ตอนที่ 2 ที่นี่ที่ไหน...

1777 Words
“หรานหราน ทำไม?” “มันเป็นคำสั่งของเจ้านาย ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม” เธอโกหก ไม่มีทางเสียหรอกที่เฉินอิงหรานจะไม่รู้เหตุผล ในตอนนั้นเองที่ประตูโกดังร้างเปิดออกเสียงดังสนั่น กลุ่มคนที่เฉินอิงฟ่านรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีเดินเข้ามาโดยมีหัวหน้าเฉินเดินนำ แม้จะเห็นคนสนิทมือซ้ายของเจ้านายใช้มีดแทงคนสนิทมือขวาจนปางตายอยู่ตำตา แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาห้าม ไม่มีใครกล้าให้การช่วยเหลือหรือคิดจะนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลเลยสักคน มิหนำซ้ำคำพูดแรกที่ได้ยินจากปากชายสูงวัยที่นับถือเสมือนเป็นพ่อกลับยิ่งตอกย้ำให้หญิงสาวรู้ตัวว่าพลาดเหยียบกับดักเข้าอย่างจัง “นับจากนี้ไป เธอคือผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าต่อจากฉัน อิงหราน” “ขอบพระคุณสำหรับความกรุณาค่ะบอส” คนที่เฉินอิงฟ่านให้ความเคารพและสำนึกบุญคุณที่เขาพาเธอกับเพื่อนออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มองร่างซึ่งนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา ทั้ง ๆ ที่เธอสู้อุตส่าห์ปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตาย ฆ่าคน เป็นอาชญากรที่ถูกตำรวจหมายหัวตามล่าอันดับต้น ๆ ของประเทศ ทำเรื่องผิดกฎหมายเป็นร้อยคดี เพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานอยากเป็นที่หนึ่งในโลกใต้ดินของเขา หญิงสาวนึกถึงเหตุผลข้อหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนไปงานเลี้ยงแซยิดหัวหน้าแก๊งจิ่วหลงที่มาเก๊า ลูกชายหัวหน้าแก๊งนั้นให้ความสนใจตัวเธอจนออกนอกหน้า ถึงกับเอ่ยปากว่าจะแบ่งส่วนคลังอาวุธสงครามที่ประมูลจากพ่อค้ารัสเซียให้สามสิบเปอร์เซ็นต์ถ้าเธอตกลงย้ายไปทำงานให้เขา ไม่ว่าจะเพราะกลัวมือขวาคนสนิทแปรพักตร์ไปอยู่แก๊งอื่น หรือกลัวว่าเฉินอิงฟ่านจะเหิมเกริมยึดอำนาจโดยมีแก๊งจิ่วหลงคอยหนุนหลัง เจ้านายใหญ่ก็ไม่ไว้ใจให้เธออยู่ต่อและคิดกำจัดทิ้งเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม ที่คาดไม่ถึงก็คือ เฉินอิงหราน เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่เป็นดั่งพี่น้องกลับร่วมมือกับหัวหน้าเฉินแลกกับการได้เป็นผู้สืบทอด “อิงหราน จัดการซะ” “ค่ะบอส” ยัยตัวแสบคนทรยศเพื่อนเดินเข้าใกล้ ใบหน้าแป้นแล้นยิ้มระรื่นสำทับความโง่งี่เง่าของคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าโกดังร้างแห่งนี้ไม่ใช่ของแก๊งคู่อริมาตั้งนานแล้ว และภารกิจขโมยใยไหมทองคำก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพตั้งแต่แรก “ในฐานะที่เคยเป็นเพื่อน ฉันจะเหลือเวลาให้เธอสักห้านาทีก็แล้วกัน” เฉินอิงหรานก้มลงหยิบปืนบาเร็ตตา 92 ซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอวเฉินอิงฟ่านออกมาจ่อหน้าเจ้าของ มือเปื้อนคราบเลือดปลดล็อกเสื้อกันกระสุนเป็นสัญญาณบอกว่าไม่มีปาฏิหาริย์ใดที่จะสามารถช่วยชีวิตคนดวงถึงฆาตอย่างเธอได้อีกแล้ว “เธอควรดีใจนะที่ฉันเป็นคนลงมือ ไม่อย่างนั้นแค่นาทีเดียวสำหรับอธิษฐานถึงชาติหน้าก่อนตายก็คงไม่มีใครให้โอกาสนั้นกับเธอหรอก” “ลาก่อน ฟ่านฟ่าน” กระสุนหลายนัดรัวฝังลงบนหน้าอกและช่องท้อง เสียงลั่นไกเสียดแทงโสตประสาทพร้อม ๆ กับที่กลิ่นเขม่าดินปืนคลุ้งคลอกับกลิ่นคาวเลือด ของเหลวสีแดงไหลทะลักเป็นสาย อวัยวะภายในถูกแรงกระสุนบดขยี้จนแหลก ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่างเหมือนเซลล์ทุกเซลล์กำลังแตกสลาย ลมหายใจรวยรินจนขาดห้วง หากแต่เฉินอิงฟ่านก็ยังไม่ตายในทันที นัยน์ตาที่ยังไม่มืดสนิทจ้องค้างมองภาพแผ่นหลังกลุ่มคนสารเลวเดินจากไป ทิ้งหนึ่งในอดีตสมาชิกระดับสูงของแก๊งหวาเป่ยไว้กับมัจจุราชที่กำลังคืบคลานเข้ามาวินาทีต่อวินาที สมกับที่ภาษิตว่าไว้ ไม่มีสัจจะในหมู่โจร ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร แม้แต่คนที่ร่วมทุกร่วมสุขมีแค่กันและกัน ก็ไม่อาจต้านทานอำนาจและความมั่งคั่งได้เลย ห้านาทีสำหรับอธิษฐานถึงชาติหน้า ว่าไปแล้วก็ไม่น้อยเลยทีเดียว เฉินอิงฟ่านใช้แรงเฮือกสุดท้ายเอื้อมมือที่แทบขยับไม่ไหวหยิบความปรารถนาออกมาจากกระเป๋าด้านในของเสื้อกันกระสุน มันเป็นภาพระบายสีเทียนที่เธอวาดเมื่อตอนอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและพกติดตัวมาตลอด ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่รู้สึกโดดเดี่ยวก็มักจะหยิบขึ้นมาดูเพื่อชะโลมจิตใจที่แสนโหดร้ายให้มีความสุขในโลกส่วนตัวที่แสนเงียบสงบ กระท่อมไม้โอบล้อมด้วยหุบเขาร่มรื่น หากเป็นฤดูหนาวจะเห็นหิมะโปรย ฤดูใบไม้ผลิจะมีดอกบ๊วยผลิบาน ฤดูร้อนพายเรือเล่นในทะเลสาบได้ ฤดูใบไม้ร่วงกินขนมเปี๊ยะชมจันทร์ มีสวนผลไม้อยู่ด้านหน้าปลูกท้อ ลูกแพร์ ลูกอิงเถา ลูกฉ่าวเหมยให้เต็มพื้นที่ ว่างจากนั้นก็เก็บผลไม้ไปขาย เป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ หาเลี้ยงตัวเองอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องเสี่ยงตาย ไม่ต้องฆ่าใครและไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะถูกใครฆ่า ภาพความฝันที่ไม่อาจเป็นไปได้อีกแล้วในชาตินี้ฉายวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในห้วงสตินาทีสุดท้าย ก่อนที่ลมหายใจของหญิงสาวผู้อาภัพจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความเงียบงันและโศกเศร้าของตัวเอง ..... ‘ถ้านี่เรียกว่านรก ก็เป็นนรกที่ประหลาดเกินไปแล้ว...’ เฉินอิงฟ่านขยี้ตาตัวเองแรง ๆ สลับกับกะพริบตาซ้ำ ๆ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยน มือขวาของหัวหน้าแก๊งหวาเป่ยฆ่าคนนับไม่ถ้วน ทำเรื่องเลวร้ายผิดต่อผู้คนเอาไว้มากมาย คิดอยู่ในหัวเลยว่าอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่สวรรค์แน่ ๆ แต่เป็นนรกที่แตกต่างไปจากการรับรู้ผ่านเรื่องเล่าและสื่อบันเทิงที่เธอเคยเจอมามากกว่า... ‘ที่นี่มันที่ไหนล่ะเนี่ย’ บ้านหลังนี้ยังคงดูเป็นบ้านธรรมดา ถึงแม้จะเก่าผุพังเสียจนหลังคาแทบจะถล่มลงมาอยู่รอมร่อ ฟูกที่นอนก็เหม็นอับ ผ้าห่มขาดเป็นรู ขาเตียงโยกเยกใกล้ล้ม จนไม่แน่ใจว่าคนปกติสามารถอาศัยหลับนอนที่นี่ได้จริงหรือ สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเคยอยู่ว่าซอมซ่อมากแล้วก็ยังไม่ถึงขั้นนี้ หรือว่านรกที่เขาพูดกันไม่ได้ไฟลุกท่วมเต็มไปด้วยเสียงโหยหวนทรมานแบบที่ในหนังสือเขียนไว้ แต่มาในรูปของความยากจนขั้นสุดให้ต้องเผชิญต่างหาก เฉินอิงฟ่านประคองร่างอันอ่อนเพลียลงจากเตียงไม้ง่อนแง่น ความทรงจำก่อนตายยังอยู่ครบถ้วนเช่นเดียวกับความรู้สึกเจ็บปวดแสบร้อนในยามที่คมมีดและกระสุนทะลุผิวเนื้อ สัญชาตญาณสายลับนักฆ่าตื่นเตลิด ทำให้เธอไม่อาจนอนนิ่งรอชะตากรรม แม้จะดูเหมือนว่าเธอตายไปหนหนึ่งแล้วก็เถอะ ทว่าในตอนที่กำลังจะก้าวเท้าไปถึงประตู อยู่ ๆ ภาพบางอย่างก็แล่นเข้ามาเหมือนมีใครเปิดเครื่องฉายภาพยนตร์ในสมองพร้อมกับความเจ็บปวดที่ค่อย ๆ ทวีขึ้น ‘ลู่อิงอิง เธอมันคนใจร้าย!’ หญิงสาวนัยน์ตาหงส์ท่าทางเย่อหยิ่งมองเชิดใส่หญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่ง เธอคนนั้นใบหน้าเปียกชุ่มด้วยน้ำตา มือสองข้างแดงเถือกคล้ายถูกน้ำร้อนลวก ริมฝีปากบิดเบี้ยวร้องตะโกนตัดพ้อเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นต้นเหตุของการกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียนของหมู่บ้าน หากลู่อิงอิงก็เอาแต่ยืนเฉยแกมหัวเราะเยาะเย้ย ‘ฉันเกลียดเธอ ทั้งเกลียดทั้งขยะแขยง.... ไม่มีวันที่ฉันจะชอบเธอลง ยิ่งเรื่องแต่งงาน เลิกฝันไปได้เลย ลู่อิงอิง!’ คราวนี้ภาพตัดไปเป็นอีกฉาก ผู้ชายหน้าคุ้น ๆ ชี้นิ้วด่าทอหญิงสาวนัยน์ตาหงส์อย่างกับโกรธแค้นมาตั้งแต่ชาติปางไหน เขาต่อว่าประณามเธอต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านหลายสิบชีวิต ลู่อิงอิงเองก็โกรธจัดเช่นกัน หญิงสาวตาแดงก่ำหอบหายใจแรงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องราวกับคนเสียสติแล้วเข้าไปตบตีสาวน้อยหน้าหวานที่อยู่ในฉากน้ำร้อนลวกมือ พร้อมกับด่ากราดว่าแม่คนนั้นเป็นนังแพศยาสารเลวแย่งชายคนรักของเธอไป ‘คำตัดสินจากทางการมีดังนี้... ลู่อิงอิงต้องโทษเนรเทศออกจากหมู่บ้าน ให้ไปใช้แรงงานหนักที่เหมืองเหล็กในเมืองอันหยวนสามสิบปี คนอื่น ๆ ในครอบครัวให้ต้องโทษเพิ่มชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์และตัดคูปองอาหารสามส่วนเป็นระยะเวลาห้าปี’ ‘ไม่จริง!! ไม่นะ!’ ภาพตัดมายังฉากที่สาม ลู่อิงอิงยังคงกรีดร้องโวยวายในขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการกำลังลากตัวเธอออกจากลานประชุมของหมู่บ้านไปขึ้นรถ เห็นได้ชัดว่าเธอต้องทำความผิดร้ายแรงมาก ที่ตรงนั้นมีชายและหญิงวัยกลางคนวิ่งตามพยายามยื้อแย่งตัวลู่อิงอิงกลับมา แม้จะมีชาวบ้านรั้งไว้พวกเขาก็ยังเอาแต่สะอื้นไห้ปริ่มจะขาดใจ แน่นอนว่าชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าหวานจากฉากที่สองก็ร่วมปรากฏตัวเป็นสักขีพยานในการตัดสินโทษของลู่อิงอิงด้วยความสะใจ “นี่มันอะไรกัน... ลู่อิงอิงคือใคร?” คลื่นรบกวนที่แทรกเข้ามาในสมองหายไปพร้อมกับความเจ็บปวด ภาพที่เฉินอิงฟ่านเห็น ณ เวลานี้กลับมาเป็นห้องนอนเก่าโทรมตามเดิมเหมือนตอนที่ลืมตาฟื้นสติขึ้นมา ไม่เพียงแปลกใจกับเหตุการณ์คล้ายฉากในภาพยนตร์เก่าซึ่งซ้อนทับกับปัจจุบันแบบไม่มีที่มาที่ไป แต่ยังน่าประหลาดใจ คาใจ ข้องใจสงสัย ที่รู้สึกเหมือนว่าคนเหล่านั้นพูดกับเธอ รุมด่าเธอ รุมเกลียดชังเธอ และร้ายที่สุดก็คือจับตัวเธอส่งทางการให้ไปรับโทษใช้แรงงานหนักสามสิบปี ซึ่งถ้าเทียบกับยุคศตวรรษที่ยี่สิบห้าก็ไม่ต่างอะไรกับโทษประหารชีวิต “โอ๊ย!” ฉับพลันอาการเจ็บจี๊ด หญิงสาวก็ปวดหัวจนตาพร่า ต้องรีบพาร่างกลับไปนอนลงบนเตียงก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD