รถคันหรูแล่นอยู่บนท้องถนนเส้นหลัก ค่อนข้างไร้รถยนต์สัญจร อาจจะเพราะเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว หนทางที่กำลังบ่ายหน้าไปมุ่งสู่เส้นทางชานเมืองจึงไม่ค่อยมีรถราวิ่งไปกันมากเท่ากับช่วงหัวค่ำหรือกลางวัน
หญิงสาวนั่งมองเหม่อ สายตามองออกไปยังด้านนอกอย่างไร้ทิศทาง ไร้เป้าหมาย กับหัวใจที่แตกสลาย ยับเยิน หยดน้ำตาไหลพราก ทว่า ไร้เสียงสะอื้น ไร้เสียงร่ำไห้
ในขณะที่ชายหนุ่ม เจ้าของใบหน้านิ่งขรึม ลอบมองเสี้ยวหน้าของนางเอกสาวอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้เธออยู่กับตัวเอง
จนกระทั่งกระจกรถฝั่งด้านของเธอ ค่อย ๆ เลื่อนต่ำลง จากคำสั่งของคนที่นั่งข้างเธออย่างเงียบ ๆ มาตลอดเส้นทาง
หญิงสาวเหลือบสายตามองเขาเพียงนิด ก่อนจะค่อย ๆ ซบหน้าลงกับประตูฝั่งด้านนั้น ปล่อยน้ำตาไหลเป็นทาง และให้สายลมพัดพาความเสียใจของเธอให้ผ่านไปเรื่อย ๆ
กระทั่งรถคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้า คฤหาสน์หลังใหญ่ติดชายหาด ในเวลาฟ้าสาง เสียงคลื่นลมดังชัดคล้ายกับว่าอยู่ใกล้ จนหญิงสาวที่ยังคงอยู่ในภวังค์ เริ่มรู้สึกตัวและรับรู้ว่า รถได้จอดหยุดนิ่งอยู่กับที่นานแล้ว
หล่อนค่อยๆ ผินหน้าหันมามองชายร่วมทาง ที่นั่งอยู่ข้างเธอเงียบ ๆ เพียงแค่ใช้สายตา มองเธอโดยเขาไม่คิดพูด หรือ มีคำปลอบโยนใด ๆ พลอยให้เธอจมอยู่กับความคิดตนเองอย่างที่เธอต้องการ
“คุณพาฉันมาที่ไหนเหรอคะ”
“หึ...ลงไปเดินเล่นไหม ข้างนอกอากาศดีนะ” พร้อมพัชร์ บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย ขณะที่นางเอกสาวยังคงอยู่ในอาการงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก กระทั่งร่างสูงตัดสินใจก้าวนำลงจากรถ เดิมอ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาวได้ก้าวลงเดิน
สายลมพัดผ่านพร้อมกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังชัดจนแน่แก่ใจแล้วว่าที่นี่คือชายหาด เพียงแต่ไม่ทราบว่าคือที่ใด หล่อนหันมองหน้าเขาเพียงนิด ริมฝีปากยกยิ้มบาง ๆ แววตายังคงเคลือบคลอด้วยหยาดน้ำใส
สองเท้าขยับก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าเป็นถนนลาดปูด้วยหินอย่างดี เป็นทางระยะยาวจนถึงชายหาด โดยมีเขา และคนสนิท เดินตามเธอมาอย่างห่าง ๆ
หล่อนปล่อยใจทิ้งไปกับสายลมเย็น ๆ และเสียงคลื่นเบื้องหน้า นั่งกอดเข่า มองพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนจากแผ่นน้ำ ขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้า ๆ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่
“เข้าไปข้างในเถอะ” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยแทรก ขัดความคิดของหญิงสาวที่กำลังจมอยู่ตนเอง สายตายังคงมองเหม่อไปยังเบื้องหน้าอย่างไรทิศทาง
“ฉัน...ขอนั่งอยู่ตรงนี้สักพักได้ไหมคะ”
พร้อมพัชร์ ไม่ตอบเพียงแต่มองหน้าเธอนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้า หันไปส่งสายตากับคนสนิทให้ยังยืน คอยดูแลความปลอดภัยให้กับหญิงสาว
ส่วนตัวเขาเลือกที่จะเดินกลับเข้าไปด้านในคฤหาสน์ หลังใหญ่ที่มีระเบียงพื้นที่และสระว่ายน้ำยื่นออกมาตรงชายหาด
โดยที่เธอยังนั่งมองทะเลอยู่ตรงนั้น เงียบ ๆ
เสียงกระทะกับตะหลิวดังแว่วมาให้ได้ยิน ขณะที่หญิงสาวเดินตาม อรัญ คนสนิทของเขาเข้ามาในตัวบ้านหลังใหญ่ ที่มีพื้นที่กว้างขวาง ทั้งพื้นที่โถงส่วนกลาง โซนสำหรับนั่งพักผ่อน รวมไปถึง โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ที่มีบาร์เครื่องดื่ม ตั้งไว้กั้นให้เห็นเป็นสัดส่วน มองเลยไปเพียงนิด เห็นแผ่นหลังหนาแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามของร่างสูงกำลังยืนเขย่ากระทะ อยู่หน้าเตาไฟฟ้า ด้วยท่าทางคล่องแคล่วชำนาญ รอบตัวมีวัตถุดิบเตรียมพร้อมสำหรับปรุงอาหาร
ทุกท่วงท่าสะกดสายตาของนางเอกสาวให้หยุดนิ่งมองอยู่นานราวกับต้องมนต์
จนกระทั่ง หางตาของเขาชำเลืองหันมามอง เห็นเธอกำลังยืนมองเขาอยู่ จึงหยุดมือที่กำลังจะยกกระทะเทอาหารใส่จาน หันมาพูดกับหญิงสาวด้วยสีหน้านิ่งขรึม น้ำเสียงราบเรียบ
“นั่งสิ อาหารเช้าเสร็จพอดี” นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย อดที่จะรู้สึกแปลกประหลาดใจไม่ได้ ที่เห็นคนระดับเขา ลงมือทำอาหารด้วยตนเอง
“หึ อาหารพวกนี้ทานได้แน่นอน นั่งลงเถอะ นี่ผมเหลือเจียวไข่อีกอย่างก็เสร็จแล้ว” ทว่า หญิงสาวยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ จึงเอ่ยย้ำ พร้อมกับหันไปสั่งลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“นั่งสิ... อรัญ เทน้ำส้มให้เขาคุณเขาด้วย จะได้สดชื่น”
“ครับนาย” อรัญ พยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น รินน้ำส้มคั้นสด ๆ ใส่แก้วทรงสวย มาวางให้บนโต๊ะ
ขณะที่ลิญาณา แม้จะยังคงรู้สึกแปลกใจ แต่หล่อนก็เดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร สายตายังคงจับจ้องมองทุกการกระทำของเขาอย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปไม่นาน อาหารทุกอย่างที่ถูกยกนำมาวางตรงหน้าเธอ แม้จะเป็นเมนูง่าย ๆ แบบพื้น ๆ ไข่เจียวหมูสับ ผัดผักบุ้งไฟแดง ยำเกี๊ยมฉ่ายกับไข่เค็ม มาพร้อมกับข้าวต้มร้อน ๆ เรียกน้ำย่อยให้เธอได้พอสมควร
“ลองชิมสิ ผมว่ารสมือผม ยังโอเคอยู่นะ” เชฟจำเป็นเอ่ยเชิญชวน ขณะที่ตนเองหันไปตักข้าวต้มร้อน ๆ ใส่ถ้วยเซรามิกอย่างดี ยังมีควันสีขาว ลอยกรุ่นอยู่เหนือชาม ยื่นให้หญิงสาวที่ยกมือรับ ด้วยสีหน้ายังไม่คลายความงุนงง คล้ายยังคงแปลกใจ
พร้อมพัชร์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปตักข้าวใส่ชามตัวเอง
“ผมให้คนเตรียมชุดไว้ให้คุณแล้ว เดี๋ยวทานเสร็จค่อยไปอาบน้ำ นอนพักให้สบาย”
“ขอบคุณนะคะ” ลิญาณามองอาหารตรงหน้า แม้ว่าความเสียใจและความเครียดของร่างกาย จะไม่ทำให้เธอรู้สึกอยากอาหาร เลยสักนิด แต่เมื่อได้ลองตักเข้าปาก กลับรู้สึกถูกใจ จนต้องตักทานซ้ำ ราวกับหิวโหยมานาน
ซีอีโอหนุ่มใหญ่ ลอบมองดูหล่อนทานอาหารเช้าแบบง่าย ๆ รังสรรค์โดยเขา ที่ทำหน้าเป็นเชฟจำเป็น ด้วยความพึงพอใจ กระทั่งอาหารทุกอย่างที่มีบนโต๊ะร่อยหรอจนเกือบหมด หล่อนถึงได้วางช้อน แล้วยกน้ำส้มขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“ทานอิ่มแล้ว ก็รีบขึ้นไปนอนพักเถอะ คุณไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอเอ่ยคำนั้นกับเขาอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้เขา เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เหตุการณ์เมื่อคืนเธอจะมีสภาพเช่นไร อาจจะเพลี่ยงพล้ำ ให้สองคนนั้นได้ทำร้ายจิตใจเธอได้อีกซ้ำๆ