีแพลนจะย้ายที่อยู่อีกรอบงั้นเหรอ”                 “อืม อีกประมาณหกเดือนหน้ากูก็จะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่อีกรอบ” จุ๊บจิ๊บพยักหน้ารับ โดยเขาก็ไม่ได้ขยายความให้เพื่อนฟังต่อว่าทำไมเขาถึงต้องย้ายที่อยู่ใหม่ แล้วอะไรที่ทำให้จุ๊บจิ๊บต้องย้ายไปอยู่แถวปิ่นเกล้า                   ในช่วงสี่ทุ่มของวัน                 “จุ๊บจิ๊บ… มึงแน่ใจใช่ไหมว่าบ้านหลังนี้อะ นี่มึงย้ายมาอยู่ในบ้านใครวะ กูก็เข้าใจว่ามึงย้ายมาอยู่คอนโดแถวปิ่นเกล้าเฉย ๆ นะเนี่ย”                 “ใช่ ๆ บ้านหลังนี้แหละ มึงจอดเลย! เดี๋ยวกูเดินเข้าไปเอง” หลังเห็นว่าเพื่อนกำลังจะขับเลยบ้าน จุ๊บจิ๊บที่เริ่มเมาเบียร์แล้ว ก็รีบส่งเสียงร้องทันที เพื่อบอกให้เพื่อนสนิทจอดส่งตัวเองไว้ที่นี่                 “นี่มึงมั่วหรือเปล่าวะ ใช่บ้านหลังนี้จริงเหรอ” ออยยังคงถามต่ออย่างข้องใจ เนื่องจากเธอคิดว่าตัวเองอาจสื่อสารกับเพื่อนสนิทคลาดเคลื่อนไป เพราะในตอนนี้จุ๊บจิ๊บก็กำลังเมาได้ที่                 “ไม่มั่ว ๆ บ้านหลังนี้แหละ ไว้เจอกันใหม่นะมึง” จุ๊บจิ๊บเอ่ยพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถทันที ซึ่งออยเองก็ยังไม่ได้รีบขับรถออกไปแต่อย่างใด เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีการเปิดไฟไว้สักดวงนี้ จะเป็นบ้านที่เพื่อนของเธอย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราว                 “พี่เจนค้าบบบ มาเปิดประตูให้จุ๊บจิ๊บหน่อยค้าบ” หลังจุ๊บจิ๊บเดินไปหยุดที่หน้าประตูรั้วบ้านแล้ว คนตัวเล็กก็ส่งเสียงโวยวายลั่นพร้อมกับกดออดที่หน้าบ้านระรัว เพื่อเรียกให้เจ้าของบ้านตัวจริงออกมารับ                  โดยในหลังจากนั้นเพียงไม่นานนัก ประตูรั้วขนาดใหญ่ก็ค่อย ๆ ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท และนั่นก็ทำให้ออยรีบลดกระจกรถลงพร้อมเอ่ยถามทันที                 “อ—เอ่อ ขอโทษนะคะ นี่คุณเป็น?”              “ผมชื่อเจน เป็นสามีของจุ๊บจิ๊บครับ” พูดจบ ชายที่ชื่อเจนก็จัดการอุ้มร่างจุ๊บจิ๊บขึ้นพาดบ่า แล้วพาเข้าไปในบ้านทันที และหลังจากที่ประตูบ้านถูกปิดลงแล้ว เสียงของหมาจรจัดที่อาศัยอยู่แถวนั้นก็ต่างส่งเสียงร้องระงมราวกับคนร้องไห้   แท็ก #แต่งกับผี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD