คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเคยเจอเรื่องแบบนี้ที่ไหนมาก่อน!
เฉินอิงฟ่านมองเงาตัวเองผ่านกระจกส่องหน้าบานเล็กที่ถูกวางทิ้งไว้ในห้อง ตอนนี้เธอรู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาหงส์ผู้แสนร้ายกาจและเป็นที่เกลียดชังของผู้คนเป็นใคร
‘ลู่อิงอิง’ คือนางร้ายในซีรีส์ยุคสาธารณรัฐที่เธอเคยดูฆ่าเวลาเมื่อสองสามปีก่อน ถ้าพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่า เป็นเฉินอิงหรานต่างหากที่ชอบดูละครน้ำเน่าเมโลดรามาเรื่องนี้ ส่วนเธอก็แค่ดูบ้างไม่ดูบ้างแบบข้าม ๆ เพราะรำคาญความตื้นเขินของตัวละคร คนไหนดีก็ดีสุดใจ คนไหนร้ายก็ร้ายไร้สาระ โดยเฉพาะลู่อิงอิงที่นิสัยร้ายกาจขาดเหตุผลจนน่ารำคาญ ทั้งยังเอาแต่ใจและขี้อิจฉาริษยา
พอตอนหลังที่เฉินอิงฟ่านมัวยุ่งกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายก็เลยเลิกดูไปโดยปริยาย แต่ก็ได้ยินเธอเล่าว่าตัวร้ายและครอบครัวไม่ได้มีจุดจบที่ดีนัก
ซึ่งเรื่องที่น่าหนักใจก็คือไม่ว่าเธอจะพยายามส่องกระจก หยิกหลังมือ ตบหน้าตัวเองแล้วส่องกระจกซ้ำอีกกี่ครั้ง ใบหน้าที่มองสะท้อนกลับมาก็ยังคงเป็นใบหน้าเย่อหยิ่งน่าหมั่นไส้ของลู่อิงอิงในซีรีส์ที่เคยดูอยู่ดี
‘ไม่จริงน่า... สวรรค์ส่งฉันมาลงโทษในดินแดนแห่งนี้จริงหรือ’
หญิงสาวนึกทบทวนจับต้นชนปลาย ในนิยายหรือภาพยนตร์สมัยใหม่มีเรื่องการทะลุมิติ จิตวิญญาณไปเข้าร่างอื่น กลับชาติมาเกิดย้อนหลังเป็นอีกคนอยู่ดาษดื่น แต่ใครจะไปรู้ว่ามันสามารถเกิดขึ้นจริงได้ มีทฤษฎีวิทยาศาสตร์รองรับแล้วหรือยัง? ไอน์สไตน์หรือว่านิวตันเคยบันทึกถึงเรื่องนี้ไหม? ไม่เข้าใจเลยว่าอดีตสายลับนักฆ่าแบบเธอมาอยู่ในร่างของลู่อิงอิงที่สุดแสนจะน่ารังเกียจคนนี้ได้อย่างไร? ทำไมไม่ไปอยู่ในร่างคนดี ๆ หรือนางเอกของเรื่องบ้าง
เมื่อเสียเวลาคิดหาสาเหตุไปก็เปล่าประโยชน์ เฉินอิงฟ่านจึงเปลี่ยนมานั่งกอดเข่าใคร่ครวญถึงความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่อจากนี้แทน ถ้าเธอเล่นตามน้ำยังคงอุปนิสัยเดิมของลู่อิงอิงไว้เหมือนเดิม เรื่องราวก็จะไปจบลงที่เจ้าตัวถูกทางการจับไปทำงานในเมืองเหล็กสามสิบปี ทั้งครอบครัวโดนลงโทษเพิ่มงานลดอาหารแน่ ๆ
เฉินอิงฟ่านเคยผ่านความตายมาแล้วหนหนึ่งก็รู้สึกว่าทำไมคนเราถึงต้องอยากตายซ้ำตายซ้อนด้วยล่ะ เธอไม่ใช่คนเลวโดยกมลสันดาน ยิ่งตอนนี้ไม่มีหัวหน้าเฉินมาคอยบงการให้ทำเรื่องผิดกฎหมายก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำร้ายใครอีก ถ้าเลือกได้เธอจะขอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายใด ๆ ไม่ดีกว่าหรือ
ตัวเธอคนเดียวคงไม่อาจเปลี่ยนโชคชะตาและจุดจบได้ ดังนั้นสิ่งแวดล้อมและคนรอบตัวก็จะต้องถูกปรับปรุงตัวกันใหม่ทั้งหมด
“ชายหญิงแก่คู่นั้นคงเป็นพ่อแม่ อ้อ มีพี่ชายกับพี่สะใภ้ด้วยสินะ”
ถ้าจำไม่ผิดพลาด ลู่อิงอิงมีพ่อแม่เป็นต้นแบบของความร้ายกาจ ตระกูลลู่เคยรุ่งเรืองร่ำรวยในยุคที่ราชวงศ์ยังไม่ล่มสลายจึงติดนิสัยชอบเหยียดหยามคนที่พวกตนคิดว่าด้อยกว่า พี่ชายสองคนก็ขาดความเป็นผู้นำไม่เป็นโล้เป็นพาย พอแต่งสะใภ้หัวอ่อนเข้ามาก็ยิ่งพากันเหยาะแหยะไม่เอาไหน ต้องเปลี่ยนนิสัยคนถึงหกคนพร้อม ๆ กันในระยะเวลาจำกัดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
‘ไข่มุกนี้เป็นของสมัยราชวงศ์ชิงเชียวนะ พวกเธอตระกูลซูอย่าว่าแต่จะหามาครอบครองเลย แค่เคยเห็นของจริงสักครั้งก็ยังยากเลยใช่ไหมล่ะ’
‘งานเทศกาลหมู่บ้านปีนี้ อิงอิงของเราจะต้องสวยโดดเด่นกว่าใคร ได้ยินว่าท่านนายพลกับคุณชายใหญ่เหอเหรินอี้จะมาร่วมชมร่ายรำธิดาบุปผาด้วย ยัยลูกสาวสกุลซูไม่มีทางถูกตาต้องใจคุณชายใหญ่เหอหรอก คนที่จะได้แต่งเป็นสะใภ้ท่านนายพลก็คืออิงอิงของเรานี่ล่ะ’
‘คุณชายใหญ่เหอกับอิงอิงมีวาสนาต่อกัน ถ้ายัยลูกสาวแพศยาของเหล่าซูไม่ยอมถอยไปล่ะก็ อย่าหาว่าพวกเราบ้านใหญ่ตระกูลลู่ไม่เตือนเชียว!’
อืม... สุดท้ายแล้วคุณชายใหญ่เหออะไรนั่นที่เป็นพระเอกกับซูเหม่ยหลินนางเอกของเรื่องก็แต่งงานกัน สารพัดความเลวร้ายซึ่งลู่อิงอิงสร้างขึ้นก็เป็นได้แค่อุปสรรคที่พิสูจน์ว่าความรักของทั้งคู่ให้แน่นแฟ้นมั่นคงมากขนาดไหน
ดังนั้นควรเริ่มต้นจากการอย่าไปยุ่งกับพวกเขาทั้งคู่ อยู่ให้ห่างที่สุดเท่าที่จะห่างได้ แล้วก็ต้องไปบอกคุณพ่อคุณแม่รังแกฉันด้วยว่าอย่าโอ้อวดไม่เข้าท่า ห้ามทำให้ลูกสาวตัวเองงานเข้ากลายเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของพระเอกนางเอกเป็นอันขาดด้วย
‘ลู่อิงอิง’ ก้าวออกจากห้องได้ในที่สุด หลังจากที่คนทั้งบ้านเข้าใจว่าเธอมีไข้สูงมาหลายวัน เมื่อเปิดประตูเก่า ๆ ออกมาจากห้องแล้วเดินไปที่หน้าบ้านตามความทรงจำที่มี สภาพภายนอกของตัวบ้านก็ซอมซ่อเก่าโทรมไม่ต่างจากห้องนอนของเธอนัก
ถ้าเดาไม่ผิด ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงกลางยุค 70 การปฏิวัติวัฒนธรรมดำเนินมาถึงตอนปลายแต่ประชาชนหลายพื้นที่ยังคงอดอยากและต้องทำงานในแปลงนารวมของรัฐ มีการผ่อนคลายด้านการศึกษา โรงเรียนประจำชุมชนกลับมาเปิดสอนอีกครั้ง ในเมืองเล็กยังคงรักษาธรรมเนียมตามท่านผู้นำอย่างเคร่งครัด
ต้องรออีกสักพักกว่าท่านผู้นำคนนั้นจะถึงแก่อสัญกรรมและมีการเปิดตลาดการค้าเสรีในปีถัดมา และยังมีการเปิดให้สอบเกาเข่าเพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วย
ที่บ้านใหญ่ตระกูลลู่ตกอับจากคหบดีกลายเป็นคนยากจน ก็เพราะถูกยึดทรัพย์ไปในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมก่อนหน้านี้ ทั้งพ่อแม่พี่ชายต่างถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานในแปลงนารวมแลกกับคูปองอาหาร
ส่วนปู่กับย่าเมื่อแยกบ้านให้พ่อแล้วทั้งคู่ก็ไปอยู่กับอารองลูกรัก แน่นอนว่าพ่อคล้าย ๆ จะเป็นลูกชังเพราะนิสัยไม่ค่อยดีนัก และยังไม่รักเรียน ไม่เหมือนอารองที่กตัญญูและปากหวาน
“พี่สะใภ้คะ”
ลู่อิงอิงเห็นผู้หญิงวัยยี่สิบกว่าปีเดินกลับเข้ามาในบ้าน คิดว่าน่าจะใช่พี่สะใภ้จึงเรียกรั้งไว้เพื่อถามว่าพอจะมีอะไรให้กินบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับหลบหน้าเดินหนีราวกับกลัวผีหลอกกลางวันแสก ๆ
“พี่สะใภ้ ฉันแค่จะถามว่า...”
“ฉะ... ฉันจะไม่บอกใคร จะไม่บอกเซียวสวินด้วย เธออย่าทำอะไรฉันเลยนะ!” พี่สะใภ้ละล่ำละลักเสียงสั่นเครือแล้วก็วิ่งหนีออกจากบ้านไป
ลู่อิงอิงมองตามอย่างงุนงง ก่อนจะสังเกตเห็นมือข้างขวาของพี่สะใภ้ว่ามีผ้าพันแผลหนาเตอะ ก็ได้แต่ทอดถอนใจเมื่อคิดว่าแม่นางร้ายของซีรีส์คงเป็นคนก่อเรื่องทิ้งเอาไว้แน่ ๆ
ไม่เพียงจะต้องเปลี่ยนนิสัยคนในครอบครัว อย่างแรกเลยก็คือต้องเปลี่ยนทัศนคติที่คนอื่นมีต่อลู่อิงอิงด้วย ถ้ายังโดนคนหวาดกลัวรังเกียจอยู่แบบนี้เห็นทีว่าคงใช้ชีวิตสงบสุขได้ยาก
“ให้ตายเถอะ ไม่มีอะไรกินจริง ๆ เหรอเนี่ย”
เพราะยุคสาธารณรัฐทุกครอบครัวต้องรอปันส่วนอาหารจากทางการ ปัญหาข้าวสารไม่พอกรอกหม้อจึงเป็นเรื่องปกติ ยิ่งมีหลายปากท้องในบ้านยิ่งลำบาก บ้านใหญ่ครอบครัวลู่มีคนออกไปทำงานที่แปลงนารวมของรัฐไม่กี่คน ส่วนแบ่งที่ได้รับก็เลยน้อยตามไปด้วย ถึงอย่างนั้นพ่อกับแม่ก็ยังคงยืนกรานว่าลู่อิงอิงจะต้องเป็นคุณหญิงคุณนายภรรยาข้าราชการในอนาคต จะให้มาใช้แรงงานหนักเหมือนใคร ๆ ไม่ได้
ในเมื่อไม่มีจะกิน ต่อให้พังห้องครัวก็คงไม่มีแม้หมั่นโถวสักลูกโผล่มาให้เห็น ลู่อิงอิงจึงตักน้ำมาดื่มรองท้องแล้วกลับไปนอนที่ห้อง กะว่าตอนเย็นรอพ่อแม่พี่ชายกลับมาจากทำงานก็น่าจะมีใครหาอะไรให้เธอกินได้บ้าง เพราะทุกคนก็ต้องกินเหมือนกันนั่นแหละ หลังจากนั้นค่อยกลับมาคิดต่อว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่สองที่ได้รับมา นี่ก็แค่วันแรกคงทำอะไรไม่ได้มาก