03

2806 Words
“แกนี่ร้ายไม่เบาเลยนะ” เฮียชุนกล่าว วันนี้เป็นวันที่พี่น้องทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน บนโต๊ะอาหารมีเฉพาะทายาทสายตรง ไม่มีลูกหลานคนอื่น หรือสะใภ้เข้ามาเกี่ยวข้อง เฮียชุนนั่งอยู่หัวโต๊ะข้างกันคือคุณนายกิม และถัดมาย่อมเป็นพี่ชายอีกสามคนของเหมยลี่ ได้แก่ เฮียฉี พี่ชายคนรอง เฮียซาน พี่ชายคนที่สาม เฮียฮ้อ พี่ชายคนที่สี่ ทุกคนเพิ่งได้ทราบเรื่องกันหมดก็ภายในวันนี้ แม้จะไม่ได้สนิทสนมกันมาก แต่คำว่าพี่น้องในสายเลือดย่อมเข้มข้น เหมยลี่เองก็สะเทือนใจที่ที่ผ่านมาเธอผลักไสครอบครัวมาโดยตลอด แต่พอทุกคนรู้เรื่องกลับมุ่งตรงมาที่บ้านใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้แต่เฮียซานกำลังประชุมงานอยู่ฮ่องกงก็ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกลับด่วนทันที “ร้ายอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรมากขนาดนั้นเลย” “งูที่ฆ่าเหยื่อ ยังไม่ร้ายเท่ากับแมวที่เล่นกับหนูจนตาย แกวางแผนได้ดีเลยนี่ รัดกุมขนาดนี้ ยังต้องให้ฉันช่วยอะไรอีก” “ถ้าฉันออกหน้าเอง ฉันก็เป็นนางร้ายในหน้าสื่อสังคมสิ ตอนนี้ฉันกำลังป่วย พี่ชายฉันออกหน้าให้ เท่านี้สินธรก็จะกลายเป็นวายร้ายในหน้าสื่อสังคม แล้วทีนี้ใครจะกล้ายื่นมือช่วยเขากัน” “เห้อ… นึกว่าแกอ่อนแอมาโดยตลอด ที่ไหนได้พวกเราไม่มีใครทิ้งสายเลือดป๊าสักคน” เฮียซานกล่าว พลางส่ายหน้า เขาเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กแทบตาย กลัวว่าจะโดนไอ้น้องเขยเดนนรกนั้นรังแก ที่ไหนได้ น้องสาวของเขาไม่ใช่ไก่อ่อน ให้ใครเคี้ยว หรือมาลูบคมได้ง่ายเลย “ฉันไม่ได้อยากทำแบบนั้น แต่สินธรทำกับฉันก่อน แล้วพวกเฮียมารวมตัวอะไรกันเยอะแยะ” “พวกฉันก็ห่วงแกน่ะสิ ห่วงมาตลอด แกมันดื้อ หัวรั้น ป่วยก็ไม่บอกพวกฉัน เรามีโรงพยาบาลในเครือ มีหมอมือดี พวกฉันส่งแกไปรักษาได้ แต่แกกลับปล่อยไว้จนมันลุกลามขนาดนี้” เฮียฉีพี่ชายคนที่สองของเธอ เขามีนิสัยฉุนเฉียว อารมณ์ดุร้ายที่สุดในบรรดาพี่น้อง ทั้งยังเน้นในการทำธุรกิจสีเทากับกลุ่มนายทุนกเฬวรากชั้นต่ำ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับกลุ่มนักการเมืองที่เอื้อผลประโยชน์ให้แก่ธุรกิจ นับว่ามีอิทธิมากพอกับพี่ใหญ่เลยทีีเดียว “เฮียคิดว่าฉันไม่พยายามรักษาชีวิตตัวเองหรอ ฉันก็ไม่ได้อยากตาย” “แต่การที่แกจัดการอะไรคนเดียว มันบั่นทอนจนทำให้ร่างกายแกแย่กว่าเดิม ถ้าแกบอกพวกฉัน แกไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย แกจะโกรธป๊า โกรธม๊าที่เมินเฉยแก แต่แกไม่ควรโกรธพวกฉัน ฉันมีแกเป็นน้องสาวคนเดียว แกตายไปพวกฉันจะรู้สึกยังไง” เฮียฉีกล่าว เขาไม่เคยต้องหลั่งน้ำตา แม้วันที่ป๊าตายจากไปก็เพียงมีดวงตาแดงก่ำเท่านั้น แต่เมื่อได้รู้ว่าน้องสาวของเขาจะจากไป เขาก็สะเทือนใจนัก น้องสาวที่ลึกๆ พวกเขาทั้งสี่คนก็รู้สึกผิดมาโดยตลอด เวลาที่กินอาหารพวกเขามักจะได้กระดูกหมูเนื้อเยอะ แต่น้องสาวต้องกินเศษเนื้อหมู อาหารดีก็จะให้พี่ชายกินก่อน ส่วนน้องสาวกินทีหลัง บางทีก็ต้องไปช่วยแม่บ้านทำงานบ้าน ทั้งที่เหมยลี่ก็เป็นลูกสาวป๊าคนหนึ่ง พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีนัก แต่เพราะตอนนั้นก็ทำอะไรมากไม่ได้ “ฉันดีใจนะที่ได้ยินเฮียพูดแบบนี้ แต่ยังไงฉันก็หนีไม่พ้นความตายอยู่ดี แค่พวกเฮียช่วยฉันจัดการก็พอ ส่วนทรัพย์สินฉันยกให้หนูแพรวหลานรักของฉันนะ” “เห้ยยย ฉันก็มีลูกสาวนะ ทำไมลูกสาวฉันไม่เห็นได้บ้าง” เฮียฮ้อพี่ชายคนที่สี่บอก เหมยลี่เบ้ปาก พี่ชายคนนี้ดูไม่จริงจังเท่าไหร่ แต่ก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจพอสมควร ทั้งยังประสบความสำเร็จในด้านครอบครัว ความรัก ทั้งยังเป็นพ่อที่ดีของลูก “เฮียไม่ได้ลำเอียงกับลูกเหมือนเฮียชุนนี่” “พอได้แล้ว พวกลื้อนี่ อาเหมยลื้อก็อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปไหนแล้ว พวกลื้อทุกคน ทุกเดือนก็มากินข้าวด้วยกันสักวัน พาลูกพาหลานมาพร้อมหน้าพร้อมตากันบ่อยๆ” คุณนายกิมกล่าวก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าว มื้ออาหารวันนั้นไม่มีอะไรอร่อยสักอย่าง ทุกคนต่างมีเรื่องราวที่สะเทือนในใใจ คำพูดของเฮียซานทำให้ทุกคนหวนระลึกภาพความลำบากของน้องสาวได้ อาเหมยเป็นเด็กตัวขาว ผอม น่ารักน่าเอ็นดู ทั้งยังน่าสงสารเป็นที่สุด ป๊าไม่เคยสนใจผลการเรียนของอาเหมย จะมาสนใจอีกทีก็ตอนบังคับให้อาเหมยแต่งงาน พวกเขาพยายามช่วยก็โดนป๊าต่อว่า และเพราะความขี้ขลาดของพวกเขาทุกคนที่ทำให้อาเหมยเหมือนรู้สึกว่าเธออยู่ตัวคนเดียว ส่วนเหมยลี่เธอก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะได้คำตอบแบบนี้จากพี่ชาย ที่แท้เธอผลักไสทุกคนให้ออกห่างตัวเองจริงๆ ทำให้โลกทั้งโลกของเธอมีแต่สินธร คนที่ไม่เคยจริงใจกับเธอเลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมาเธอเสียเวลาไปแล้วหลายสิบปี ทิ้งครอบครัว แต่ท้ายที่สุดก็มีแค่ครอบครัวของเธอเท่านี้เอง เหมยลี่ใช้เวลากับการอยู่บ้านใหญ่ บรรดาลูกของเฮียชุนแทบทุกคนย้ายออกไปอยู่คอนโดกลางเมืองกันหมด บางคนก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านใหญ่นัก แต่ก็ไม่ค่อยจะกลับมาบ้านสักเท่าไหร่ เหมยลี่เองก็เข้าใจ ความต่างกันของอายุ อีกทั้งเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ก็นับว่าเก่งกล้าพอตัว กล้าที่จะเสี่ยง จะทำอะไร ลงทุนอะไร แม้แต่หนูแพรวที่เรียบร้อยไม่ค่อยมีปากมีเสียง ยังกล้าที่จะลงทุน แม้จะเป็นทุนที่มาจากเธอ หนูแพรวก็ทำได้ดีทุกอย่างอย่างน่าชื่นชม “สินธรมันหัวเสียน่าดู” เสียงหัวเราะชอบใจของเฮียชุนเดินมาพร้อมกับยื่นเอกสารการฟ้องร้องที่ได้รับจากทนาย เหมยลี่ไม่ได้คิดจะหยิบอ่าน เพราะไม่อยากให้เรื่องราวพวกนี้มากวนใจเธอจนเกินไป “จะไม่หัวเสียได้ยังไง เงินของเขาหมดไปแล้ว ธนาคารของเขาอย่างฉันก็ไม่อยู่ ลูกสาวติดคุกจะหาเงินประกันตัวยังยาก ทรัพย์สินที่เมียน้อยตัวเองมีก็ถูกยึดไว้ตรวจสอบ คนเป็นพ่อคงร้อนใจน่าดู ลูกสาวที่ตัวเองเฝ้าถนอมมาโดยตลอด" เหมยลี่หัวเราะออกมาเล็กน้อย เธอเข้าใจเวลาที่บรรดาพี่ชายของเธอมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นแล้ว เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจว่าคนเราจะแค้นเคืองอะไรกันมากขนาดนั้น แต่พอโดนกับตัว เธอก็แค้นเคืองพวกเขามากเหมือนกัน แม้จะคิดว่าตัวเองเมตตาพวกเขามากแล้ว แต่วิธีของเธอก็โหดร้ายมากอยู่ดี “ถ้าฉันรู้ว่าแกโหดขนาดนี้ ฉันคงไม่ปล่อยให้แกเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยแบบนั้นหรอก มาช่วยงานฉันป่านนี้แกคงได้เป็นใหญ่เป็นโตมากกว่านี้ไปแล้ว” “ช่วยงานเฮีย ให้เฮียเอาเปรียบน่ะหรอ” “ธรรมดา พี่น้องกัน แต่ทำงานก็คือทำงาน แล้วนี่แกจะเอายังไงต่อไป" “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ฉันก็แค่คืนสนองในสิ่งที่พวกเขาทำกับฉันไว้เท่านั้น ถ้าหากว่าสินธรดิ้นรนจนรอดพ้นไปได้ ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของเขาก็แล้วกัน” เหมยลี่กล่าว เรื่องที่สินธรทำกับเธอ กับบริษัทของเธอไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย บริษัทเธอเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว การจะโกงเงิน ยักยอกทรัพย์สินจะลดความเชื่อมั่นในบริษัท อีกทั้งผู้บริหารเดี๋ยวนี้ก็สามารถจ้างคนนอกมาทำต่อได้ แล้วค่อยปูทางให้หนูแพรวในตอนหลังก็ยังไม่สาย “เห้อ… เอาเถอะ แค่แกสามารถเรียกทรัพย์สินคืนได้ทั้งหมด ฉันก็ไม่คิดจะทำอะไรไปมากกว่านั้น ส่วนเรื่องยัยแพรว แกมั่นใจหรอ” “เฮียไม่รู้บ้างหรอว่าลูกตัวเองทำอะไรได้บ้าง หนูแพรวเก่งมากเลยนะ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ เป็นผลกำไรทั้งหมด ทั้งยังทำได้ในระยะยาว เลือกคนทำงาน เลือกหุ้นส่วนได้ดีเลย แถมยังเด็ดขาดเสียยิ่งกว่าฉันอีก" “แต่…” “แค่เพราะเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหตุผลที่ดีเลยนะเฮีย สมัยนี้ผู้หญิงเก่งก็มีเยอะแยะ เฮียให้โอกาสลูกสาวบ้างเถอะ ฉันรักหนูแพรวเหมือนลูกของฉัน ฉันไม่อยากให้หนูแพรวรู้สึกเหมือนที่ฉันเคยรู้สึก” “ฉันไม่ได้ใจร้ายกับยัยแพรว ฉันไม่มีเวลาเลี้ยงลูก” “แต่มีเวลาเอาเมียน่ะหรอ กี่คนเข้าไปแล้วเฮีย” เหมยลี่ถามพี่ชายคนโตกลับ เฮียชุนเห็นเป็นคนนิ่งแบบนี้ แต่เรื่องผู้หญิงกลับแพรวพราวไปหมด มีทั้งที่เลี้ยงนอกบ้าน มีทั้งในบ้าน มีทั้งแบบทะเบียนสมรส แบบไม่สมรส ลูกก็มีตั้งห้าคน ถึงมันอาจจะไม่ได้เยอะในหมู่คนรวย แต่ก็นับว่าเยอะอยู่ดี “ก็มีหมดรุ่นแค่ยัยแพรวไง ฉันทำหมันไปนานแล้ว” “จริงหรอ คนแบบเฮียเนี่ยนะ” “เออสิ… ฉันเครียด อีกอย่างผู้หญิงพวกนั้นก็เข้ามาช่วยฉันแก้เครียดเอง กลิ่นเงินมันหอม" “เห้อ…” เหมยลี่ไม่อยากให้พี่ชายดูถูกเพศหญิง แต่เธอเองก็ประสบพบเจอคนคลั่งรักเงินตราจนยอมถวายศักดิ์ศรีของตัวเอง ราวกับมันไร้ค่า ไม่มีความหมาย และพอได้ย้อนคิดอีกครั้ง เงินมันก็หอมหวานจริงๆ นั่นแหละ เพราะเธอไม่ลำบาก เธอเลยไม่รู้ว่าเงินมันหอมขนาดไหนกัน เหมยลี่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่ แต่อาการป่วยของเธอกลับรุนแรงขึ้น เธอมักจะมีอาการเหนื่อยง่าย หอบหายใจ บางครั้งก็หายใจไม่เป็นจังหวะ เวลาทานอาหารก็รู้สึกกลืนยากมากขึ้น การรับรู้อะไรต่างๆ ก็น้อยลงมาก เหมยลี่อยากจะหลบไปใช้ชีวิตที่บ้านของตัวเอง “ม๊า ฉันจะกลับบ้านแล้วนะ” เหมยลี่กล่าว เธอป่วยจนไม่คิดอยากจะอยู่ที่นี่ เพราะกลัวจะตายที่นี่ แล้วลูกหลานจะหวาดกลัว ถ้าเลือกได้เธอขอไปตายในบ้านที่เธอตั้งใจสร้างดีกว่า ที่นั่นเป็นบ้านของเธอมายี่สิบปี เธออยากจะอยู่ที่นั่นในวาระสุดท้ายของชีวิต “ม๊าจะไปด้วย” “ม๊า… ฉันโตขนาดนี้แล้วไม่ต้องห่วงหรอก ม๊ายังต้องเป็นอาม่าให้หลานมันอยู่ ไม่ต้องตามฉันไปหรอก ค่อยจัดงานให้ฉันทีหลังก็แล้วกัน เอางานแบบไทยนะ ไม่อยากไปอยู่ในสุสาน หนวกหู ไม่อยากเจอป๊า” เหมยลี่กล่าวกึ่งติดตลก คุณนายกิมตาแดง แต่ก็ได้แต่พยักหน้า เพราะรู้ว่าเหมยลี่เป็นคนที่พูดอะไรแล้ว เธอจะต้องการได้แบบนั้นมากที่สุด มาอยู่บ้านใหญ่นานนับเดือนก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย สะใภ้คนโตคนปัจจุบันชอบทะเลาะหาเรื่องเฮียชุนเป็นที่สุด ทั้งยังชอบกีดกันลูกของเฮียชุน จนคุณนายกิมต้องคอยมาจัดการเรื่องวุ่นวายพวกนี้ “งั้นลื้อก็ดูแลตัวเองให้ดี ที่นั่นมีคนของอั๊วเยอะ แล้วจะไปหาทุกอาทิตย์นะ” คุณนายกิมบอกกับลูกสาว เมื่อเหมยลี่เดินขึ้นรถออกไป คุณนายกิมก็ร้องไห้ออกมา อายุของคุณนายกิมก็ผ่านมาเยอะมากแล้ว ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าลูกสาวของเธอใกล้จะจากไป เหมยลี่กลับมาในคฤหาสน์ของตนเองที่บัดนี้เป็นชื่อของหนูแพรวไปเรียบร้อย เรื่องราวการดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดสินธรยังคงอีกยาวไกล แต่ไม่ว่าใครต่างก็ทราบว่านี่เป็นจุดจบของเขาแล้ว ญาติพี่น้องตระกูลใหญ่ของเหมยลี่มีอำนาจมากแค่ไหน จะหันไปทางไหนก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย แม้ตอนนี้จะช่วยวนาลี ประกันตัวออกมา แต่ในกลุ่มเพื่อนของเธอต่างก็โจษจันว่าวนาลี ไม่ใช่ลูกเศรษฐี แต่เป็นลูกสาวของแม่บ้าน ที่เป็นเมียน้อยของสามีเจ้าของบ้านที่เป็นแมงดาอีกที วนาลีที่รักหน้าตาของตัวเองแทบเสียสติ และรับไม่ได้กับความอับอาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องบนคอนโดหรูของพ่อ ที่อีกไม่นานก็จะถูกยึด สินธรตั้งใจว่าจะจบเรื่องและย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เขายอมแพ้เหมยลี่ และอยากจะเข้าไปคุยเพื่อขอโอกาสให้เขาอีกครั้ง สินธรจึงได้แอบย่องเข้ามาในคฤหาสน์ชานเมืองในตอนกลางคืน รอบบริเวณที่นี่ยังไม่ใช่หมู่บ้าน ทั้งยังมีทางมากมายที่จะมุดลอดเข้ามาได้ สินธรอาศัยอยู่ที่นี่เป็นสิบปี ทั้งยังเป็นคนควบคุมดูแลแบบตั้งแต่แรก เขาย่อมรู้ทางเข้าทางออกดี เหมยลี่นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องรอเวลาถอยหลังของตัวเอง หนูแพรวก็มักจะมานอนที่นี่กับเธอด้วยทุกคืน แต่วันนี้กลับมีธุระทำให้กลับมาไม่ทัน ซึ่งเหมยลี่ก็ไม่อยากให้หนูแพรวเหนื่อยเดินทาง จึงขอให้หนูแพรวพักในบ้านที่กรุงเทพ ไม่ต้องลำบากมาที่นี่ “เหมย เหมย” สินธรพยายามปลุกเหมยลี่ที่กำลังนอนบนเตียง อาการของเหมยลี่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบากเห็นสินธร ผู้เป็นสามีคนที่เธอไม่เห็นมาตั้งนาน เหมยลี่อยากจะโกรธเขามาก อยากให้เขาตาย แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเธอที่ต้องตายเอง “คุณมาทำไมคะ” “เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของคุณใช่ไหม” สินธรถามอย่างใจเย็น ทั้งคู่นั่งประจันหน้ากันท่ามกลางความมืด เหมยลี่เอนตัวพิงพนักหัวเตียงก่อนจะพยักหน้ายืนยันว่าเรื่องทุกอย่างเริ่มมาจากเธอจริงๆ “ผมรู้ว่าผมผิด แต่คุณก็น่าจะเหลือทางรอดไว้ให้ผมบ้าง” “แล้วฉันทำผิดอะไรคะ ทำไมคุณต้องมาหลอกฉันด้วย” “ผมเห็นแก่ตัว ผมรู้ แต่ลีเป็นลูกสาวของผม คุณทำซะลีไม่มีหนทางรอดเลย เธอซึมเศร้า ขังตัวเองอยู่ในห้อง คุณรู้ไหมเหมย ว่าลีคือแก้วตาดวงใจของผม” สินธรกล่าวด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เขาแค้นเหมยลี่สำหรับทุกอย่าง แต่ทุกอย่างมันก็เป็นเพราะคนอย่างเขาเป็นคนเริ่มต้นทำทุกอย่างทั้งสิ้น แต่เหมยลี่ก็ลงมือหนักจนลูกสาวเขาแทบสิ้นสติ ทั้งเขาและกานดาทุกข์ระทมใจจนแทบไม่กินไม่น้อย พี่ชายคนโตของเหมยลี่ก็จัดการเขาจนแทบไม่เหลือทางถอย “คุณเองก็รู้ว่าในชีวิตฉันมีคุณแค่คนเดียว คุณหลอกฉันไม่พอ ยังเอาสองแม่ลูกนั่นมาเหยียบย่ำจิตใจฉันถึงในบ้าน ลูกสาวคุณแอบอ้างว่าเป็นลูกฉัน เป็นเจ้าของบ้าน ใช้ชีวิตเป็นลูกเศรษฐี ฉันไม่เคยว่า แต่ในเมื่อฉันรู้ความจริง จะให้ฉันปล่อยวางได้หรอคะ” เหมยลี่กล่าว เธอกับสินธรพูดคุยกันราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงดินน้ำลมฟ้า ไม่มีสาระสำคัญอะไร เหมยลี่เหนื่อยที่จะใช้กำลังทุ่มเถียง เพราะพูดไปก็เท่านั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเองก็หมดแรงที่จะตะโกนโวยวายใส่สินธร แม้ความรักจะจืดจางจนแทบไม่เหลือแล้ว แต่ความผูกพันยังคงมีอยู่บ้าง แต่เหมยลี่ก็เชื่อว่าลึกไปภายในใจสินธรก็คงยังมีความเป็นคนอยู่บ้าง หากเขาไม่ดีจริง เธอจะรักกับเขาได้นานเป็นสิบปีโดยที่เธอไม่ค่อนแคะบ้างเลยงั้นหรอ แต่เพราะเขาลวงหลอกเธอ เขาก็ควรได้รับกรรมในสิ่งที่เขากระทำไว้ กเฬวราก คือ คำที่เรามักอ่านว่า กะเลวกะลาด แปลว่าซากศพ แต่ส่วนใหญ่ใช้เป็นคำด่าเชิงพวกไร้ประโยชน์เหมือนซากศพ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD