รถหรูแล่นผ่านประตูเหล็กสูงตระหง่าน ยามรักษาการณ์หลายสิบคนก้มศีรษะทันทีที่เห็นรถของหวังอี้เฉิง เพื่อต้อนรับเขากลับ แต่ไม่มีใครแปลกใจกับสภาพที่ยับเยินของรถ คล้ายกับว่าพวกเขาเห็นมันจนชินชา
แต่ที่ทำให้ตื่นเต้นกว่าคือขนาดพื้นที่กว้างอันหรูหราของสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า ต้องบอกว่าในยุคแห่งการพัฒนา ปีที่ 1981 มีคนเพียงน้อยนิดที่จะมีบ้านหลังใหญ่ภายใต้การจัดการของรัฐอันเข้มงวด หากไม่ใช่สมบัติที่ตกทอดหรือเศรษฐีที่มีเงินมหาศาล เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนยังไม่ใกล้คำว่าคฤหาสน์
ซูเสี่ยวหนิงที่นั่งอยู่เบาะข้างเบิกตากว้าง ปากอ้าค้างแหงนมองอาณาจักรที่สร้างจากธุรกิจสีเทา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงเลือกทางลัด แม้มันจะเสี่ยงแต่คุ้มค่า
พอเธอคิดว่าตนเองทำงานแทบหลังหัก ยังได้ค่าแรงไม่ถึงสามสิบหยวนต่อเดือนให้หดหู่ บางทีเธอควรหาช่องทางที่จะทำเงิน ตอนนี้ภาครัฐก็ไม่ได้เข้มงวดดังแต่ก่อน ยังอนุญาตให้มีผู้ค้ารายย่อย ส่งเสริมให้พวกเขาทำธุรกิจเลี้ยงปากท้องเพื่อลดภาระการดูแลจากทางการ
“นี่… คือบ้านหรือ? นึกว่าเอาตึกหลายหลังมาตั้งรวมกัน”
ขณะที่ล้อยังคงหมุนเพราะจากหน้าประตูทางเข้าถึงตัวคฤหาสน์ไม่ใกล้ เขาเพียงครางอืมเบาๆ และเหลือบตามองคนที่อยากรู้อยากเห็น
เมื่อรถขับเข้าสู่พื้นที่คฤหาสน์ เธอเห็นสวนกว้าง น้ำพุหินอ่อน และโถงทางเข้าที่ใหญ่กว่าตลาดทั้งตลาดแถวบ้านเธอรวมกัน ไฟระยิบระยับจากโคมระย้า ทำให้เธอถึงกับพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
“โอ้โฮ! ราวกับวังในโทรทัศน์เลย”
หวังอี้เฉิงปรายตามองเธอเพียงนิดเดียว ก่อนตอบเสียงเรียบ “เธอจะได้อยู่ที่นี่ ต่อไปก็วิ่งสำรวจรอบๆ แต่ระวังหน่อย เพราะฉันได้เลี้ยงเสือไว้”
ซูเสี่ยวหนิงหันขวับ! “ใครจะอยากอยู่กันเล่า! ฉันไม่ใช่คนเลี้ยงเสือนะ และไม่ได้อยากเป็นอาหารมื้อใหญ่ของมัน!”
เขาไม่ตอบ เพียงผลักประตูรถลงมาอย่างสง่างาม ร่างสูงใหญ่ในสูทดำมีบาดแผลซึมเลือดตรงต้นแขน แต่เขายังคงยืดตัวตรงราวกับไร้อาการบาดเจ็บ
ทว่าเมื่อจะด้วยท่าทีนั้นทำเธอพองแก้มไม่ชอบใจ
หวังอี้เฉิงกำลังก้าวขึ้นบันไดไปที่ห้องพัก คืนนี้เขาเหนื่อย เหนียวตัวอยากอาบน้ำอุ่น
ซูเสี่ยวหนิงกลับรีบวิ่งมาดักหน้า กางแขนห้าม “หยุดเลย! คุณยังไม่ทำแผล จะขึ้นบันไดสูงๆ แบบนี้ได้ยังไง”
“เธอคนนั้นเป็นบ้ารึไง”
“ดูท่าสติจะไม่ดีด้วย ถึงกล้าทำแบบนั้นต่อหน้าเจ้านาย”
ลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่แอบหันมองกันตาโต ไม่เคยมีใครกล้าขวางหวังอี้เฉิงอย่างไม่กลัวตายแบบนี้มาก่อน
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แววตาคมกริบจ้องหญิงสาวตรงหน้า “เธอกำลัง…สั่งฉัน?”
ซูเสี่ยวหนิงเม้มปากแน่น แต่ยังยืนดื้ออยู่ตรงหน้าเขา
“ฉันไม่ได้สั่ง…แต่ถ้าคุณยังปล่อยให้เลือดออกจนหมดตัว ฉันกลัวจะเดือดร้อนไปด้วย! ในเมื่อคุณพาฉันมาต้องรับผิดชอบสิ คิดว่าฉันจะยอมให้ตายต่อหน้าหรือไง?”
เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าเก่าๆ จากกระเป๋าเสื้อออกมา ยื่นไปตรงหน้าเขา
“อะไรของเธอ?”
“นั่งลงก่อน ฉันจะทำแผลให้”
“.....” บรรยากาศในโถงใหญ่เงียบกริบ ทุกคนรอว่าเจ้านายจะตอบยังไง
หวังอี้เฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะกระตุกยิ้มเย็น เขาก้าวเข้าใกล้เธอหนึ่งก้าว จนเธอต้องเงยหน้าสบตา แต่ไร้ความหวาดกลัวใดๆ
“เธอถึงกับกล้าสั่งมาเฟียใหญ่อย่างฉัน คิดว่าตัวเองเป็นเทพที่ถูกเชิญมาหรือ…แต่เอาเถอะ” ว่าแล้วเขาก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักหรูหรา พลางเอ่ยเรียบ “อย่าให้มันเลอะเทอะก็แล้วกัน”
ซูเสี่ยวหนิงถอนหายใจแรง แต่ในแววตาแอบมีประกายพอใจที่เขายอมฟัง
“แน่นอน ดึกขนาดนี้ฉันไม่มีแรงมากพอจะทำความสะอาด ดูก็รู้ว่าแต่ละอันไม่ถูก”
เธอคุกเข่าลงตรงหน้า ค่อยๆ กดผ้าแนบแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง
“เจ็บรึเปล่า?” เธอถามเสียงเบา แอบสังเกตสีหน้าเขา ไม่เห็นว่าซีดหรืออิดโรยก็ผ่อนลมหายใจ
หวังอี้เฉิงหันหน้ามองไปทางอื่น แต่เสียงตอบกลับทุ้มต่ำดังขึ้น “ไม่เจ็บ”
“งั้นหรือ แบบนี้ไม่ต้องเบามือก็ได้”
แต่ซูเสี่ยวหนิงเห็นชัดว่าเขาเผลอกัดฟันแน่น เธอเหลือบตามองเป็นระยะ ออกแรงให้มากเพื่อเช็ดทำความสะอาด ทั้งหมดเพื่อให้เสร็จเร็วไม่ใช่ทำเพื่อความสะใจหรือแกล้ง
“ต้องรอให้เลือดหยุด ถึงจะเอาผ้าออกได้ แล้วก็ที่บ้านคุณน่าจะมียากับอุปกรณ์ชุดปฐมพยาบาล”
“ไม่มี”
“หา! คุณไม่ใช่คนที่บาดเจ็บบ่อยๆ หรือ ทำไมถึงไม่มีเลย”
“ฉันมีหมอประจำตัว ยังจะพกของแบบนั้นทำไม”
“อ้าว! เขาอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เห็นออกมาดูอาการ”
“น่าจะใกล้ถึงแล้ว”
“แบบนั้นยิ่งดีใหญ่ อย่างน้อยก็ได้ห้ามเลือด”
“ถ้าไม่ใช่เธอที่วุ่นวาย ฉันคงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รอให้หมอมารักษา”
“ก็คุณไม่บอก ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” ซูเสี่ยวหนิงรู้สึกอาย เธอเองที่ไม่ได้ถามให้กระจ่าง ยิ่งไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน คนอย่างเขาไม่เคยขาดสิ่งใด แล้วจะปล่อยให้ตัวเองนอนเจ็บเฉยๆ หรือ ทั้งหมดคือตนที่วิ่งวุ่น
“ทำไม ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองตื่นตูม”
“ใช่ มันน่าอายจริงๆ”
“ยอมรับง่ายขนาดนั้น นึกว่าจะเถียงคอเป็นเอ็น”
“เพราะมันเถียงไม่ชนะ ฉันจะทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ทำไม อ๊ะนั่นคือเสียงรถ! ใช่หมอรึเปล่านะ”
“เธอตามแม่บ้านไปห้องพัก ไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้”
“ชิ! ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งเลย คุณนี่ไม่รับผิดชอบ”
“พูดอะไรของเธอ ทำไมฉันต้องรับผิดชอบเธอด้วย ไปได้แล้วยิ่งอยู่ยิ่งทำฉันปวดหัว”
“ไม่คิดว่าฉันคือวิทยุเครื่องเล็ก ที่ช่วยให้ชีวิตไม่เงียบหรือ คนหน้าแข็งเป็นแผ่นกระดานอย่างคุณ จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่บันเทิง”
หวังอี้เฉิงหน้ามืดครึ้ม ทำไมเขารู้สึกว่าวันคืนอันสงบกำลังจะถูกเธอคนนี้ทำลาย
ทุกคนต่างก้มหน้ามองพื้น เม้มปากแน่นกลั้นไม่ให้หลุดหัวเราะ เจ้านายเขาในวันนี้ถูกคนต้อนให้จนมุมพูดไม่ออก แถมยังไม่มีท่าทีจะโกรธ
ซูเสี่ยวหนิงที่ไม่ยอมไปพัก นั่งมองหมอที่กำลังทำแผลและฉีดยาลดการอักเสบ ได้ยินว่าหนึ่งเข็มราคาแพงมาก เธอทำงานทั้งเดือนยังไม่แน่ว่าจะซื้อไหว หรือต่อให้หาได้เธอก็ไม่อยากใช้ มองภาพแท่งเข็มใหญ่จิ้มเข้าเนื้อแล้วหวาดเสียว มันไม่เหมือนการฝังเข็ม แต่ของแบบนั้นให้ตายเธอก็ไม่เอาเช่นกัน
“เสร็จแล้วครับ ผมได้จัดยาลดไข้สำหรับคืนนี้ แต่หากไม่มีอาการไม่จำเป็นต้องใช้ ยาของต่างประเทศมักมีผลข้างเคียง”
“อย่างไรคะคุณหมอ”
“พวกยาแก้ปวดจะไม่สามารถกินบ่อยได้ ต้องให้ห่างกันสี่ถึงหกชั่วโมง ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อตับ เพียงแต่มันออกฤทธิ์เร็ว ถ้าไม่จำเป็นยาสมุนไพรจีนคือทางเลือกที่ดีกว่า แค่รสชาติอาจแย่ตอนกลืน”
“หืม…เข้าใจค่ะ มันขมมากทั้งยังกลิ่นฉุนตึบ! ฉันจะไม่ยอมป่วย ไม่อยากกินยา”
หมอฉีได้ฟังก็หัวเราะ เธอคนนี้สดใสร่าเริงดี ตัดกับความเย็นชาของเจ้านายเขาเป็นอย่างดี
“ตอนนี้เกือบตีสอง ผมคิดว่าควรให้เจ้านายได้พักผ่อน ไว้พรุ่งนี้ผมจะมาดูอาการแต่เช้า”
“คุณหมอไม่ได้พักแถวนี้หรือคะ”
“ผมยังมีคลินิก และมีคนไข้ที่นัดรักษา”
ซูเสี่ยวหนิงพยักหน้าเข้าใจ เขามีกิจการเป็นของตัวเอง และรับดูแลหวังอี้เฉิงเป็นพิเศษ
พอส่งหมอออกไป หวังอี้เฉิงที่ง่วงนอนเพราะยาออกฤทธิ์จึงกลับขึ้นห้อง มีซูเสี่ยวหนิงเดินตามต้อยๆ
“หยุดตามหลังฉัน ห้องเธอไปทางนู้น” เขาโบกมือไล่ แต่เธอยังคงมอง “อะไรของเธออีก ดึกขนาดนี้มีเรื่องในใจก็เอาไว้คุยตอนเช้า”
“ฉันเพียงอยากแน่ใจว่า….คุณจะไม่เดินสามก้าวแล้วเป็นลม”
สีหน้าของหวังอี้เฉิงดูไม่ได้อย่างยิ่ง ซูเสี่ยวหนิงที่เห็นว่าคนเริ่มโกรธจึงยิ้มแห้งก้าวถอยหลังไปสองเมตร ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปหาแม่บ้าน เพื่อให้นำทางพาเธอไปยังห้องพักตัวเอง
เขามองคนที่วิ่งหนีไปทั้งขันทั้งฉิว มือยังยกขึ้นมานวดขมับก่อนจะเดินเข้าห้องเพื่อพักผ่อน
“ว้าวดีจัง! มีน้ำอุ่นด้วย ได้ยินว่าซื้อมาจากต่างประเทศในราคาแพง”
แม่บ้านได้แนะนำวิธีการใช้ ยังบอกอีกว่าหวังอี้เฉิงเป็นคนรักสะอาด เขาเกลียดความสกปรกและไม่เป็นระเบียบ การอยู่ที่นี่ต้องปรับตัว จะสี่วันห้าวันอาบน้ำครั้งนั้นไม่ได้ แบบนั้นอาจถูกไล่ให้ไปเลี้ยงเสือ
ขณะนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่น รู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย ความเมื่อยร่องรอยของงานหนักพลันหายไป เธอเข้าใจแล้วทำไมเขาจึงชอบมัน
“อืม…การอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไร ออกจะสบายด้วยซ้ำ”
ไม่เพียงมีที่นอนนุ่มเตียงใหญ่ มีเสื้อผ้าสะอาดหนาและใหม่ คิดว่าอาหารแต่ละมื้อคงไม่เลว เธออดคิดไม่ได้ว่าหากพี่ชายรู้เขาจะอิจฉาเธอไหม
ช่วยไม่ได้! ใครให้เขาเกิดมาเป็นผู้ชายล่ะ
จากที่ต้องการขายเธอกลับเป็นการช่วยให้เธอหลุดพ้น อยู่กับหวังอี้เฉิงอาจเสี่ยง แต่อย่างน้อยเธอไม่ต้องเป็นตัวหาเงินใช้หนี้แทนเขา จากนี้ให้จัดการชีวิตของใครของมัน
“ฮา…สบายจัง”
แสงแดดยามเช้าสาดผ่านผ้าม่านหนา ซูเสี่ยวหนิงพลิกตัวนอนคว่ำบนเตียงใหญ่หรูหรา เส้นผมดำยาวสยายทั่วหมอน เธอขยับเล็กน้อย เสียงพึมพำเหมือนกำลังฝันหวาน แต่ช่างน่ารำคาญที่ถูกแมลงบินมาเกาะแขน มันไม่เพียงแตะๆ จิ้มๆ ยังเริ่มเขย่าแรงขึ้น
“ขอนอนอีกนิด… อย่ามายุ่งเลยนะ…”
หวังอี้เฉิงยืนกอดอกอยู่ข้างเตียง เขามองหญิงสาวที่ยังไม่ตื่นด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาปลุกเธอมาสิบนาที แต่กลับไม่มีทีท่าจะตื่น ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงเอาแต่บ่นงึมงำ
เมื่อคืนเขายอมให้เธอพักในห้องรับรองใหญ่ ทั้งที่ปกติไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามา เช้านี้เธอกลับยังกล้าหลับอุตุ ไม่สนใจโลก จนเขาต้องเข้ามาดู หากไม่รู้คงคิดว่าคนที่ถูกยิงคือเธอไม่ใช่เขา
ขยับก้าวเข้าไปใกล้ เอื้อมมือแตะไหล่เรียกเสียงเรียบ “ตื่นได้แล้ว เสี่ยวหนิง”
“อืม….” ไม่มีการขยับตอบ นอกจากเสียงครางหายใจสม่ำเสมอ
อี้เฉิงขมวดคิ้ว ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม แล้วโน้มตัวลงคว้าแขนเธอเพื่อเขย่า
“นี่เธอตื่นได้แล้ว”
แต่แทนที่จะคว้าแขน มือของเขากลับสัมผัสกับผ้านุ่มๆ บางๆ ที่ไม่ใช่เนื้อผิว
บีบ…. ปี๊บ! ปี๊บ! เขากะพริบตา รู้สึกว่ามันนุ่มแล้วยังเด้งสู้ ยิ่งจับยิ่งอยากบีบอีก
ทำไมแขนถึงให้ความสัมผัสที่ดี?
แล้วพอหันมามองชัดๆ … สิ่งที่เขากำอยู่ในมือคือ เสื้อชั้นในสีอ่อนที่ยัดสำลีนุ่ม เธอถอดกองไว้ข้างหมอนตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“....!” ชั้น…ใน?