ตอนที่ 9
แสงจันทร์สาดลงบนลานจวนแม่ทัพท่ามกลางค่ำคืนที่เหน็บหนาวและเงียบสงัด เงาร่างสองคนค่อย ๆ ก้าวออกจากเรือนเล็กด้วยความเงียบเชียบที่สุดในชุดบ่าวเก่า ๆ สีหม่น เสบียงอาหารในตะกร้าหวายปิดผ้าสะอาดวางแน่นอยู่ในมือเหยียนหรงจับมันไว้แน่นประหนึ่งว่าเป็นอาวุธคู่กายในตอนนี้เลยกระมัง
“เสี่ยวผิง เราจะรอดออกไปจากจวนได้ไหม?”
เหยียนหรงกระซิบขณะก้มตัวเดินเลียบแนวรั้วหลังเรือน
“หากท่านไม่พูดเสียงดังนัก...เราก็อาจจะรอดได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงตอบเสียงเบา แต่ดวงตาเป็นประกายลุ้นสุดชีวิต
พวกนางแต่งตัวด้วยชุดบ่าวในจวนแม่ทัพแบบไม่มีตรา ไม่มีลวดลาย
มัดผมเป็นจุกสั้นแบบชาย ใช้แป้งฝุ่นโบราณแต่งหน้าให้อมหมองนิด ๆ พอให้อำพรางความใสจนเกินเหตุของคุณหนูหลิน
สองเงาร่างเดินผ่านประตูข้างของจวนอย่างแนบเนียน
ยามเฝ้ายืนง่วงหงาวหาวนอนจนไม่ได้เหลือบตามอง
ผ่านฉลุย
เมื่อเดินออกพ้นแนวจวน เสี่ยวผิงรีบพานางเลี้ยวเข้าซอยด้านหลังที่มีโรงเก็บรถม้าขนาดเล็ก
“รถม้าคันนี้...ข้ายืมจากพ่อค้าชาวฝั่งตะวันตกในตลาดมาเจ้าค่ะ เขาแอบพึงใจในตัวข้า ข้าเลยอาศัยความใจดีของเขาขอยืมมาใช้หน่อย”
ตะวันในร่างเหยียนหรงหันขวับ
“เดี๋ยวนะ เจ้ามีความรักแล้วเหรอ!?”
“แค่...พ่อค้าเร่ร้านเล็ก ๆเจ้าค่ะ เขาแบ่งพวกขนมของกินให้ตลอด...แต่ฮูหยินเจ้าคะ เรารีบขึ้นรถม้าก่อนเถอะ!”
เสี่ยวผิงหน้าแดงแต่ยังไม่ลืมหน้าที่
ทั้งสองสาวพากันขึ้นรถม้าเก่า ๆ ขนาดพอเหมาะ ตะวันจับตะกร้าเสบียงใว้แน่นอยู่ข้างตัว เสี่ยวผิงโยนเสื้อคลุมทับไว้ เผื่อมีใครแอบสอดส่อง
ล้อรถม้าเริ่มหมุนอย่างช้า ๆทิ้งจวนแม่ทัพไว้เบื้องหลัง
รถม้าคันเล็กสภาพสะอาดกว่าที่คิด ยางรถกรอบแต่ยังใช้การได้ แถมยังมีเบาะนุ่ม ๆ ที่เสี่ยวผิงแอบยัดเศษฟางเสริมไว้เองจนดูคล้ายรถขุนนางชั้นล่าง
ภายในเงียบพอให้ได้ยินเสียงล้อกระทบหินกรวด
...และเสียงหัวใจของหลินเหยียนหรงที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
“เสี่ยวผิง”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน?”
สาวใช้น้อยหันมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้าม ขณะกำลังมัดถุงอาหารให้แน่นหนาอีกครั้ง
เหยียนหรงถอนหายใจ
“ข้าว่า...บางทีข้าอาจจะบ้าไปหน่อยที่คิดจะปลอมตัวเข้าไปถึงครัวค่ายทหารแค่เพื่อทำอาหารให้สามี”
“ไม่ใช่แค่หน่อยหรอกเจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงตอบหน้าตาย
“แต่บ่าวชินแล้วเจ้าค่ะ”
“...โอ้ ขอบใจนะ”
รถม้าสะเทือนเบา ๆ ขณะเคลื่อนตัวผ่านสะพานไม้เล็ก
เหยียนหรงขยับตัวนั่งชิดหน้าต่าง มองทิวเขาด้านนอกที่เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ใต้แสงจันทร์
“ซือหยาง...เขาจะกินอาหารที่ข้าทำหรือเปล่านะ”
“เขาไม่กินก็บังคับให้กินเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงตอบอย่างห้าวผิดวิสัย
“ท่านแม่ทัพกินมาหลายศึก คงไม่ตายเพราะข้าวห่อของฮูหยินหรอกเจ้าค่ะ!”
“พูดเหมือนข้าจะใส่ยาพิษลงไปแน่ะ!”
“ก็คนในจวนลือกันแบบนั้น...” เสี่ยวผิงไหลเสียงเบา ๆ
เหยียนหรงชะงัก
แล้วหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
“ข้าเองก็เคยลือแบบนั้นกับคนอื่นเหมือนกัน...เมื่อก่อนข้า...ก็ร้ายไม่ต่างกันเลยใช่ไหม”
เสี่ยวผิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ
“ตอนนี้ท่านไม่ร้ายแล้วเจ้าค่ะ ท่านกลายเป็นคนกล้าแทน”
“กล้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ...กล้าทอดปลาทั้งที่ไม่เคยเข้าครัว กล้าหั่นผักทั้งที่เคยแต่ถือพัด กล้าขึ้นรถม้ามากลางดึกเพื่อจะส่งอาหารให้ชายที่ไม่เคยยิ้มให้เลยสักครั้ง…”
คำพูดนั้นทำให้เหยียนหรงนิ่งไป
เธอก้มลงมองมือของตัวเอง มือในร่างนี้ที่เคยจับเพียงตะเกียบมุก กลายเป็นมือที่หยาบขึ้นเพราะจับกระทะ เตา และปลานิล
“ข้าเปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยหรือ?”
“เปลี่ยนมากค่ะ…แต่นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้าเชื่อว่าท่านจะเปลี่ยนหัวใจท่านแม่ทัพได้เหมือนกัน”
...
รถม้าเริ่มลดความเร็วเมื่อเข้าใกล้เขตค่าย เหยียนหรงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ อีกครั้ง
“งั้นก็ได้เวลาแล้ว หากข้าเปลี่ยนตัวเองได้ ข้าก็จะเปลี่ยนความรู้สึกของเขาได้เช่นกัน!”
ตะวันไม่เคยคิดว่าชะตาชีวิตของเธอจะมาถึงจุดนี้
การมารับบทเป็นนางร้ายคุณหนูตระกูลแม่ทัพที่ผู้คนครหา
ถึงตอนนี้มาถึงจุดที่เป็นหญิงสาวผู้ต้องแฝงตัวมาเป็นคนงานในครัวทหาร เพื่อเข้าใกล้ชายที่เป็นสามีในนาม แต่ไม่เคยแม้แต่จะหันมามองเธออย่างจริงจังเลยสักครั้ง
“ฮูหยิน…” เสี่ยวผิงพูดเสียงเบาจากฝั่งตรงข้าม พลางจัดขอบผ้าคลุมให้เจ้านายที่นั่งข้างกัน
“หน้าค่าย…เหมือนกำลังวุ่นวายอยู่เจ้าค่ะ”
หลินเหยียนหรงชะเง้อมองผ่านช่องม่านไม้ไผ่ รถม้ายังจอดอยู่ใต้เงาไม้ไกลจากทางเข้า แต่เพียงมองจากตรงนี้ก็เห็นชัดว่า คนจำนวนมากกำลังต่อแถว บ้างยืน บ้างหาบของ หน้าประตูค่ายขยับไม่หยุด
“…เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เธอพึมพำ
“เดี๋ยวข้าไปดูเองเจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงไม่รอให้สั่งซ้ำ รีบไถลตัวลงจากรถ แล้วหายลับไปกับฝูงคนอย่างคล่องแคล่วผิดกับร่างเล็กของเธอ
หลินเหยียนหรงนั่งรออยู่ในรถม้า ลมหายใจขาดห้วงเป็นจังหวะ ใจเต้นแรงราวกลองเพล
แม้ชีวิตในโลกก่อนของเธอจะผ่านการแก้โจทย์วิทยานิพนธ์หนัก ๆ หรือการบริหารร้านกาแฟเล็ก ๆ มาด้วยตัวคนเดียว แต่การแฝงตัวในค่ายทหารยุคโบราณ ไม่ใช่สิ่งที่ตำราเล่มไหนเคยสอนไว้เลย
แต่เธอต้องทำ
ไม่ใช่แค่เพื่อเข้าใกล้ซือหยางเพื่อเปลี่ยนใจเขาเท่านั้น แต่เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกนี้ต่างหาก เธอต้องเปลี่ยนบทจากนางร้ายแสนร้ายกาจมาเป็นนางเอกตัวจริงเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดกลับไป ถึงตอนจบเมื่อไหร่ก็หวังว่าจะได้กลับโลกจริงเสียที
ไม่ถึงครึ่งเค่อ เสี่ยวผิงก็กลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ฮูหยินเจ้าคะ” เสี่ยวผิงกระซิบเสียงกระชั้น พร้อมเกาะขอบหน้าต่างรถม้า
“ช่างเหมาะเจาะยิ่งนักเจ้าค่ะ ทางค่าย...กำลังคัดเลือกทหารเข้าประจำห้องครัวพอดี”
หลินเหยียนหรงชะงัก
“…ว่าอย่างไรนะ?”
“พวกเขาประกาศเมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ!” เสี่ยวผิงหายใจแรงราวกับวิ่งกลับมาทั้งเนิน
“ว่าต้องการคนครัวเพิ่มด่วน เพราะห้องครัวหลักเพิ่งมีคนเจ็บหลายคนจากเหตุไฟลุกเมื่อวันก่อน!”
หญิงสาวนิ่งไป
มองภาพเบื้องหน้าที่มีเหล่าชายชาตรีหลากหลายคนต่อแถวเพื่อสมัคร
ในหัวผุดภาพหนึ่งขึ้นมา
บท “นางเอก” ในซีรีส์ที่เธอเคยดู
ตอนที่หญิงสาวผู้กล้าหาญปลอมตัวเป็นทหาร เข้าไปใกล้แม่ทัพอย่างแนบเนียน เปลี่ยนความสัมพันธ์จากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนสำคัญของเขาในที่สุด
แต่ครั้งนี้...
ไม่มีวี่แววว่านางเอกตัวจริงจะโผล่มาและเธอก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากสมองและสองมือบวกกับความเย็นบนหลังมือกับแรงเต้นของหัวใจ
......และตะวันในร่างของหลินเหยียนหรงคนนี้จะ “ไม่ยอมตาย” เพื่อรอให้ใครมาแทนเธอได้อย่างแน่นอน
หญิงสาวกำหมัดแน่น
“เสี่ยวผิง...เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่านี่หมายถึงอะไร”
สาวใช้พยักหน้าเบา ๆ..นางรับรู้ได้จากน้ำเสียงและแววตาว่า..นายหญิงกำลังมีความกังวล
“เจ้าคงเข้าไปไม่ได้…ถึงจะเข้าไปได้ก็ได้ไม่นาน อาจจะถูกจับได้...และโทษก็คงจะหนักพอสมควร…”
เหยียนหรงหลุบตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแน่
“แต่สำหรับตัวข้าไม่เข้าไปตอนนี้...ข้าก็ไม่มีทางได้เข้าไปอีกเลย”
นอกจากกลับจงนแม่ทัพและนั่งรอความตายตามบท
เธอสูดลมหายใจ
“ดังนั้น..เสี่ยวผิงเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่”
เสี่ยวผิงชะงัก
“ฮูหยิน…”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงไปกับข้าอีก”
เหยียนหรงพูดนิ่ง ๆ
“แค่ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอ หากข้าไม่กลับออกมา…อย่าให้ข่าวถึงจวนใหญ่ ให้ถือว่าข้าหายตัวไปเลยก็พอ”
เธอยิ้มบาง ๆ แล้วเอื้อมมือไปจัดปลายผ้าโพกหัวของตัวเอง
เสี่ยวผิงเม้มปาก น้ำตาคลอหน่อย ๆ
แต่เธอก็พยักหน้ารับช้า ๆ
“ข้าจะรอที่ปากป่า หากเลยสองวันท่านยังไม่กลับมา...ข้าจะหาทางไปตามข่าวเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้านัก...เสบียงนี้ข้าคงขนเข้าไปไม่ได้แล้ว เจ้าเอาไว้ใช้ระหว่างนี้เถอะ”
เหยียนหรงสั่งเบา ๆ ก่อนจะหยุดหายใจชั่วขณะ แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“...แต่ไม่ต้องเข้าไปตามข้า”
แววตาของหญิงสาวนิ่งสนิท แม้ลมยามเช้าจะพัดแรงจนชายเสื้อปลิว แต่เสียงของเธอยังมั่นคงเหมือนเดิม
เธอก้าวเข้ามาใกล้สาวใช้ผู้ภักดีที่ยืนตัวสั่นอยู่ใต้ร่มไม้
ยกมือขึ้น ลูบแขนอีกฝ่ายเบา ๆ
“...และขอโทษที่ต้องลากเจ้ามาไกลถึงเพียงนี้”
เสี่ยวผิงเม้มปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตาไว้
แต่ก็ยังไม่อาจห้ามเสียงสั่นที่เล็ดลอดออกมาได้
“ข้าสมัครใจเจ้าค่ะ...ฮูหยินไม่เคยบังคับบ่าวเลย บ่าวเต็มใจ เต็มใจทุกอย่าง”
น้ำเสียงของนางขาดเป็นห้วง
“ตั้งแต่ท่านเปลี่ยนไป...ข้ารู้ว่า...ท่านคือคนที่ข้าอยากติดตามไปจนสุดทาง ไม่ว่าจะเส้นทางนั้นจะยากเย็นเพียงใดก็ตาม…”
หลินเหยียนหรงยิ้มจาง ๆที่ไม่ใช่รอยยิ้มของคุณหนูผู้ถือดีเป็นรอยยิ้มของคนที่กำลังแบกโชคชะตาไว้บนบ่า
“ข้าจะไม่เป็นอะไร...สักวันข้าจะพาเจ้ากลับเมืองหลวงพร้อมข้า แล้วถ้าภารกิจครั้งนี้โชคชะตาไม่เข้าข้าง ข้าทำทุกอย่างไม่สำเร็จ..ข้าจะพาเจ้าหนีไปกับข้าพร้อมกับเส้นทางเดินใหม่ของเรา”
“หากท่านไม่ได้กลับมาล่ะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพโหดถึงปานนั้น...”
เธอหยุด หายใจเข้าอย่างลึก
“ก็อย่าโทษตัวเอง จงลืมชื่อของข้าเสีย แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง”
เสี่ยวผิงกลั้นน้ำตาไม่อยู่
นางคุกเข่าลงต่อหน้าผู้เป็นนายในทันที ขณะเงยหน้ามองเจ้านายที่นางรักและเคารพมากกว่าใครในโลกนี้
“บ่าวจะรอ...ไม่ว่าอย่างไร บ่าวจะไม่ลืมท่านเด็ดขาด”
หลินเหยียนหรงยื่นมือออกไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุดท้ายก่อนจะหันหลังให้
“พอแล้ว...ตอนนี้อาเฟิงต้องไปแล้ว”