บท 1

1946 Words
“ซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากจ้า” “ซื้อมาฝากทำไม ใครอยากกิน?” “แวว อย่าไปแกล้งไอ้หยกมันสิ เห็นไหม…เพื่อนจะร้องไห้แล้ว” “ใครจะร้องไห้? เตอร์นั่นแหละอย่าแกล้งเรา” ผมมองค้อนเพื่อนสนิท ก่อนจะพูดต่อเสียงเง้างอน “ตกลงไม่มีใครกินใช่ไหม? ได้… งั้นเรากินคนเดียวก็ได้” “ล้อเล่น! ใครจะไม่กิน ของฟรีทั้งที เอามาเลย ๆ เตรียมแก้วไว้รอแล้วเนี่ย!” แววพูด พลางถลามาดึงถุงน้ำเต้าหู้ที่เหลือออกจากมือผมไป “ให้มันได้อย่างนี้สิ” ผมพึมพำ พร้อมกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เรียนที่ประจำของตัวเอง เช้าวันใหม่ถูกเริ่มต้นขึ้นโดยสมบูรณ์แบบ เมื่อผมและเพื่อนสนิทอีกสองคนได้พบปะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เรานั่งคุยจิปาถะกันอยู่บนห้องเรียน ซึ่งอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ พวกเราทั้งหมดก็จะต้องลงไปเข้าแถวที่หน้าอาคารเรียนกันแล้ว “รักนี้ต้องลงทุนจริง ๆ …ถามจริงนะหยก แกหมดเงินให้กับค่าน้ำเต้าหู้ไปกี่บาทแล้ว” ขณะที่ผมกำลังนั่งมองแววเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้วอยู่นั้น จู่ ๆ เตอร์ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างใคร่รู้ “ไม่รู้ดิ ไม่เคยนับแล้วก็ไม่อยากนับด้วย กลัวเสียดายเงิน” ผมพูดเสียงแผ่ว ตอนเช้าผมจะเสียเงินยี่สิบบาท ตอนเย็นก็จะเสียอีกยี่สิบ ผมซื้อน้ำเต้าหู้ร้านโปรดแทบทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะแม่พี่เขาไม่ค่อยทำขายในช่วงวันหยุด ก็อย่างที่เคยเล่า… ร้านน้ำเต้าหู้แห่งนี้ เขาเปิดขายเล่น ๆ เท่านั้น เพราะไม่ใช่ธุรกิจหลักของบ้านธนะพานิช ในทุก ๆ วัน ก่อนที่จะมาโรงเรียน ผมมักจะแวะซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าประจำอยู่เสมอ ซื้อให้ตัวเองถุงหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นก็จะซื้อมาฝากเพื่อน ส่วนช่วงเย็นของวัน ก่อนที่จะเข้าบ้านผมก็จะแวะซื้ออีกรอบ แต่คราวนี้ผมซื้อไปฝากแม่ เพราะแม่ผม เธอก็ชอบดื่มมันเหมือนกัน “ชอบลูกชายบ้านเขามาก ก็บอกเขาไปดิ เล่นไปซื้อน้ำเต้าหู้ร้านเขาทุกวันแบบนี้… แม่เขาไม่รู้หรอกนะหยก” เตอร์พูดต่อ “ไม่เอาอะ ถ้าเกิดบอกไป แล้วเรื่องนี้ถึงหูยายนางเข้า เราจะทำยังไง? ” ผมตอบกลับ พร้อมทำหน้าสยดสยอง ซึ่งยายนางก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็นชื่อแม่ของผมเอง แม่ของผมชื่อนาง… ผมไม่กลัวด้วย หากเพื่อนจะล้อชื่อแม่ ผมเพิ่งย้ายกลับมาอยู่กับแม่ได้เพียงไม่นานนัก เนื่องจากพ่อกับแม่ผมแยกทางกันตั้งแต่เด็ก ๆ ในวัยเด็กผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ ๆ ผมรู้แค่ว่าตัวเองเลือกที่จะอยู่กับพ่อ นับตั้งแต่วันที่เลือกข้างว่าตัวเองจะอยู่กับพ่อ ผมกับแม่เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เพิ่งโคจรกลับมาพบกันอีกครั้ง ก็ตอนที่พ่อของผมเสียชีวิตไปด้วยโรคภัย แม่ที่เห็นว่าผมต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง เรียนยังไม่ทันจบชั้นมัธยมปลายด้วยซ้ำ จึงติดต่อเรียกให้ผมกลับไปอยู่กับเธอ ให้เธอได้รับผิดชอบผม… ในฐานะแม่ ณ ปัจจุบัน ผมก็กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งการเข้ามาเรียนกลางเทอมเช่นนี้ ก็ทำให้ผมอดกังวลไม่ได้ว่าตัวเองจะไม่มีเพื่อนคบ แต่โชคดีของผม มันยังพอมีอยู่บ้าง นั่นจึงทำให้ทันทีที่ผมย้ายเข้ามา ผมก็ได้เพื่อนสนิทเลย เพื่อน..ที่สนิทกันจริง ๆ แล้วพร้อมจะคุยกับผมได้ทุกเรื่อง สมาชิกในกลุ่มของผมมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น นั่นคือตัวผม แวว และเตอร์ แววเป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม เธอเป็นคนตลก ตัวสร้างสีสัน แล้วก็ชอบเล่นมุกที่ชวนให้ปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง ส่วนเตอร์เป็นคนที่ให้คำปรึกษาได้ดี เตอร์เป็นคนเก่งคำนวณ หัวไว ถนัดฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ซึ่งจากการคาดการณ์เอาไว้ เตอร์ก็น่าจะเป็นคนที่สอบติดเร็วที่สุดในบรรดาเราทั้งสามคน ส่วนผมน่ะเหรอ… เป็นคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นทางด้านไหนเป็นพิเศษเลย “แล้วเช้าวันนี้ใครขายน้ำเต้าหู้ให้ล่ะ แม่เขาหรือเปล่า?” เตอร์เอ่ยถามอีกครั้ง “ครั้งนี้… ลูกชายเจ้าของร้านว่ะ” “ว้าว…” ทันทีที่ผมตอบไปเช่นนั้น เตอร์ก็อุทานออกมา ด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ก่อนจะถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วเป็นไง…มีอะไรคืบหน้าบ้างป้ะ” “มี ตอนนี้รู้แล้วว่าพี่เขาชื่อเจ้า” ผมตอบ พร้อมกับยิ้มให้เพื่อนอย่างภูมิใจ เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ แม้เหตุการณ์เมื่อเช้า มันจะมึนงงไปเสียหน่อย แต่โดยรวมแล้วมันก็ดีมาก ๆ “ชื่อเจ้างั้นเหรอ” เตอร์พึมพำ “อืม เราได้ยินตอนที่แม่พี่เขาเรียกให้ออกมาขายน้ำเต้าหู้อะ ตอนนั้นแม่พี่เขาไม่ว่างพอดี เขาเลยเรียกให้ลูกชายออกมาขายแทน” “แล้วได้คุยอะไรกันไหม?” “พี่เขาก็ชวนคุยตามประสาแหละ” ผมเล่าอย่างเคอะเขิน แล้วพูดต่อ “ก็…ถามว่าทำไมเรามาซื้อน้ำเต้าหู้ร้านพี่เขาทุกวันเลย ไม่เบื่อบ้างเหรอ” “เดี๋ยวนะ…” “เตอร์…เตอร์เองก็สับสนเหมือนเราใช่ไหม?” พอเห็นเตอร์คิ้วขมวด ผมก็รีบถามเพื่อนทันที “จำได้ไหมครั้งก่อนที่เราเล่าให้ฟังอะ ว่าพี่เขาชวนให้เราไปซื้อน้ำเต้าหู้ร้านพี่เขาทุกวัน เพราะมันมีประโยชน์ นั่นแหละ…เราก็เลยถามออกไปว่าไหนวันก่อน บอกให้เรามาซื้อบ่อย ๆ อยู่เลย…” “….” “แล้วพอเราถามออกไปแบบนั้น พี่เขาก็ทำหน้าเอือม ๆ ใส่เราอะ มีถอนหายใจใส่ด้วยนะ แล้วก็พูดว่า ถ้าไม่รู้อะไรก็ช่างเถอะ บุคลิกวันนี้กับวันนั้นแตกต่างกันมากเลย” ช่วงท้ายประโยค ผมพึมพำกับตัวเอง เพราะรู้สึกสับสนในตัวตนของพี่เขาอย่างบอกไม่ถูก “ไม่ใช่ว่าพี่เขามีแฝดเหรอวะ” แววที่เพิ่งกินน้ำเต้าหู้หมดไป ตั้งข้อสันนิษฐาน “ก็เคยคิดอยู่นะ เพราะเจอหน้าแต่ละที นิสัยเหมือนคนละคนกันเลย แต่…เวลาเดินผ่านหน้าร้านพี่เขา ก็เห็นอยู่แค่คนเดียวเนี่ย” ผมตอบ ข้อสันนิษฐานของแววมีความเป็นไปได้สูง แต่ทว่าผมกลับไม่เคยเห็นพวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันทั้งสองคนนี่สิ มันจึงทำให้ผมสับสนไปหมด ว่าแท้ที่จริงแล้วพี่เขามีฝาแฝดจริง ๆ หรือเพราะเป็นคนสองบุคลิกกันแน่? ความรักในวัยเรียนของผม เริ่มต้นขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป… มิหนำซ้ำมันยังเกิดกับคนละแวกบ้านอีกด้วย ซึ่งความรักครั้งนี้มันก็เป็นความลับ ที่มีแค่เพื่อนสนิทของผมเท่านั้นที่รับรู้ ผมตกหลุมรักลูกเจ้าของร้านทองตั้งแต่แรกเห็น มองแค่ปราดเดียวก็รู้เลยว่าพี่เขาเป็นคนหล่อ พี่เจ้าหน้าตาดีมาก ผิวพรรณก็ดี แต่งตัวก็ถูกจริตผม ทุกอย่างที่พี่เจ้าเป็นดูถูกจริตผมไปเสียหมด อีกฝ่ายเหมือนหลุดออกมาจากโลกนิยาย ดูเหมือนจะสัมผัสไม่ได้ แต่ก็สัมผัสได้จริง “วันนี้ไม่ซื้อหรือไง พี่จะขายหมดแล้วนะ!” ในช่วงเย็น ขณะที่ผมกำลังเดินกลับบ้านตัวเองอยู่นั้น น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ตะโกนมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนน ผมจึงหันไปมองตามเสียงนั้นทันที เพื่อที่จะได้เห็นผู้ชายผิวขาวจัด อยู่ในชุดนักศึกษาพับแขนเสื้อขึ้นอย่างลวก ๆ กำลังมองมาที่ผม พร้อมกับส่งยิ้มให้กัน ซึ่งทุกอย่างที่เป็นพี่เขา มันก็อันตรายต่อความรู้สึกผมมาก ๆ “วันนี้กลับบ้านช้าจัง เรียนหนักเหรอ” พี่เจ้าชวนผมคุย หลังผมเดินข้ามถนนเพื่อมาซื้อน้ำเต้าหู้ที่ร้านพี่เขา “ไม่ได้เรียนหนักครับ แต่วันนี้ผมไปเตะบอลกับเพื่อน” “เตะเป็นด้วย?” “ก็ทำธรรมดาของผู้ชายป้ะพี่” “ฮ่า ๆ นั่นสินะ” พี่เขาพยักหน้ารับ แล้วเริ่มตักน้ำเต้าหู้ให้ผม โดยที่ผมไม่ต้องสั่งว่าจะเอาน้ำเต้าหู้กี่ถุง แล้วต้องใส่เครื่องหรือเปล่า บรรยากาศระหว่างเราในช่วงเย็นแตกต่างจากตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง พี่เจ้าในเวลานี้ดูสดใสมาก ๆ บนใบหน้าของพี่เขามีรอยยิ้มปรากฏอยู่เกือบตลอดเวลา พอได้อยู่ใกล้ ๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนได้รับพลังบวก ต่างจากตอนเช้าที่อีกฝ่ายดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพี่เขาถูกปลุกขึ้นมาด้วยหรือเปล่า ผมยืนมองพี่เจ้าตักน้ำเต้าหู้อย่างเงียบ ๆ แม้แต่การตักน้ำเต้าหู้ขายของพี่เขา ก็ดูน่ามองไปเสียหมด นี่ถ้าหากพี่เจ้าได้ไปเป็นนายแบบ นักร้องหรือดารา ผมก็จะไม่ติดใจอะไรจริง ๆ เพราะตั้งแต่ที่ผมย้ายมาอยู่กับแม่ ผมก็ได้เห็นพี่เขาก็บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นพี่เขาหล่อน้อยลงเลยสักครั้ง “มีอะไรเหรอ?” ผมสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อถูกอีกฝ่ายเอ่ยถาม หลังผมจ้องหน้าพี่เขานานเกินไป “เปล่าครับ!” ผมเอ่ยรีบปฏิเสธ แล้วพูดต่อ “อ้อ! พี่เจ้าครับ…ผมเอาอันนั้นด้วยนะ” จังหวะที่พี่เขาจะส่งถุงน้ำเต้าหู้ให้ ผมก็รีบชี้ไปยังถุงปาท่องโก๋กรอบที่ตั้งขายอยู่ข้างกัน ๆ “หืม? เมื่อกี้เราเรียกพี่ว่าอะไรนะ” อีกฝ่ายเอ่ยถาม พร้อมเลิกคิ้วสูง “พี่เจ้า…พี่เจ้าไงครับ” ผมตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก จู่ ๆ ผมก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวกะทันหัน เพราะไปเรียกชื่อเล่นของพี่เขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งนั่นก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการถือวิสาสะเกินไปไหม …แต่ผมก็ได้พูดมันออกไปแล้ว ซึ่งหลังจากที่ผมตอบไปเช่นนั้น พี่เจ้าก็ระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ จนทำให้ผมงุนงงไปครู่หนึ่ง มันจะไม่ใช่ได้ยังไง... ในเมื่อตอนเช้าผมได้ยินแม่พี่เขาเรียกว่าเจ้าเต็มสองรูหู! “พี่ชื่อจุนต่างหาก” “ครับ?” “แล้วนี่เราจะเอากี่ถุง?” พี่เขาไม่ได้อธิบายอะไรต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องมาสนใจการซื้อขายระหว่างเราแทน นั่นจึงทำให้ผมไม่ได้ถามอะไรอีก “อ๋อ… เอาถุงเดียวพอครับ สรุปรวมทั้งหมดเป็นกี่บาทครับ” “ยี่สิบ” “ครับ? พี่คิดค่าปาท่องโก๋หรือยังครับ” ผมถามพี่เขาทั้งคิ้วขมวด เพราะแค่ค่าน้ำเต้าหู้มันก็ยี่สิบบาทแล้ว รวมกับปาท่องโก๋กรอบด้วย มันจะยี่สิบเท่าเดิมได้ยังไง “แถม ให้เฉพาะเรา” “อ—อ๋อ…งั้นก็ขอบคุณนะครับ” ผมเอ่ยขอบคุณพี่เขาเสียงแผ่ว ก่อนจะรีบรับน้ำเต้าหู้นั้น แล้วก้มหน้างุดเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD