แถบเอเชียเมื่อสามวันก่อน...
ช่วงเช้ามืดในวันเวลาปกติที่เตียร์จะต้องเลิกงานและกลับที่พัก เธอจะไม่หัวเสียเลยถ้าจักรยานคันโปรด ที่ใช้ขี่อยู่ทุกวันไม่ถูกขโมย หญิงสาวขมวดคิ้วยุ่งเหยิงสีหน้าไม่สู้ดี กระนั้นทำได้แค่พ่นลมหายใจแรงๆ สำหรับเธอจะมีประโยชน์อะไรหากจะโวยวาย ระบายอารมณ์คุกรุ่นกลางลานกว้างที่เงียบสงัดแบบนี้
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
อุปสรรคที่เจอกลายเป็นความเคยชิน เธอเองก็รู้ถิ่นฐานที่พักอาศัยอยู่ไม่ได้ดีนัก หลายเดือนที่อยู่มาไม่โดนยกเค้า ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว สาวเจ้าจึงตัดสินใจใช้ทางลัด โดยการเดินลัดเลาะตัดผ่านตรอกซอยหวังประหยัดเวลา ขณะดึงหูฟังขึ้นมาเสียบหูฟังเพลงไปด้วย แต่เหมือนอุปสรรคจะไม่ได้มีแค่นั้น เมื่อเธอเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่บนราวสะพาน แผ่นปูนหนาตรงกลางที่พาดไว้อย่างแข็งแรงระหว่างฝั่งเชื่อมต่อกัน ข้างล่างคือแม่น้ำขนาดใหญ่ทั้งลึกและเชี่ยว สุดปลายทางจะไหลไปบรรจบกับทะเล
“อะไรวะนั่น”
เธอพึมพำเสียงเบาหวิวพอได้ยินแค่ตัวเอง เพ่งสายตาไปยังจุดนั้น จุดที่เห็นร่างสูงยืนอยู่ สัญญาณไม่ดีเกิดขึ้นภายใต้จิตสำนึก ดึงดูดเธอให้เดินเข้าไปใกล้กว่านั้นอีก ไม่แปลกที่บริเวณนี้ ช่วงหัวรุ่งจะไร้ผู้คนสัญจร ก่อนเท้าคู่จะหยุดกึกแล้วเลี้ยวหัวกลับทางเดิม สัญชาตญาณอีกด้านบอกว่าเธอไม่ควรมาเห็นเลยด้วยซ้ำ..
“ไม่เอาน่า ช่างปะไรสิ”
แต่แล้ว เดินไปไม่กี่ก้าวกลับต้องหยุดกึกอีกรอบ หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นสูง ดวงตากลมโตตอนนี้เห็นท้องฟ้าดำครึ้ม พลันพ่นลมหายใจออกมาจนสุด
“อยากจะเป็นคนพลเมืองดีขึ้นมาทำไมตอนนี้!”
กัดฟันกรอด ก่นด่าตัวเอง
ไม่นานสมองระหว่างขาวกับดำที่ถกเถียงกันตลอดทาง ก็พาเท้าคู่นั้นเดินมาถึง เธอหยุดยืนอยู่ข้างหลังเขา ในท่ามือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมตัวใหญ่ พร้อมสายตาว่างเปล่าทอดมอง สังเกตจากแผ่นหลังกว้างไม่ต้องเห็นหน้าก็พอจะรู้เขาไม่ใช่คนเอเชียเหมือนกันกับเธอ ในขณะเธอเองหาใช่คนเอเชียร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ เลือดแม่อีกครึ่งหนึ่งจึงช่วยได้ หากจะใช้อีกภาษาหนึ่ง
“อกหักหรือไง?”
ประโยคห่ามๆ ดังออกมาจากเสียงใส ทำร่างสูงสะดุ้งโหยง หันกลับมามองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเธอเลิกคิ้วสูง ไม่ใช่เพราะรอคำตอบ แต่แปลกใจกับใบหน้าของเขา
“ไม่ใช่คนที่นี่จริงๆ ด้วยแฮะ..”
ต่อให้สวมแว่นซะจนหนาเตอะเห็นไม่ชัดกับดวงตาคมเข้ม และดึงหมวกติดเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับ ทว่าจมูกโด่งที่ยื่นออกมาจนเห็นชัดเจนนั้น ก็ไม่ได้อำพรางเชื้อชาติของเขามิดชิดสักเท่าไหร่
“ลงมา...”
เธอสั่งเสียงทุ้ม แสดงสีหน้าท่าทางไม่พอใจออกมาให้เห็นกันชัดๆ ประหนึ่งเขานั้นทำเธอเสียเวลา ไม่ได้สนใจสาเหตุที่เกิด ถึงกับทำเขาเอียงคอ เลิกคิ้วสูงกลับมาบ้าง เพียงแต่ไม่ทันได้อ้าปาก
“หูหนวกหรือไง? !” แต่ตรงหน้าที่กำลังโวยวายได้ยึดแย่งบทบาทไปจนหมดสิ้น “อยากตายทำไมไม่กลับไปตายที่บ้าน”
สร้างความงุนงงให้ร่างสูงที่ยืนเบียดอยู่กับเหล็กสะพานไม่น้อย ถึงท่านี้จะดูหวาดเสียว แต่ก็ใช่ว่าจะกระโดดลงไปได้ง่าย เขาเพียงแค่อยากจะรับลม ฆ่าเวลาระหว่างรอให้เช้าเพื่อจะหาที่พัก
“มีอะไรให้ผมช่วยอย่างนั้นหรือครับ?”
“ว่าไงนะ”
เตียร์ถึงกับต้องปลดหูฟังออกมาอีกข้าง หลังได้ยินประโยคนี้แล้วคิดว่าหูตนเองเพี้ยนฝาด
“ผมเห็นพี่เรียกให้ผมลงมา ก็นึกว่ามีอะไรให้ผมช่วย หลงทางหรือครับ?”
ริมฝีปากเป็นกระจับห่างออกจากกันเล็กน้อยด้วยความเหวอ ในขณะสมองกำลังประมวลคำที่เขาพูด และคิดว่าอารมณ์ของเธอตอนนี้อยากจะแยกเขี้ยวใส่เขาเลยด้วย
“หลงทาง? พูดอะไรของนาย นี่มันถิ่นฉัน นายนั่นแหละเป็นบ้าอะไร ขึ้นไปบนนั้นทำไม คิดจะฆ่าตัวตายเรอะ!”
ต่างจากอีกคนหลังค่อยๆ โค้งปากจนยิ้มกว้าง ก่อนหน้านั้นได้ทำหน้าตกตะลึงไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าท่าทางการยืนรับลมของเขาจะทำให้สาวรุ่นพี่เข้าใจผิดมากมายขนาดนี้ จึงได้แค่เกาท้ายทอย พยายามคิดประโยคดีๆ หวังอธิบาย
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมแค่..ขึ้นไปรับลม”
“รับลม? บนแท่นปูนนั้นอะนะ นายปกติดีอยู่หรือเปล่า ตกลงไปตายจะทำยังไง”
แน่นอน เสียงแวดมาพร้อมกับอารมณ์ร้อนพร้อมเผาวอด มีหรือเขาจะเถียงทัน ชายหนุ่มจึงทำได้แค่ยิ้มแห้ง รอให้เธอพูดจบ
“ผมไม่ตกลงไปง่ายๆ หรอก แต่ก็ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”
แทบจะหลุดชำก็ตอนเธอทำหน้าโมโห เร่งอธิบายลิ้นแทบพัน เพราะกลัวเขาจะเข้าใจผิด
“ใครเขาเป็นห่วงนาย?”
และด้วยความสูงที่ต่างกัน ทำให้ท่าทางและใบหน้าตอนถกเถียงนั้นดูน่าค้นหา จากการแต่งกาย มองผิวเผินก็พอจะรู้แล้วว่าหล่อนนั้นเป็นผู้หญิงห้าว ไม่ใช่คนอ่อนหวานอะไรเลย ถัดไปทางม้าดีดกะโหลกด้วยซ้ำ ทว่าพอได้มาคุยกันไม่คิดว่าจะห่ามห้วนแข็งกระด้างขนาดนี้ ช่างไม่เหมาะกับหน้าตาที่ดูจิ้มลิ้มซะจนน่ามอง สมแล้วที่เป็นลูกครึ่งระหว่างเอเชียกับยุโรป
เตียร์เม้มปากแน่น เมื่อเห็นคู่กรณีเงียบ ก่อนจะหยิบสายหูฟังที่หล่นพาดอยู่ที่คอขึ้นมาใส่หูใหม่ เตรียมหมุนตัวเดินกลับ ใจคอไม่คิดจะเอ่ยคำลากับคนแปลกหน้าอย่างเขาสักคำ
“เดี๋ยวครับพี่”
ร่างสูงผงะเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก็ตอนเสียงเรียกของเขาทำให้เธอหยุดกึกแล้วหันกลับมามองด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
“อะไรอีก?”
“ในเมื่อพี่ไม่ได้มาขอให้ผมช่วย งั้นผมขอให้พี่ช่วยผมแทนได้ไหม”
“ช่วยอะไร?”
เปลี่ยนเป็นรำคาญ ก็ตอนเขาใช้เวลามากกว่าอึดใจกว่าจะบอก
“คือผมเพิ่งจะเดินทางมาถึง ยังไม่มีที่พัก แถมถูกล้วงกระเป๋าด้วย พี่พอจะช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
และแน่นอนคำตอบที่ได้...
“ฮะ?”