เรื่อง: ไม่มีนิยามของคำว่ารัก ภาค1
ตอนที่.21 นักศึกษาแพทย์ (2)
โดย: srikarin2489
“เหลือแค่เราสองคนตายาย ลูกไม่อยู่ซักคน”
นายแพทย์อารักษ์บ่น เมื่อแม่บ้านจัดอาหารค่ำให้เสร็จแล้วถอยออกไป ทั้งสองนั่งรับประทานอาหารค่ำกันตามลำพัง โต๊ะรับประทานอาหารมีเก้าอี้ถึง10ตัว แต่ต้องนั่งทานข้าวกันตามลำพังสองคนทำให้รู้สึกเงียบเหงาพอสมควร ครอบครัวมีกันแค่สี่คนพ่อแม่ลูก พอลูกไม่อยู่สักคน บ้านหลังใหญ่แม้จะสวยงามหรูหราแต่กลับขาดชีวิตชีวา
“ก็รู้อยู่หรอกนะ ว่าเป็นวัยศึกษาหาความรู้ของพวกเขา แต่พอลูกไม่อยู่ด้วยสักคน บ้านเงียบเหงาไปเยอะเลย” นายแพทย์อารักษ์มองดูเก้าอี้ตัวประจำของลูกสาวแล้วถอนใจเบา ครอบครัวมีสมาชิกน้อยพอลูกออกไปอยู่ข้างนอกยิ่งเงียบ
“นี่ดีนะที่พี่ตัดสินใจสร้างบ้านหลังไม่ใหญ่มาก ถ้าใหญ่เป็นคฤหาสน์คงรู้สึกโหวงเหวงมากกว่านี้ แค่นี้ก็รู้สึกเงียบเหงามากแล้ว”
“ลูกมีแต่จะห่างจากเราไปเรื่อย ๆ พวกเขาโตแล้วชีวิตเป็นของเขา อีกหน่อยคงมีแฟนมีครอบครัว เราสองคนอาจกลายเป็นคนนอกไปเลย อุ้มกำลังฝึกทำ
ใจให้ชินค่ะพี่โอม”
“นั่นสินะ เราสองคนตายายต้องดูแลกันเอง” ทั้งสองยิ้มให้กันเหมือนจะปลอบให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
“พี่พยายามทำใจอยู่นะ แต่มันเงียบเหงาจนใจหาย”
“เราสองคนผ่านการเรียนแพทย์มาแล้ว รู้ดีว่าต้องเรียนหนักมากปิดเทอมน้อยกว่าคนอื่น ปีหนึ่งถึงปีสามยังไม่เท่าไหร่ พอถึงปีสี่ปีห้ามันจะแบ่งเป็นวอร์ด ต้องมีการราวน์วอร์ดทุกวัน การไม่มีวันหยุดต้องมาราวน์วอร์ดทุกวัน มันเบิร์นเอาท์มาก ได้เจอหน้าพ่อแม่น้อยบางทีแทบจะไม่ได้เจอเลย เราสองคนรู้และเข้าใจดีว่าลูกต้องเจออะไรบ้าง ตอนอินบอกว่าจะเรียนแพทย์ อุ้มคิดว่าเขาอยากเป็นหมอจริง ๆ หรือเห็นพ่อแม่เป็นหมอเลยอยากเรียนหมอ ไม่คิดว่าเขาจะมีความมุ่งมั่นมาก เตรียมตัวตั้งแต่ม.ต้น”
“ตอนยังเด็กเขาชอบเอาสเต็ทของพี่ไปเล่น เอาคล้องคอแล้ววางท่าเป็นหมอตรวจคนไข้ พี่ต้องกลายเป็นคนไข้ให้เขาตรวจประจำ” นายแพทย์อารักษ์เล่าด้วยรอยยิ้มอ่อน เมื่อนึกภาพลูกสาวในวัยเด็ก ตอนนี้กลายเป็นนักศึกษาแพทย์แล้ว
“พอไปเรียนแพทย์แล้ว ลูกบ่นบ้างมั้ยใจออกหรือเปล่า”
“ไม่เคยได้ยินลูกบ่นเลยค่ะ ท่าทางจะสนุกกับการเรียนเสียอีก ลูกเหมือนอุ้มคือชอบเรียนหนังสือ มีบุษกับตุลเรียนด้วยพวกเขาเป็นทีมเวิร์กที่ดี ตอนนี้ยังหนักไม่มากหรอกค่ะ ความหนักมันจะเพิ่มเลเวลไปเรื่อย ๆ ปีหน้าต้องเริ่มขึ้นเวรแล้ว แต่ยังไม่หนักเท่าไหร่ จะหนักตอนเป็นหมออินเทิร์น ตอนเรียนว่าหนักแล้ว พอเป็นหมออินเทิร์นหนักกว่านี้เยอะ ได้เป็นหมอเต็มตัวต้องคิดตัดสินใจด้วยตัวเองให้ได้ หมออินเทิร์นประสบการณ์น้อย แต่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นร้อนวิชา”
“พี่ไม่ได้เป็นหมออินเทิร์น แต่ได้ยินเพื่อน ๆ บ่นกันว่างานหนักมาก ขึ้นเวรลากเวรยาวไม่ได้นอน”
“หมอใหม่เพิ่มพูนทักษะ โดยเฉพาะตอนเป็นอินเทิร์น1 อยู่โรงพยาบาล ศูนย์ประจำจังหวัดคนไข้เยอะมาก ตอนอุ้มเป็นอินเทิร์น1 แทบแย่เหมือนกัน แต่ถ้าสู้จนผ่านไปได้ มันคือประสบการณ์ที่ดี กับการได้ทำหน้าที่แพทย์เต็มตัว ได้สั่งสมประสบการณ์ต่าง ๆ ” นายแพทย์อารักษ์รับประทานอาหารไปด้วย ขณะฟังภรรยาเล่าอย่างสนใจ
“ถ้าอุ้มอยู่จนครบสามปี อุ้มเคยคิดไว้ว่าจะขอเป็นหมออยู่ต่างจังหวัด เก็บเงินซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ สักหลัง รับแม่ไปอยู่ด้วยกันจะได้คอยดูแลท่าน ไม่คิดว่าท่านจะจากไปเร็ว อุ้มยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลย ถ้าไม่ได้ท่านอุ้มคงไม่มีชีวิตดีแบบนี้”
อโรชามีสีหน้าขรึมเศร้าเมื่อพูดถึงแม่บุญธรรมที่จากไปแล้ว แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ก็มีความรักความผูกพันเหมือนแม่ลูกกันจริง ๆ ความสัมพันธ์ทางใจยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือด
“ตั้งใจจะคอยดูแลท่านให้มีความสุข สุดท้ายท่านจากไปก่อน”
“ช่วงชีวิตสุดท้ายของท่าน พี่ว่าท่านมีความสุขสบายใจมาก ท่านเคยฝากอุ้มให้พี่ดูแล ถึงอุ้มจะไม่ใช่สายเลือดของท่าน แต่ท่านรักอุ้มมาก ท่านบอกว่าท่านดีใจ ที่ท่านจะไม่ได้ตายอย่างเดียวดายไร้ญาติ เพราะเป็นกำพร้าไม่เคยมีญาติพี่น้อง ช่วงชีวิตสุดท้ายท่านได้เห็นอุ้มมีชีวิตที่ดี มีหลานที่น่ารักให้ท่าน ท่านถึงได้จากไปอย่างสงบ พี่จำได้ว่าหน้าตาท่านสดใสมากตอนสิ้นใจ อุ้มได้ทำหน้าที่ลูกต่อท่านดีที่สุดแล้ว” อโรชายิ้มออกมาได้เมื่อสามีพูดเสียงอ่อนโยนด้วย
“ท่านหมดห่วงว่าอุ้มจะไม่มีคนดูแล เพราะอุ้มมีครอบครัวของตัวเอง ไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวในโลกอีกต่อไป ท่านบอกว่าถ้ามีลูกชายเพิ่มให้ใช้ซื่ออินทัช เรามีลูกสาวด้วยกันแค่คนเดียว คงต้องเอาไว้ตั้งให้หลานชายถ้ามี”
แก้วชามะนาวน้ำผึ้งถูกกวางลงบนโต๊ะ แล้วเจ้าของแก้วนั่งทิ้งร่างลงบนเก้าอี้ ภายในร้านกาแฟเหยียดแขนขาออกเหมือนคนหมดแรง ตามมาด้วยเสียงบ่น
“เหนื่อยโว้ย ได้เครื่องดื่มเย็น ๆ ค่อยชื่นใจหน่อย”
“แกเหนื่อยเพราะอะไรไอ้ตุล” บุษกรเงยหน้าจากแก้วชาเขียวปั่นของตัวเองขึ้นมาว่า ส่วนอินทิรากำลังอ่านเลคเชอร์พร้อมจิบชาไทย เครื่องดื่มที่ชื่นชอบเป็นระยะ เวลาพักจากการเรียนชอบมานั่งสิงอยู่ในร้านกาแฟ ทานขนมกับเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ ไม่เพียงทั้งสามยังมีนักศึกษาแพทย์คนอื่น ๆ ชอบมานั่งอยู่ในนี้เช่นกัน มาดื่มเครื่องดื่มชื่นชอบทานขนมเป็นการผ่อนคลาย แม้จะนั่งกันคนละโต๊ะแต่ส่งเสียงทักทายพูดคุยกัน
“ผ่ากลอสตั้งนานไม่เหนื่อยได้ไง”
“กล้าพูดเนอะว่าเหนื่อย อินต่างหากที่ควรจะเหนื่อย เขาเป็นคนผ่าฉันกับเพื่อนคนอื่น ๆ ช่วยกันดู ส่วนแกไอ้ตุล...คอยเชียร์ยืนให้กำลังใจ เล่นมุกตลกไปเรื่อย หรือไม่ก็เดินไปดูเพื่อนกลุ่มอื่น บอกซิ...แกเหนื่อยเพราะอะไร”
“ฉันเอนเตอร์เทนเพื่อน ๆ ไม่ให้เครียดกันมาก” บุษกรมองค้อนหมั่นไส้กับ
สีหน้ายิ้มระรื่นของเพื่อน
“เวลาต้องผ่าฉันก็ผ่าเหมือนกัน รอบหน้าฉันจะผ่าเอง”
“ให้มันจริงเถ่อะ”
“อินมันเก่งสมกับเป็นลูกหมอมือเบาสมาธิดีมาก เวลาฉันผ่ามีขลุกขลักนิดหน่อยอาจพลาดบ้าง แต่อินไม่เคยพลาดสักครั้ง เก่งทั้งเป็นดิสเชค(ผ่า) และเป็นไอเดน มันสมองของกลุ่ม” อินทิราเงยหน้ามายิ้มด้วย เมื่อเพื่อนยกหัวแม่มือให้
“ไม่เกี่ยวว่าเขาเป็นลูกหมอ แต่เพราะอินเขามีความตั้งใจ”
“แกก็เก่งนะตุล แต่แกต้องนิ่งให้มากกว่านี้” อินทิรายิ้มให้กำลังใจเพื่อน
รู้ว่าตุลยาเป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่บางครั้งขาดความนิ่งและสมาธิ ต้องคอยบอกคอยให้กำลังใจกันตลอด เพื่อให้เพื่อนมีความมั่นใจ ถ้านิ่งและตั้งใจตุลยาทำได้ดีเสมอ
“ใช่ นิ่งน่ะเป็นมั้ย” บุษกรย้ำว่า
“ฉันทำให้คนอื่นไม่เครียดมาก เพื่อน ๆ ยังบอกว่าฉันทำให้บรรยากาศการ
เรียนสนุกไม่เครียดมาก มีคนคอยเล่นมุกทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย เพื่อน ๆ บอกว่าถ้าขาดฉันคงเครียดจนปวดหัว ฉันเป็นที่ต้องการของเพื่อนนะโว้ย” ทำหน้าภาคภูมิใจบอก
“มุ่งมั่นจะเป็นหมอตลกใช่มั้ย”
“เวลาฉันเล่นมุกบางทีแกยังหัวเราะเลย นึกถึงข้อดีของฉันบ้างสิ” บุษกรมองค้อนแล้วหันไปทางอินทิรา
“อินเหนื่อยมั้ย ยืนผ่ากลอสตั้งหลายชั่วโมง” ตุลยาทำหน้าหมั่นไส้ให้ เมื่อ
เห็นบุษกรเปลี่ยนโทนเสียงเป็นนุ่มลงเมื่อพูดกับอินทิรา ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรให้กับ
อินทิรา บุษกรจะเต็มไปด้วยความนุ่มนวลห่วงใย ผิดกับทำกับตุลยาทั้งดุทั้งว่าคอย
หยุมหัวตลอด
“เมื่อยนิดหน่อย ครั้งต่อไปให้ตุลมันผ่า”
“โอเค” เพื่อนพยักหน้ารับทันที
“หวังว่าแกจะทำได้ดีราบรื่น ไม่ให้ฉันกับอินกับเพื่อนคนอื่น ๆ คอยลุ้น
จนเครียด”
“เชื่อใจฉันบ้างสิวะ มีระดับมันสมองอย่างอินกับแกอยู่ในกลุ่ม ไม่ต้องห่วง
อะไรแล้ว”
“อาทิตย์หน้าจะมีสอบอีก วันอาทิตย์พวกเราไปดูกลอสอีกรอบ เอาให้ชัวร์
ให้ชัด ก่อนไปดูอย่าลืมทบทวนเนื้อหาให้แน่น เวลาดูของจริงจะได้รู้ตำแหน่งไม่พลาด”
อินทิรากำชับบอกเพื่อน
“เหนื่อยใจกับเรื่องสอบนี่แหละ สอบทุกอาทิตย์สอบจริงสอบจัง”
ตุลยาบ่นแล้วถอนใจแรง ทิ้งร่างพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยใจ ตัวเองเป็นคนไม่ค่อยขยันนัก พอมาเรียนแพทย์ต้องปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ ไม่ต้องการให้เพื่อนหนักใจ
“ไอ้ตุล”
“อะไรหมวยเล็ก” ทำเสียงเหมือนจะรำคาญหันไปทางบุษกรที่เรียกเสียงจริงจัง
“ฉันกับอินคุยกันแล้ว ไม่ว่าจะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน เราสองคนต้อง
ลากแกไปด้วยให้ได้ แต่แกต้องใช้ความพยายามของตัวเองด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ฉันกับอินออกแรงลากจนเหนื่อย”
“เออน่า...ฉันไม่ให้แกสองคน ออกแรงลากฉันไปด้วยจนเบื่อหรอก”
“อย่าไปจี้มันนักเลยบุษ ตุลมันมีความพยายามสูงนะ มันเก่งหัวดีถ้ามัน
ตั้งใจจริง สอบทุกครั้งเราสองคนลุ้นเป็นห่วงมัน แต่มันเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง”
“ใช่...อินมันเป็นเพื่อนรักรู้ใจ ไม่เหมือนแก” บุษกรแยกเขี้ยวให้เมื่อเพื่อนยื่นหน้ามาว่า
“วันอาทิตย์ดูกลอสแล้ว เราไปหาของอร่อย ๆ กินกันนะ ให้ของอร่อยเยียวยาใจเราให้มีพลังสู้ต่อ ฉันนัดไอ้พี่ตั้มกับไอ้ตาลไว้ พวกเขาบอกให้ชวนแกสองคนไปด้วย แกสองคนสนใจไปกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างมั้ย ไอ้พี่ตั้มเขาจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงพวกเรา ไปด้วยกันนะ” ตุลยายื่นหน้ามาย้ำชวนเพื่อนทั้งสอง
“อินไปมั้ย” บุษกรหันไปถามอินทิราก่อน
“ไปนะอิน ถ้าแกไม่ไปไอ้บุษมันคงไม่ไป มันติดแกยิ่งกว่าเงาเสียอีก” บุษกร
หันมามองเพื่อนตาขวาง
“ได้ ตอนเช้าพวกเราไปดูกลอส ตอนบ่ายแม่จะพาคนมาทำความสะอาดห้องให้ ตอนเย็นไปกินปิ้งย่างกัน ดีเหมือนกันเหนื่อยกับเรื่องเรียนมาทั้งอาทิตย์แล้ว จะได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” ตุลยายิ้มพอใจกับคำตอบของเพื่อน
“พูดเรื่องทำความสะอาดห้อง ถ้าไม่ได้แม่ของอินพาคนมาดูแลทำให้ เราสามคนคงเหนื่อยน่าดู กลับจากเรียนในแต่ละวัน ทั้งเรียนหนักต้องมาอ่านหนังสือต่อจนดึกดื่นทุกวัน ถ้าต้องมาทำความสะอาดห้องอีก ฉันยอมอยู่แบบรก ๆ ดีกว่า มีเพื่อนดีมีแม่มาคอยดูแล เราสองคนพลอยสบายไปด้วยจริงมั้ยตุล”
“จริง” ตุลยายิ้มพยักหน้ารับทันที ไม่บ่อยนักที่ทั้งสองจะมีความคิดเห็น
ตรงกันแบบเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย