1 ทางตัน
“บ้าเอ๊ย! ไอ้พวกบ้า! ทวงเงินอยู่ได้ก็แค่สิบล้าน!” ปภาวีขบคิดขณะมองดูข้อความทวงหนี้ที่เธอไปเล่นการพนันเสียมา
จากคฤหาสน์หรูหลังใหญ่ลดเหลือเป็นเพียงบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กสภาพเก่าทรุดโทรม ย้ายมาเช่าเมื่อครึ่งปีก่อนพร้อมลูกอีกสามคน ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอมีลูกแค่สองคนนั่นคือ จิรเมธลูกชายคนโตและโชติมนต์ลูกสาวคนเล็ก
ส่วนเขมิกา นังลูกเมียน้อยของสามีเธอ นังนั่นเธอไม่นับว่าเป็นลูกหรอก
เธอเกลียดแม่มัน เกลียดอีรินรดา พาลไปเกลียดลูกอย่างเขมิกาด้วย ทว่าตอนนี้เธอกำลังคิดว่าเขมิกาอาจมีประโยชน์
เธอจะเอาลูกอีเมียน้อยไปขัดดอก!
“ยัยเขมมานี่” เสียงแหลมเรียก ทำเอาร่างงามผู้มีศักดิ์เป็นลูกเมียน้อยของสามีหยุดและเปลี่ยนเป็นเดินเข้ามานั่ง ใบหน้าสวยเรียบเฉย
“ตั้งแต่พ่อแกตายฉันต้องมารับภาระทั้งหมด” ปภาวีเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยดี ทำเอาเขมิกาขมวดคิ้ว เพราะปกติแล้วไม่มีครั้งไหนที่จะได้มานั่งคุยดีพูดจาไพเราะกับเธอเช่นนี้หรอก ส่วนมากเขมิกาจะเจอคำด่าเป็นเสียทุกวัน
“แล้วยังไงคะ?”
รับภาระอะไรยังไง?
นอกจากวันๆ เอาแต่ถลุงเงินของเธอไปละลายในบ่อนพนัน ต่างจากเธอในแต่ละวันที่ทำงานหนักเหงื่อแทบไหลเป็นสายเลือดก็เพื่อเอามาจ่ายค่าเรียนให้โชติมนต์น้องสาวต่างมารดา นอกจากนั้นยังมีค่าน้ำค่าไฟแล้วก็ค่าเช่าบ้าน
แน่นอนว่าทำงานเดียวเงินไม่มีทางพอที่จะเอามาเลี้ยงครอบครัวของคุณพ่อเธอได้
‘สุจิตต์ณรัก’ เป็นตระกูลผู้ดี ธุรกิจกับสังคมแวดล้อมเคยอยู่ปลายยอดสุด และเขมนันท์หัวหน้าครอบครัวผู้มั่งคั่ง นิสัยรักสนุก ทำงานน้อยนิดเน้นโปรยมากกว่าเก็บ มาวันนี้ธุรกิจเริ่มสั่นคลอน สินทรัพย์และสมบัติที่ได้รับมาเริ่มจางหายถึงขั้นวิกฤตถูกฟ้องล้มละลาย บ้านถูกธนาคารยึด รถหรูถูกเจ้าหนี้ยึดไป ข่าวร้ายไปมากกว่านั้น เขมนันท์ตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ความเครียดทำให้เขาตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง
ปภาวี จิรเมธ โชติมนต์และเขมิกาถูกลอยแพ เขมิกาพอมีเงินเก็บจึงพาทุกคนออกมาเช่าบ้านมือสองอยู่ ตลอดครึ่งปีเงินในธนาคารเธอถูกแม่เลี้ยง พี่ชายและน้องสาวต่างมารดาผลาญไปจนหมด
สถานการณ์เงินของครอบครัวสั่นคลอนมากกว่าเดิม เขมิกาเรียนปริญญาตรีจบมาหมาดๆ เธอไม่ได้ทำงานตามหลักสาขาที่เรียนมาเพราะเงินเดือนเริ่มต้นเพียง 15,000 ซึ่งมันไม่พอใช้
งานหลักของเขมิกาจึงกลายเป็นร้องเพลงตามคลับ บาร์ งานเสริมอีกสองงานคือพริตตี้และเด็ก N เป็นงานเปลืองเนื้อเปลืองตัวแต่เงินที่ได้มามันคุ้ม
ได้มาคุ้มทว่า... เธอไม่เคยได้ใช้เงินตัวเองให้มันคุ้มเลยสักบาท
“เขม...” ปภาวีเอ่ยเสียงหวาน
“มีอะไรจะคุยก็พูดมาค่ะ เขมอยากไปพักผ่อน”
“ฉันเป็นหนี้อยู่สิบล้าน”
“อะไรนะคะ!” สิ่งที่ปภาวีเอ่ยบอกมันทำให้เขมิกาถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ แววตาจุดวาบขึ้นอย่างตกใจ เงินสิบล้านมันไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ ให้หาทั้งชีวิตยังไม่รู้ว่าจะหาได้หรือเปล่า
คนบ้านนี้มันเป็นอะไร ทำไมไม่รู้จักเข็ดหลาบ “คุณแม่ได้ใช้สมองบ้างหรือเปล่าคะ!”
“อีเขม แกอย่ามาด่าฉันนะ!” ปภาวีเผลอเหวี่ยงน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเมื่อรู้ว่างานนี้เธอจำเป็นต้องใช้ตัวเขมิกา
“ที่ฉันทำก็เพื่อครอบครัว เพื่อพวกแกทั้งนั้น ฉันถึงได้พยายามต่อทุนและจะไปเอากำไรกลับมา ในทุกๆ วันฉันมีความพยายามมากแค่ไหน แกต้องเข้าใจฉันสิ ฉันพยายามช่วยแกอยู่นะ” ปภาวีพูดอย่างจีบปากจีบคอ สรรหาสารพัดคำพูดและหลักการมาอธิบาย เขมิกานวดขมับ เธอไม่รู้จะพูดอย่างไรกับคนตรรกะความคิดแบบนี้
“เอาละค่ะ คุณแม่จะให้เขมช่วยอะไร?” คนอย่างแม่เลี้ยงปภาวี ถ้าเธอไม่มีประโยชน์คงไม่มีวันพูดดีด้วย และคนอย่างเขมมิกาก็ไม่ใช่คนอ้อมค้อม ไม่ใช่คนตีสองหน้าเก่ง
“แกช่วยได้แน่เขม~ แกสัญญานะว่าจะช่วยแม่” ปภาวีฉีกยิ้มพลางเอื้อมไปกุมมือบางของลูกเลี้ยง
“ช่วยยังไงคะ?”
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้แกไปกับแม่ก่อนนะ” สายตาและน้ำเสียงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแทบจะทันที
“แม่ทำอะไรอะ จับมือมันทำไม!” โชติมนต์เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเดินเข้ามาเจอ
“เขมขอตัวนะคะ” เขมิกาดึงมือออกจากแม่เลี้ยงแล้วลุกขึ้น ขณะเดียวกันน้องสาวต่างแม่ก็จ้ำเท้าเข้ามาขวางทาง
“แกคิดจะแย่งความรักจากแม่ฉันเหรอ!”
“ปัญญาอ่อน” สิ้นคำเขมิกาก็เดินชนไหล่บางของโชติมนต์ขึ้นบ้านอย่างไม่หันกลับมาเหลียวมอง
“แก อีเขม!”
“มนต์หยุด!” โชติมนต์ไม่พอใจเป็นที่สุดเมื่อถูกห้ามไม่ให้ตามขึ้นไปตบ
“คุณแม่อะ! จะห้ามมนต์ทำไม มนต์จะตบมัน! มันด่ามนต์นะ!!” โชติมนต์กระทืบเท้าเข้ามาหาคนเป็นแม่ด้วยใบหน้าหงิกงอไม่พอใจ ไม่งั้นเธอคงได้ตบมันมือกับอีลูกเมียน้อยแล้ว
“ระ...หรือว่าแม่รักมันไปแล้ว!” หวีดเสียงแหลมขึ้นอย่างแสบหู
“แกจะบ้าหรือไง ฉันไม่มีทางรักมันหรอก ฉันเกลียดมันจะตาย!” ปภาวีรีบปฏิเสธเมื่อลูกสาวสุดที่รักของเธอคิดไปไกล
“แต่อาการแม่เหมือนจะดีกับมัน!”
“แค่แสดงไปงั้นแหละ เพราะตอนนี้มันมีประโยชน์กับเรามากก็เท่านั้น” ปภาวีว่าด้วยความโล่งใจ เธอไม่มีเงินใช้หนี้ก็แค่ขายมัน ไม่ก็เอาไปขัดดอก
“ยังไงคะ?”
“ฉันติดหนี้และฉันจะเอามันไปขาย” พูดจบ โชติมนต์คลี่ยิ้มออกมา ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความสะใจ ก็ดีสิ เธอจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเขมิกาอีก
“เดี๋ยวนะ แม่ติดหนี้อะไร?” คนเป็นลูกยังไม่รู้เพราะปภาวีเก็บงำความลับนี้ไว้เป็นอย่างดี
“ก็ฉันกู้เงินไปลงทุนไง ถึงเวลาใช้หนี้ไอ้เจ้าหนี้บ้ามันก็มาทวงแม่ยิกๆ”
“ลงทุนอะไรคะแม่ วันๆ มนต์เห็นแม่กับพี่เมธเข้าแต่บ่อน มนต์ไม่เห็นแม่ทำธุรกิจอะไรสักอย่าง” โชติมนต์พูดไปตามที่เธอรู้เธอเห็น ทำเอาคนเป็นแม่พูดไม่ออก “แล้วแม่ติดหนี้เท่าไหร่?”
“…”
“แม่บอกมนต์มา!”
“สิบล้าน”
“ฮะ! สิบล้าน!” โชติมนต์เบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อรู้ว่าแม่มีหนี้สินถึงสิบล้าน เงินตั้งเยอะ แล้วถ้าไม่มีเงินไปคืนพวกมันจะไม่ถูกฆ่าปาดคอตายยกบ้านกันเหรอ!
“แกไม่ต้องตกใจ”
“แม่เงินมันตั้งสิบล้านเลยนะ!”
“ก็ฉันหาทางออกได้แล้วไง ต้องขายอีเขม ไม่ก็เอามันไปขัดดอก อย่างน้อยก็ยื้อชีวิตเราได้”
“น้ำหน้าอย่างมันน่ะเหรอจะมีค่าถึงสิบล้าน แค่แสนหนึ่งจะได้หรือเปล่าเหอะ! มนต์ว่าเราเก็บเสื้อผ้าหนีเลยเถอะ”
“ยิ่งหนี ถ้าพวกมันเจอคือตาย” ปภาวีรู้จักคนโหดพวกนี้ดี เพื่อนๆ ของเธอในบ่อนต่างมีหนี้สินและพากันหนี พอถูกจับได้ไม่ได้ตายศพสวยสักราย
“มนต์ไม่อยากตาย ไม่อยากตายอะแม่!” โชติมนต์ยังคงโวยวายเสียงดังลั่นบ้าน
“โอ๊ยยยย แกจะร้องอะไรนักหนา หนวกหู!”
“ก็มนต์ยังไม่อยากตาย!”
“ถ้าแกไม่หยุดแหกปากได้ตายจริงแน่!” แล้วโชติมนต์ก็เงียบ ยกมือขึ้นกอดอก ใบหน้าเครียดไม่ต่างอะไรจากปภาวี
นั่นสิ ถ้าเธอขายอีเขมค่าตัวมันจะถึงสิบล้านเหรอ อย่างน้อยก็คงได้แค่ขัดดอก ยื้อชีวิตเธอกับลูกอีกหน่อยก็เท่านั้น
“ว่าแต่แกเถอะ เรื่องจับลูกชายท่านสุทินไปถึงไหนแล้ว” ปภาวีถามไถ่ถึงผู้ชายที่ลูกสาวหมายปอง เป็นถึงลูกชายนักการเมืองใหญ่ ถ้าจับเด็กนั่นได้ชีวิตของเธอก็จะได้สุขสบายไปด้วย
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ เย็นนี้เรามีนัดดินเนอร์กัน และคืนนี้มนต์จะเผด็จศึกพี่ภาคิน” โชติมนต์เอ่ยพลางคลี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อนึกไปถึงภาคิน ผู้ชายที่ปรารถนาจะครอบครอง