ท้ายที่สุดฉันจึงรู้แล้วว่า ‘ฉันตัดใจจากจีนไม่ได้เลย’ ถ้าเขาเป็นตุ๊ด เป็นกะเทยฉันก็ควรจะยอมรับและรักเขาไปทั้งอย่างนั้น อยู่กันไปอย่างนั้นจนสุดทาง...ใช่มั้ย?
‘…ไม่ใช่หรอก อย่างน้อยไหนๆ จีนก็ยอมแต่งงานแล้วหากฉันไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ฉันก็จะต้องอยู่หงอยเหงาเหี่ยวเฉาแบบนี้ไปจนตาย อ่า…ฉันต้องเสี่ยงกับการแต่งงานครั้งที่สองนี้โดยมีหัวใจของจีนเป็นเดิมพัน!!’
จบพาร์ท
--++++++++++
09.30น. หน้าร้านลองชุดแต่งงาน
สองเพื่อนรักชายหญิงที่กำลังเลือกชุดอยู่ตรงหน้าพนักงานในร้านกันอย่างสดใสเรียกเสียงเชียร์จากคนรอบข้างได้ดี คุณแม่ของปิ่นและหม่าม๊าของจีนยืนอยู่ในร้านพูดคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานช่วงเช้าที่บ้านของฝ่ายชายแน่นอนว่าทุกคนทั่วจังหวัดต่างรับรู้ว่าเป็นงานแต่งของบ้านเถ้าแก่ซิม เจ้าของร้านทองใหญ่ในจังหวัดแม้งานแต่งนี้สุดแสนจะประหลาดแต่เชื่อเถอะว่าใครๆก็อยากไปเพราะได้ข่าวว่าเถ้าแก่จะแจกแหวนทองหนึ่งสลึงถึงห้าสิบวงด้วยกัน
“รึว่าจะเอาฟูฟ่องเหมือนกันสองชุดแต่แกต้องแก้ตรงช่วงอกนะจีน” ปิ่นมองหน้าอกหน้าใจขนาดเกือบจะสี่สิบของคนที่จะแต่งงานด้วย “เอ…รึว่าฉันจะใช่ชุดเจ้าบ่าวดีนะ” ทำท่านึกได้แล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “555เอางี้ดีกว่าเนาะ ฉันใส่ชุดเจ้าบ่าวแกก็ใส่ชุดเจ้าสาว” พยักหน้าเองหงึกหงักๆ ???????? หันไปหาคุณแม่ของทั้งสองคน “นะคะแม่ นะคะม๊า”
“เอาสิ!!” หม่าม๊าหงษ์สนับสนุนอย่างออกนอกหน้า แม้จะไม่ค่อยชอบใจที่ลูกชายกลายเป็นสาวแต่ตอนนี้ลูกยอมแต่งงานก็ทำเอาทั้งบ้านดีใจไปกว่าครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นลูกสะใภ้ยังเป็นคนที่เธอรู้จักนิสัยใจคอดีก็ยิ่งชอบใจ “เอาชุดแพงๆก็ได้ ม๊าจ่ายให้หมด” เจ้าของร้านทองมากกว่าห้าสาขาบอกอย่างใจป้ำ
จีนทำหน้ายุ่งแต่ก็จำต้องทำตามม๊า เขาก้มมองหน้าอกของตัวเองที่มันบวมเป่งจนแทบจะล้นออกจากชุดแล้วถอนหายใจ ‘งานแต่งครั้งนี้คงจะแปลกพิลึก’ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเพราะเขาก็เริ่มเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ขึ้น ม.ปลายแล้ว เรื่องแต่งงานนี้มันคงจะยังไม่เกิดถ้าหากวันนั้นเขาไม่กลับไปที่บ้านแล้วได้ยินบุพการีทั้งสองคุยกันถึงเรื่องของเขา...
๑----------------------------๑
จีนพาร์ท
ก่อนงานแต่งงานหนึ่งเดือน
"จะทำยังไงกับอาจีนดีล่ะป๊า ตอนนี้ลูกอายุยี่สิบหกแล้วนาเพื่อนสนิทอั๊ว อากิมลั้งก็ทักมาบ่อยๆ ว่าเมื่อไหร่จะพาอาจีนมาเจอกับลูกสาวเขา เราจะบอกยังไงล่ะว่าลูกเรามันไม่ชอบผู้หญิง เห็นมันคุยด้วยก็มีแต่อาปิ่นคนเดียว” หม่าม๊าหงษ์ปรึกษากับเถ้าแก่ซิมผู้เป็นสามี ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าผม ผู้เป็นเจ้าของชืี่อกำลังยืนแอบฟังอยู่ด้านนอก
“ใจจริงอั๊วก็อยากให้ลูกเราเป็นฝั่งเป็นฝาแต่ถ้าวันข้างหน้าอาจีนแกพาผัวเข้าบ้านมาอั๊วคงโรคหัวใจกำเริบแน่ๆ ยังไงลื้อก็ลองโทรไปถามลูกก่อนถ้าอีตกลงค่อยพากันไปหาอากิมลั้งก็ยังไม่สาย” จิบน้ำชามองไปนอกหน้าต่าง “ตอนอาจีนเด็กๆ อั๊วยังไม่เห็นมันจะกลายเป็นแบบนี้นะอาหงษ์ อีก็ดูเป็นผู้ชายแต่ทำไมพอเข้ามหา’ ลัยเปลี่ยนมาใส่กระโปรงซะได้” พูดพลางถอนหายใจ “อั๊วเหนื่อยใจ”
วันนั้นผมเดินออกจากบ้านไปขึ้นรถของตัวเองเพื่อกลับเข้าคอนโดในเมืองทันที ผมคิดมาตลอดทางว่าอะไรดลใจให้ผมหันมาใส่กระโปรงและแต่งตัวแบบนี้กันนะ แล้วภาพที่ตัวเองถูกลากไปทำร้ายก็ฉายเข้ามาทำให้ผมกลายเป็นคนขี้กลัว แต่ช่างมันก่อน ตอนนี้ปัญหาที่มีก็คือม๊าจะพาผมไปหาป้ากิมลั้ง...และผมจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกจับแต่งงานโดยที่ไม่เต็มใจแน่ๆ ผู้หญิงคนแรกที่จะช่วยได้ในตอนนี้ก็มีแค่ ‘ปิ่น’ ผมจำได้ว่าปิ่นเคยบอกไว้ถ้าอายุสามสิบแล้วยังโสด ‘เรามาแต่งงานกันเถอะ’ แค่เร่งเวลาขึ้นมาอีกสี่ปีจะเป็นไรไปล่ะ จุดหมายปลายทางใหม่ที่รถคันหรูขับมาจอดก็คือ คอนโดN ที่ปิ่นเช่าอยู่
อ่อดๆๆๆ ผมยืนกดรัวๆ อยู่แบบนั้นทั้งๆ ที่วันนี้คือวันหยุด
“มาแล้วๆๆ” เสียงดังเล็ดลอดออกมาพร้อมกับเจ้าของห้องเปิดประตู แอ้ดดดด “อิจีน!!” ยืนเท้าสะเอว “กดอะไรนักหนายะ”
“ปิ่น...แต่งงานกันเถอะ”
จบพาร์ท
๑---------------------------๑
งานแต่งงานในบ้านของเจ้าบ่าวเชื้อสายจีน
เช้านี้เป็นพิธียกน้ำชา กราบไหว้บรรพบุรุษฝั่งสามีและเลี้ยงอาหารเพียงแค่สองครอบครัวเท่านั้น คู่แต่งงานใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสดทั้งคู่ ไม่รู้ใครเป็นเจ้าบ่าว ไม่รู้ใครเป็นเจ้าสาว แม้เถ้าแก่ซิมจะไม่ค่อยพอใจเพราะเขาค่อนข้างหัวโบราณแต่อย่างน้อยลูกชายคนเล็กได้แต่งงานมันก็ดีแล้ว ส่วนงานตอนเย็นจะเป็นงานเลี้ยงโต๊ะจีนมีแขกมากันนับร้อยคนและย้ายไปจัดในสวนของบ้านเจ้าสาวที่เตรียมไว้เป็นเรือนหอ สินสอดทองหมั้นเป็นทองคำแท่งสี่สิบบาท เงินสดห้าล้านและเครื่องเพชรอีกหนึ่งชุดนับว่ามากแล้วสำหรับคนต่างจังหวัดแม้ว่าฝ่ายเจ้าสาวไม่ได้เรียกร้องอะไรก็ตาม
เช้าวันนี้แม้จะมีเสียงนินทาภายในงานแต่ง แต่ด้วยความที่ยุคสมัยมันผันผ่าน อีกทั้งจีนยังเป็นเพียงลูกเสี้ยวเพราะจริงๆ แล้วหม่าม๊าหงษ์คือผู้หญิงไทยแท้เครือญาติหลายคนแม้จะตะขิดตะขวงใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแรงๆ เพราะในบรรดาเครือญาติฝั่งสามี เถ้าแก่ซิมคือผู้ร่ำรวยที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ล่าสุดเหมือนกับว่ากำลังเตรียมที่จะเปิดร้านทองสาขาหกภายในไม่กี่เดือนนี้ ดังนั้นต่อหน้าเถ้าแก่ซิมจึงมีแต่คำอวยพรให้คู่บ่าวสาวเท่านั้น พิธีการช่วงเช้าแล้วเสร็จ คู่แต่งงานจึงพากันเปลี่ยนชุดเตรียมตัวกลับบ้านสวนซึ่งห่างจากตัวเมืองที่เป็นบ้านของจีนเพียงยี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น
๑--------------------------๑
ในห้องของจีนที่บ้านใหญ่
“แกจะไปเอาชุดที่คอนโดรึเปล่า” ปิ่นหมายถึงคอนโดที่จีนซื้อเอาไว้ตั้งแต่สมัยเรียน ‘ไอ้รวย’
“คิดดูก่อน” นั่งเช็ดเครื่องสำอางค์อยู่หน้ากระจก มองผ่านไปเห็นปิ่นยืนมองหน้าต่าง ‘อีกแล้ว’ “แกเป็นอะไรน่ะ คิดถึงงานแต่งของแกกับไอ้จอมเหรอ”
ปิ่นสะดุ้งกับความคิดที่ตรงใจของจีน ‘คิดว่าตัวเองคงจะมีกรรม แต่งงานสองครั้งก็ไม่เคยได้เข้าหอสักครั้ง’ ไม่ใช่ว่าเธอหมกมุ่นเรื่องนี้แต่เพราะมันหมายถึงว่าการแต่งงานของเธอมัน ‘จอมปลอม’ น่ะสิ “เปล่าหรอก แต่คิดถึงเรื่องฮันนีมูนน่ะ” หันหน้ามาแล้วกลั้นน้ำตาเอาไว้ “หรือว่าเราไปถึงครึ่งทางแล้วเราจะแยกกันเที่ยวดีเผื่อแกอยากได้ความเป็นส่วนตัว” เหมือนเธอที่อยากใช้เวลาเป็นของตัวเองเพื่อคิด
“แกจะบ้าเหรอ!!!” จีนโมโห “ใครจะยอมให้แกไปเที่ยวคนเดียวล่ะ อันตรายจะตาย”
“อันตรายอะไรกันล่ะ” ปิ่นทำหน้างง ‘แค่ไปเที่ยวนะ’
“ไม่รู้!! ใครจะไปคาดเดาได้ถ้าเจออันธพาล แม้ฉันจะกลัวแต่อย่างน้อยเราก็ยังจะสู้ด้วยกัน”
คำตอบอันน่าซึ้งใจแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ปิ่นอยากฟัง ‘ช่างมัน’ คือสิ่งที่เธอคิดอยู่ทุกวัน “จ้าๆ ด้วยกันก็ด้วยกัน ฉันแค่ถามไม่ได้อยากจะแยกซะหน่อยนะ”
จีนถอนหายใจ “มานี่สิจะแกะชุดให้” ดึงแขนเพื่อนตัวอวบที่สูงเลยปลายคางนิดหน่อยให้นั่งลงแทนที่ตรงหน้ากระจกแล้วถามคำถามที่ติดใจมานานหลายวัน “ฉันปิดโอกาสแกรึเปล่าปิ่น”