ตอนที่ 6 ล่อเหยื่อ
ตั้งแต่ที่จัสมินเริ่มนั่งคุยกับมาร์คัสนั้นเวลาก็ผ่านเลยไปได้หลายชั่วโมง การที่เธอเปิดใจคุยกับเขาในครั้งนี้ทำให้รู้ว่า แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะดูน่ากลัวมากในครั้งแรกที่เจอกัน แต่พอได้คุยจริงจังแล้วเขากลับดูเป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษคนหนึ่ง ไม่มีการลวนลามเหมือนกับคนที่มากินดื่มทั่วไป ไม่มีการพูดจาสองแง่สองง่ามทำให้เธอต้องอึดอัด
ทั้งสองนั่งคุยกันเรื่องทั่วไปจนเวลาผ่านมาจนถึงช่วงสุดท้าย ลูกค้าหลายโต๊ะทยอยกลับบ้านไปจนเหลือเพียงไม่กี่โต๊ะสุดท้าย นี่อาจจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เธอมาทำงานในสถานที่แบบนี้ ที่เธอรู้สึกว่าการคุยกับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งมันสนุก จนเมื่อบริกรคนเดิมเข้ามาหาแล้วเอียงคอมากระซิบข้างหู
“ร้านจะปิดแล้ว คุณจัดการเคลียร์ลูกค้าได้เลยนะ อย่าลืมหยิบเงินปึกนั้นมาด้วยล่ะ” จัสมินพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะหันไปบอกมาร์คัส
“คุณมาร์คัสคะ พอดีว่าถึงเวลาที่ร้านของเราจะปิดแล้วค่ะ” มาร์คัสพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่เขาจะนั่งนิ่งสักครู่แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธออีกครั้ง ดวงตาคมกริบจ้องมองหญิงสาวเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะเอ่ยฐานหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเชิญชวนจนน่าขนลุก
“คุณสนใจไปต่อกับผมไหม” จัสมินชะงักไปเล็กน้อย หัวใจใจเต้นแรงจากคำชวนนั้นของเขา ก่อนที่เธอจะกวาดสายตามองผู้ชายคนนี้อีกครั้งอย่างพิจารณา เมื่อครู่เธอเพิ่งดีใจไปหยก ๆ ว่าผู้ชายคนนี้ดูเป็นสุภาพบุรุษมากแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ที่ไหนได้สุดท้ายผู้ชายก็ยังเป็นผู้ชายอยู่วันยังค่ำ
“ฉ.. ฉันไม่ได้ขายตัวนะคะ” เธอตอบออกไปเสียงแข็งก่อนจะตวัดสายตาจ้องเขาเขม็ง แต่เหมือนว่าท่าทางของเธอนั้นจะเรียกเสียงหัวเราะให้กับมาร์คัสได้เป็นอย่างดี เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกไปมาปฏิเสธ
“ผมต้องขอโทษด้วยถ้าทำให้คุณคิดอย่างนั้น แต่คำว่าไปต่อของผมนี่หมายถึงไปทานข้าวหรือไปร้านอื่น ๆ บอกตามตรงว่าผมถูกใจคุณ อยากอยู่กับคุณให้นานกว่านี้สักหน่อยก็แค่นั้น”
“ถูกใจ.. ฉันเหรอคะ”
“ใช่.. คุณสนใจไหม แค่ไปกินข้าวเป็นเพื่อนพอให้ผมสร่างเมา ผมจ้างคุณหมื่นหนึ่ง และแน่นอนว่าไม่มีการทำเรื่องอย่างว่าถ้าคุณไม่เต็มใจเด็ดขาด” มาร์คัสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแน่น พร้อมกับจ้องมองไปในดวงตาของหญิงสาวนิ่ง ราวกับกำลังให้เธอเห็นถึงความบริสุทธิ์ใจอะไรทำนองนั้น
จัสมินที่ได้ยินเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องก็ทำให้เธอนึกไปถึงบ้านเด็กกำพร้าที่เธออยู่ ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในทุกเดือน ค่าไฟที่ยังค้างการไฟฟ้าอยู่เดือนกว่าที่ไม่รู้ว่าจะถูกตัดไฟเมื่อไหร่ ไหนจะค่าเทอมของน้อง ๆ อีกเจ็ดคน มิหนำซ้ำแม่รัตนาก็เพิ่งล้มในห้องน้ำยังไม่มีค่ารักษาเฉพาะทางอีก เมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายที่รออยู่ข้างหน้าแล้ว จำนวนเงินที่เขาเสนอมานั้นย่อมหอมหวานสำหรับเธอในตอนนี้ จัสมินสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้เขา
“ตกลงค่ะ ถ้าแค่ไปเป็นเพื่อนกินข้าวเพื่อให้คุณสร่างเมาฉันไปได้ค่ะ” เธอพูดจบก็หันไปหยิบเงินบนโต๊ะขึ้นมาแล้วพูดต่อ
“แต่เงินก้อนนี้เป็นของบริกรที่ไปตามฉันมานะคะคนละส่วนกัน คุณโอเคใช่ไหม” มาร์คัสเหลือบตามองเงินที่เธอถืออยู่เล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองจัสมินแล้วยกยิ้มให้อย่างสบาย ๆ
“คุณจัดการได้เลยตามสบาย เงินนั้นผมให้แล้ว” จัสมินยิ้มขอบคุณ ก่อนจะเหลือบสายตามองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วเก็บเงินก้อนนั้นเอาไว้
“ฉันขอไปบอกผู้จัดการและเอากระเป๋าก่อนนะคะ”
“งั้นเดี๋ยวผมขอไปรอหน้าร้านแล้วกัน.. อาเฟิ่งเช็กบิลให้ด้วย” ชายหนุ่มบอกกับเธอเสียงเรียบก่อนจะหันไปสั่งลูกน้อง
“ได้ค่ะ.. เช็กบิลด้านนี้ได้เลยค่ะ” เธอพูดขึ้นพร้อมกับพาลูกน้องของมาร์คัสไปที่เคาน์เตอร์ หลังจากที่จัดการคิดเงินทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เดินหายไปด้านหลังร้าน
หลังจากที่เขาเดินออกมายืนหน้าร้าน มือหนาก็ล้วงหยิบบุหรี่ออกจากซองแล้วจุดไฟ เขาสูบอัดควันเข้าไปในปอดหนัก ๆ ก่อนจะพ่นควันสีขาวฟุ้งลอยขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้นอกจากหน้าตาแล้วที่เหลือไม่เหมือนคุณคาร่าเลยสักนิด ทำไมเฮียถึงสนใจเธอได้” มาร์คัสพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงกลม ๆ มองควันที่ฟุ้งเป็นกลุ่มก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปนิ่ง ๆ
“นิสัยไม่ใช่.. กิริยาไม่ใช่.. ความรู้สึกก็.. ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรที่เหมือนกับคาร่าเลยสักนิด แต่ไม่เป็นไร แค่เธอหน้าตาเหมือนคาร่าก็พอแล้ว ส่วนนิสัย กิริยาและความชอบอื่น ๆ เราค่อย ๆ ทำให้เธอเหมือนก็ได้”
“เฮีย.. เฮียไม่ได้กำลังจะเอาเธอมาแทนที่คุณคาร่าใช่ไหม” ฟีนิกซ์เอ่ยถามในสิ่งที่เขาอยากรู้ และในทันทีที่มาร์คัสได้ยินคำถามนั้นเขาก็หันกลับมาจ้องมองด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์แทบจะทันที
“มึงพูดเหี้ยอะไรไอ้ฟีนิกซ์! แทนคาร่าเหรอ! ไม่มีใครที่จะเข้ามาแทนคาร่าได้ทั้งนั้น กูแค่เบื่อความว่างเปล่า แค่เธอคนนั้นมีหน้าของคาร่าให้กูมอง แค่นั้นก็พอแล้ว” ฟีนิกซ์มองหน้ามาร์คัสด้วยความรู้สึกที่ยิ้มไม่ออก เขาเองก็ไม่เข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้ได้เลยจริง ๆ หลังจากที่มาร์คัสพูดประโยคนั้นจบ เขาก็หันกลับสูบควันต่ออย่างช้า ๆ
“แล้วจำเอาไว้เรื่องที่เธอหน้าตาเหมือนคาร่า ห้ามให้เธอรู้เด็ดขาด”
หลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นจบก็เป็นจัสมินก็เดินออกมายืนข้างเขาพอดี มาร์คัสตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ หญิงสาวก็มายืนอยู่ด้านข้าง เขาหันไปมองลูกน้องทั้งสองคนราวกับตั้งคำถามว่าเมื่อครู่เธอได้ยินเรื่องที่เขาพูดหรือเปล่า ก่อนจะเห็นทั้งเฟิ่งและฟีนิกซ์พากันส่ายหัวเบา ๆ เป็นคำตอบ
เมื่อใจแล้วชายหนุ่มจึงหันไปมองจัสมินก่อนจะต้องขมวดคิ้ว หญิงสาวที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาวกับกางเกงขายาวปิดมิดชิด และทันทีที่มาร์คัสมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้จัสมินนั้นได้สติ
“ข.. ขอโทษนะคะ ฉันเคยชินไปหน่อย ถ้าคุณอยากให้ฉันแต่งตัวแบบเดิม ฉันกลับไปเปลี่ยนก็ได้ค่ะ” มาร์คัสที่ได้ยินแบบนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมองหญิงสาวก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วส่งยิ้มให้
“ไม่เป็นไร.. ไม่จำเป็นหรอก แค่ไปกินข้าวด้วยกันชุดนี้ก็ไม่ได้ดูแย่”
“จริงเหรอคะ แต่สีหน้าของคุณมัน..”
“ผมบอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไรสิ.. ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น เราไปกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนั้น จัสมินเองก็ได้แต่พยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปขึ้นรถตู้คันใหญ่
รถแล่นอยู่บนถนนเพียงไม่ถึงชั่วโมง ก็มาจอดที่หน้าร้านอาหารหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง ทันทีที่ทั้งสี่คนเดินลงจากรถก็มีพนักงานสาวเดินยิ้มตรงเข้ามาหา หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว เธอไม่เคยรู้ว่าร้านอาหารแห่งนี้จะเปิดให้บริการดึกขนาดนี้มาก่อน
“ยังมีร้านเปิดดึกขนาดนี้เลยเหรอคะ” และเหมือนว่าจัสมินจะแพ้เสียงในหัว เมื่อเธอสงสัยจึงได้เอ่ยถามทันที ก็เป็นมาร์คัสที่หันมายิ้มให้เธอเล็กน้อย
“ปกติร้านนี้ปิดเร็วนะ แต่พอดีผมมีเส้นสายนิดหน่อย พอคุณตกลงที่จะมาทานข้าวให้สร่างเมาเป็นเพื่อน ผมก็เลยขอเหมาร้านล่วงเวลาไว้” จัสมินมองเขาด้วยความรู้สึกตกใจที่เล่นใหญ่ขนาดนี้ ก่อนจะหันมองรอบ ๆ ร้าน พบว่าไม่มีลูกค้าท่านอื่นจริง ๆ เลยได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ
“งั้น.. เราลงไปกันเถอะ” มาร์คัสพูดขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานพาพวกเขาเดินลงไปยังโซนที่พนักงานเตรียมไว้ และทันทีที่เธอเห็นภาพตรงหน้าหลังจากที่เดินมาถึง เธอก็แทบจะตกใจจนหัวใจลืมการเต้นเป็นจังหวะ
หญิงสาวมองภาพของเรือยอชต์ส่วนตัวลำหนึ่งที่จอดเทียบท่า ก่อนที่เธอจะหันไปมองมาคัสแล้วหันไปชี้ที่เรือลำนั้นอีกครั้ง
“คุณมาร์คัสคะ.. เราจะขึ้นไปบนนั้นจริง ๆ เหรอคะ”