ตอนที่7

1407 Words
ตอนที่ 7 ตะวันตื่นสายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ไหนจะต้องท่องคาถา “อย่าพูดไทยในยามหลับ” ซ้ำ ๆ จนสมองแทบไหม้ เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะสะบัดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง ทอดสายตามองรอบห้องอย่างหวาดระแวง “ไม่อยู่แล้วเหรอ...” เธอพูดกระซิบเบา ๆ พลางเหลียวหาเงาท่านแม่ทัพสุดหล่อ ‘เมื่อคืน...ยังรอดอยู่ ยังไม่เสียตัว’ เธอพึมพำในใจ ก่อนจะเบ้ปากน้อย ๆ ‘ถึงแม้ในใจจะอยากเสียมากก็ตาม...อิอิ คิดบ้าอะไรของแกวะตะวัน!’ ประตูไม้บานงามถูกเคาะเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนเสียงคุ้นหูจะดังขึ้น “ฮูหยินเจ้าขา~ เสี่ยวผิงเอาน้ำล้างหน้ามาให้เจ้าค่ะ” “ดะ...เดี๋ยวนะ!” ตะวันร้องสวนทันที “เจ้าคะ?” เธอขมวดคิ้วแน่น “เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” เสี่ยวผิงกะพริบตาปริบ ๆ แล้วตอบอย่างไร้พิษภัย “ก็...ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านกับท่านแม่ทัพเข้าหอกันแล้ว จะให้ข้าเรียก ‘คุณหนู’ เหมือนเดิม มันคง...ไม่เหมาะเท่าไรกระมังเจ้าคะ?” “เอ่อ...” สมองของตะวันประมวลผลไม่ทัน เธอนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหลุดหัวเราะแห้ง ๆ “ฮะ ๆ อืม...ก็...ตามนั้นก็ได้” เสี่ยวผิงยิ้มตาหยีอย่างพอใจ เดินเข้ามาวางกะลาน้ำไว้บนโต๊ะข้างเตียงอย่างคล่องแคล่ว “หากฮูหยินต้องการสิ่งใด บ่าวจะรออยู่หน้าห้องนะเจ้าคะ” “อือ ขอบใจนะเสี่ยวผิง” ประตูปิดลงอย่างเบามือ ตะวันก็ก้มหน้าฟุบกับหมอนทันที ‘โอ้โห! แค่เข้าหอแล้วคนนับถือเป็นเมียเลยเหรอ! โลกโบราณมันไวไปมั้ยวะเนี่ย!’ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกไปล้างหน้า น้ำเย็นเฉียบช่วยให้รู้สึกตัวขึ้นมานิดหน่อย ‘เอาล่ะตะวัน... วันนี้เธอคือ “ฮูหยินแม่ทัพ” แล้วนะ จะซุ่มซ่ามเหมือนอยู่คอนโดไม่ได้อีกต่อไป’ ตะวันในร่าง หลินเหยียนหรง เพิ่งจะวางจอกน้ำขิงลง ยังไม่ทันจะขยับกายลุกจากตั่งนั่ง เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้นพร้อมเสียงวุ่นวายจากหน้าห้อง ไม่ทันตั้งตัว สาวใช้ในชุดจวนแม่ทัพ ก็พรวดพราดเข้ามา พร้อมกับชายบ่าวอีกสองสามคนที่กรูกันเข้าไปยกหีบสัมภาระภายในเรือน “เดี๋ยว ๆ ๆ พวกเจ้าจะทำอะไรกัน?!” หลินเหยียนหรงเบิกตากว้าง รีบถลาไปขวางหน้าหีบผ้าแทบไม่ทัน สาวใช้ผู้มาก่อนรีบโค้งคำนับทันที “เรียนฮูหยิน…ท่านแม่ทัพซือหยางมีรับสั่งให้ข้าย้ายข้าวของของท่านไปยังเรือนใหญ่เจ้าค่ะ” “หา?! เรือนใหญ่เหรอ?!” หลินเหยียนหรงแทบจะหลุดเสียงสูง “เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพกล่าวว่า…ฮูหยินควรย้ายเข้าไปอยู่เรือนเดียวกับท่าน ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป” “เมื่อวานยังไล่ข้าออกแท้ ๆ วันนี้มาจะให้ข้าย้ายเข้าไปอยู่ด้วย?! นี่เขาจะเล่นละครอะไรกันแน่!” เธอหันขวับไปหา เสี่ยวผิง คนสนิทที่ยืนหลบมุมเสาเหมือนกำลังขำกลิ้งในใจ “เสี่ยวผิง เจ้ารู้อะไรบ้างมั้ย!” เสี่ยวผิงยกมือป้องปาก แววตาวิบวับก่อนตอบเบา ๆ “เอ่อ...เมื่อคืนท่านแม่ทัพกลับมา เห็นเรือนของฮูหยินมืดสนิท ไม่มีแม้แสงเทียนสักดวง ท่านเลย...ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์มากนักเจ้าค่ะ” “ไม่สบอารมณ์เพราะเรือนข้าไฟดับงั้นเหรอ? เกี่ยวอะไรกะเขาไม่ทราบ!” “อาจจะ...เพราะกลัวว่าท่านจะกลัวความมืดกระมังเจ้าคะ” เสี่ยวผิงพูดพร้อมยิ้มแหย ๆเพราะนางเองก็คาดเดาๆไปมั่ว ๆให้เจ้านายสบายใจ หลินเหยียนหรงนิ่งไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะเบ้ปากและอ้าปากจะพูดต่อ ทว่า! “ไม่ต้องถามเสี่ยวผิงให้มากความหรอก!” เสียงทุ้มห้าวของชายหนุ่มดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทำเอาหลินเหยียนหรงสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองร่างสูงในชุดแม่ทัพที่ก้าวเข้ามาในเรือนราวกับเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างแท้จริง ซือหยาง ยืนนิ่งราวรูปสลัก หางตาคมตวัดมองนางครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ต่อไปนี้เจ้าต้องย้ายมาอยู่ที่เรือนใหญ่” “เพื่อ?” หลินเหยียนหรงเลิกคิ้วสูงอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “เพื่อหยุดคำครหานินทา” เขากล่าวอย่างราบเรียบ ก่อนก้าวผ่านนางไปยืนหน้าตั่งกลางห้อง “ข้าไม่ต้องการให้ข่าวลือในเมืองหลวงสร้างปัญหาให้ตนเองไปมากไปกว่านี้” เงียบ... ตะวันในร่างเหยียนหรงยืนอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหลุดถอนหายใจยาวพรืดออกมาอย่างอดกลั้น เธอควรจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้จะพูดแบบนี้ ‘นึกว่าจะพูดอะไรซึ้ง ๆ แบบว่า “กลัวเจ้าจะลำบาก” หรือ “ห่วงว่าเจ้าจะอยู่คนเดียวไม่ได้” ที่ไหนได้…ที่แท้ก็แค่กลัวโดนสังคมเมืองหลวงเมาท์เหรอ!’ เธอปรายตามองเสี่ยวผิงซึ่งรีบหลบตาแทบไม่ทัน แล้วหันกลับไปจ้องแม่ทัพหน้านิ่งที่ทำราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องงานราชการ ‘นี่มันคนหรือเสาหิน!’ “เจ้าจะย้ายไม่ย้าย?” ซือหยางถามสั้น ๆ “โอ้โห ไม่ให้ข้าคิดบ้างเลยหรือ?” เหยียนหรงตอบพลางยกมือเท้าสะเอว “จะเอาแต่ใจไปหน่อยหรือเปล่า ท่านแม่ทัพ!” “ข้าไม่ได้ขอความเห็นเจ้า” เขาหันกลับมามองนางเต็มตา สีหน้าไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “นี่คือคำสั่ง” “โอ้โหหหหห...” หลินเหยียนหรง or more accurately, ตะวันในร่างหลินเหยียนหรงลากเสียงยาวอย่างเหลืออด ก่อนส่งยิ้มแห้งแล้งไปยังร่างสูงสง่าเบื้องหน้า “แล้วท่านคิดหรือว่าแค่ย้ายเรือนไปอยู่ด้วยกัน จะหยุดพวกปากมากในเมืองหลวงได้?” ซือหยาง แม่ทัพใหญ่ผู้ครองตำแหน่งอันทรงอิทธิพล เหลือบมองนางด้วยแววตาเยียบเย็น มือไขว้หลังยืดตรงเหมือนกำลังยืนบัญชาทัพ “ได้ผลมากพอ...ที่จะทำให้เจ้าหยุดส่งจดหมายไปฟ้องใครต่อใครได้” คำว่า ฟ้อง ทำเอาหลินเหยียนหรงถึงกับสะอึก กะพริบตาปริบ ๆ อย่างคนตามไม่ทัน “ฟ้อง? ข้า...ฟ้องใครเหรอ?” “คราก่อนเจ้าเคยเขียนจดหมายร้องเรียนข้าไปถึงเสนาบดีกรมพิธีการ กล่าวหาว่าข้าล่วงเกินเจ้า” ซือหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แต่ทุกคำชัดเจนราวตอกตะปูใส่หีบ “ยังไม่พอ...” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด “เจ้ายังเคยส่งสารลับไปกล่าวโทษอนุภรรยาของท่านอัครเสนาบดี...ว่าแอบวางยาในสุราของฮ่องเต้ในงานพระราชพิธี” ตะวันในร่างหลินเหยียนหรงถึงกับอ้าปากค้าง ‘โอ๊ยยยย…เจ๊เหยียนหรงเอ๊ยยยย! เธอไปทำกรรมอะไรไว้บ้างเนี่ย! จะฟ้องร้องใครทำไมขนาดนั้น ฟ้องระดับประเทศเลยนะนั่น!’ “นี่ยังไม่นับที่เจ้าสร้างเรื่องกล่าวหาองค์หญิงฉีเหยียนว่าแอบหลงรักข้า” ซือหยางเสริมเสียงเรียบ ทว่าแววตาแฝงไปด้วยความเอือมระอาอย่างปิดไม่มิด “อ๊าาาา!!” ตะวันร้องในใจแล้วเอามือกุมขมับ “หลินเหยียนหรง… เจ้าเป็นตัวอะไรของโลกใบนี้กันแน่!” ภายนอกเธอยังพยายามรักษาภาพลักษณ์ไว้ไม่ให้ดูเพี้ยนจนเกินไป จึงยิ้มบาง ๆ พร้อมหัวเราะแห้งแทน “แหะๆๆ ท่านแม่ทัพจำผิดหรือเปล่า...ข้าไม่น่าทำอะไรแบบนั้นนะ...” “ข้ามีหลักฐานทั้งหมดเก็บไว้ที่เรือนด้านตะวันออก หากอยากรื้อฟื้น ข้ายินดีจัดให้” ตะวันถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ ‘โอเค...สรุปคือ เจ้าของร่างเดิมเป็นนางร้ายสายฟ้อง ฟ้องไม่เลือก ฟ้องไปทั่วแคว้นแบบไม่เกรงใจบัลลังก์มังกรเลยทีเดียว’ เสี่ยวผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างทำหน้าอึ้งไม่ต่างกัน รีบหันหน้าหนีแล้วกระแอมเบา ๆ “ย้ายเรือนไปอยู่กับข้าเสียที จะได้ไม่มีใครสงสัย และเจ้าจะได้ไม่ต้องก่อเรื่องเพิ่มอีก” ซือหยางตัดบทด้วยน้ำเสียงรำคาญ “นี่ข้ากำลังถูก...กักบริเวณกลาย ๆ ใช่หรือไม่?” ตะวันหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างจับผิด ซือหยางไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มบางเฉียบที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก ‘ผู้ชายบ้านี่...ไม่สุภาพบุรุษเอาเสียเลย!’ แต่ตะวันก็จำต้องยอมไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเธอกลัวเหล่าหลักฐานพวกนั้นมากกว่า!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD