เช้านี้ใบหน้าของพริ้งพลอยไม่แจ่มใสเท่าที่ควร เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับลงได้ใช้เวลาอยู่เกือบสองชั่วโมง ภาพและเสียงที่ไม่พึงประสงค์ตามหลอกหลอนแม้กระทั่งในความฝัน สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด
ยิ่งพยายามจะลืมกลับยิ่งจดจำ ได้แต่ปลงตกว่าคงต้องอยู่กับมันไปจนกว่าสมองจะถูกแทนที่ด้วยเรื่องราวใหม่ๆ แต่ตอนนี้เธอต้องผ่านสถานการณ์ตึงเครียดไปให้ได้เสียก่อน
ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำเรียบหรูนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟอยู่ที่โซฟาตัวยาวกลางห้องโถงใหญ่ บนตักของเขามีไอแพดขนาดกะทัดรัดวางอยู่ สายตาคมนิ่งจดจ่อกับหน้าจอสี่เหลี่ยม ท่าทางสุขุมแตกต่างจากเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง แม้พริ้งพลอยจะคุ้นเคยกับมาดนักธุรกิจของโรมมาตั้งแต่เด็ก แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาในลุคนี้ เธอจะรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น
ยิ่งเวลาที่นัยน์ตาคมดุจ้องมอง หัวใจของเธอบีบรัด สองขาที่จะก้าวลงบันไดในแต่ละขั้นชะงักงันโดยปริยาย พริ้งพลอยสูดลมหายใจเข้าลึก จังหวะที่โรมวางแก้วกาแฟลงบนจานรองเซรามิคเรียบหรู เขาตวัดสายตาขึ้นมองสาวน้อยในชุดนักศึกษา เสื้อสีขาวกลัดกระดุมตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยเข้ารูป กระโปรงพลีทสีดำยาวคลุมข้อเท้า มัดผมรวบยาวอวดใบหน้าขาวกระจ่างใสที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์พอเป็นพิธี มองแล้วสบายตาสบายใจ ไม่ฉูดฉาดเหมือนนักศึกษาสาวบางคนที่แต่งหน้าหนักจนดูไม่เป็นธรรมชาติ
“เสร็จแล้วใช่ไหม”
โรมยื่นไอแพดส่งให้สาวใช้นำไปเก็บไว้บนห้องทำงานเหมือนทุกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนเดินนำหน้าพริ้งพลอยไปที่รถ สวมรองเท้าหนังคู่ใจ รถเปิดประทุนสุดหรูจอดรออยู่ตรงหน้า โรมนั่งประจำที่คนขับ หันมองพริ้งพลอยที่เอาแต่ยืนนิ่ง
“ไม่ไปสอบเหรอ”
“พริ้งให้พี่ปั้นไปส่งเหมือนเดิมก็ได้ค่ะ”
ปั้นเป็นคนขับรถประจำตัวหญิงสาวตั้งแต่เด็ก พริ้งพลอยนับถือเขาเหมือนพี่ชายคนที่สอง
“คุณพริ้งไปกับคุณโรมดีกว่าครับ”
สีหน้าของบุคคลที่สามดูลำบากใจไม่น้อย พริ้งพลอยเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจสถานการณ์ทันที เธอเลิกดื้อดึงที่จะให้ปั้นขับรถไปส่ง ยอมขึ้นรถหรูของโรมตามความต้องการของเขา
โรมปิดประทุนรถทันทีที่ร่างบางขึ้นนั่ง ระหว่างขับรถเขามักเปิดเพลงสากลฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงที่หมาย และเพลงที่เขาโปรดปรานก็มีอยู่ไม่กี่เพลง พริ้งพลอยมักได้ยินท่วงทำนองเหล่านี้ภายในบ้านเสมอ
อย่างน้อยๆ ก็ห้องทำงานของโรม ที่เธอรับหน้าที่คอยชงกาแฟและเตรียมของว่างไปเสิร์ฟให้เขาถึงโต๊ะ
“คิดหรือยังว่าจะทำงานอะไรหลังเรียนจบ” โรมเป็นฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นก่อน หลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่หลายนาที
“ก็มีคิดๆ บ้างค่ะ” พริ้งพลอยตอบตามตรง สองมือสอดประสานวางบนตัก ทอดสายตามองตรงไปยังท้องถนนเบื้องหน้า
“พี่เตรียมตำแหน่งไว้ให้พริ้งแล้วนะ ทำงานที่บริษัทฯ ของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล” โรมแค่ถามพอเป็นพิธี แต่เอาเข้าจริงเขาคิดแทนเธอมาแล้วทุกอย่าง
เขาเป็นแบบนี้ตลอด ตั้งแต่เธอจำความได้ พริ้งพลอยไม่เคยได้ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองจริงๆ สักครั้ง โรมใช้อำนาจความเป็นผู้ปกครองคอยกำหนดทิศทางให้เธอเดินไปตามเกมของเขา
เธออยากเรียนทำอาหารเขาก็ไม่อนุญาต อยากเปิดร้านขายขนมเขาก็ไม่เห็นด้วย เขาอ้างว่าอาชีพเหล่านั้นไม่ยั่งยื่น เขาพูดเสมอว่าพวกเรามีบริษัทฯ ที่ต้องดูแล
เธอรู้… รู้มาตลอดว่าครอบครัวของเขาร่ำรวยจากการทำธุรกิจรุ่นสู่รุ่น แต่เธอไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงของคนตระกูลเขา เธอเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่พี่สาวของเขาเมตตาเก็บมาเลี้ยง และพริ้งพลอยยังจำได้ไม่ลืมว่าเรนนี่เคยรับปากว่าจะให้เธอใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการ ไม่ว่าเธออยากทำอะไรหล่อนก็จะไม่บังคับ
แต่สุดท้าย… ก็ไม่มีใครขัดคำสั่งของโรมได้อยู่ดี
“พริ้งอยากหางานทำเองค่ะ”
แต่วันนี้เธอขอยืนหยัดเพื่อตัวเองสักครั้ง
โรมทำหูทวนลมไม่ฟังคำคัดค้านของพริ้งพลอย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มีเพียงสายตาคมนิ่งที่มองตรงไปยังข้างหน้า รถหรูแล่นไปเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับคนขับที่ดูใจเย็นผิดปกติ พริ้งพลอยรู้สึกว่าเขานิ่งเกินไป ซึ่งมันผิดวิสัยของผู้ชายเจ้าอารมณ์อย่างโรม ลองถ้าออกคำสั่งแล้วถูกต่อต้านมีหรือที่เขาจะไม่โกรธ
“ได้ยินที่พริ้งพูดไหมคะ พริ้งอยากหางานทำเอง พริ้งจะไม่ไปทำงานที่บริษัทฯ ของพี่โรม”
“บริษัทฯ ของเรา” หางตาตวัดมองร่างบางเล็กน้อย
“นั่นแหละค่ะ พริ้งไม่ทำงานกับพี่” มองผิวเผินดูเธอใจกล้าต่อปากต่อคำกับเขา แต่เอาเข้าจริงหัวใจดวงน้อยเต้นรัวกระหน่ำ เหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือยามเขาเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นอีกระดับ
ความหัวรั้นของเธอกระตุ้นต่อมโทสะของโรมได้บ้างแล้ว แบบนี้ค่อยสมกับเป็นตัวเขาหน่อย โรมที่เธอคุ้นชินต้องหันมามองหน้าเธอด้วยสายตาดุดัน ไม่ใช่เพียงยิ้มมุมปากแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เดี๋ยวนะ ยิ้มมุมปากเหรอ?
“ยิ้มอะไรคะ” เขายิ้มมุมปากขณะมองเธอ พริ้งพลอยเอ่ยถามออกไปเพราะความอยากรู้
“พี่เอ็นดูพริ้ง”
ก็จะไม่ให้เขาเอ็นดูยังไงไหว ตั้งแต่ขึ้นรถได้แม่น้องสาวบุญธรรมก็เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่ง ทำตัวหวาดระแวงราวกับกลัวจะถูกเขากินหัว แต่พอพูดเรื่องงานเท่านั้นแหละ วิญญาณแม่ชีรักสงบออกจากร่างโผงผางไม่หยุด ทำเป็นเสียงแข็งต่อต้าน แต่แววตาสั่นระริกเหมือนแมวน้อยกลัวถูกดุ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าลึกๆ แล้วน้องกลัวเขามากแค่ไหน
ขนาดพยายามลดความดุลงแล้วนะ แทนที่จะชื่นชมกลับสงสัยและหวาดระแวงเขาหนักกว่าเก่า สงสัยพี่โรมคนนี้ต้องละทิ้งบทพี่ชายใจเย็นแล้วกลับมาสวมบทพี่ชายแสนโหดจอมเผด็จการเหมือนเดิมแล้วมั้ง
“พริ้งอยากพูดอะไรก็พูดไป แต่ถึงเวลาที่พริ้งเรียนจบเมื่อไร ยังไงก็ต้องไปทำงานที่บริษัทฯ”
“แต่พริ้ง…”
“ห้ามมีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น”
โรมชิงตัดบทก่อนที่เสียงหวานน่าฟังของน้องจะเอ่ยจบ
ปรายหางตามองให้รู้ว่าถ้าขืนยังพูดไม่รู้เรื่องได้เจอดีแน่ คนที่พยายามจะทำตัวดื้อรั้นกับเขาสักครั้งจำต้องเงียบ ได้แต่ถอนหายใจนั่งกอดอกมองออกไปยังนอกกระจกรถ อย่างน้อยวิวทัศน์ข้างทางก็ช่วยให้รู้สึกใจเย็นขึ้น กว่าจะถึงมหาวิทยาลัยใช้เวลาเดินทางนับชั่วโมง พริ้งพลอยได้แต่ภาวนาให้วันนี้รถไม่ติด เธออยากหลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัด
ไม่อยากอยู่ใกล้โรมนานกว่านี้…
และแล้วแรงปรารถนาของหญิงสาวก็สัมฤทธิ์ผล วันนี้ถนนโล่งทำให้มาถึงมหาวิทยาลัยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ พริ้งพลอยหันไปสวัสดีโรมก่อนลงจากรถ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาเดินห่างรัศมีรถหรู กระจกรถสีเข้มถูกเลื่อนลงโดยคนขับด้านใน
“เรื่องเมื่อคืน”
“…”
“พี่ขอโทษ”