แตกหัก
ตอนที่ 1
แตกหัก
นานมากแล้วที่ จักรวาล โชติพิทักษ์ ไม่ได้กลับบ้านของตัวเอง ด้วยช่วงนี้เขายุ่งเกี่ยวกับงานที่เป็นธุรกิจของตระกูลโชติพิทักษ์ ปัญหาหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาในการบริหารแบบกงสีของครอบครัวเกี่ยวกับค้าขายพืชผลทางการเกษตรเริ่มจะเห็นเด่นชัดในรุ่นของเขา
นั่นทำให้ตอนนี้สมาธิทั้งหมดของเขาในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลต้องมุ่งเป้าไปยังงานแทบจะเกือบทั้งหมด
แม้ความจริงบ้านที่พักอยู่กับภรรยาและลูกสาววัยสามขวบกว่าจะอยู่ไม่ห่างจากบ้านใหญ่ของโชติพิทักษ์มากนัก แต่ปัญหาหลายอย่างที่เจอะเจอในตอนนี้ทั้งจากความกดดันของบิดา รวมถึงความขัดแย้งกับภรรยาที่ตอนนี้
เหมือนชีวิตคู่ของเขามาถึงทางตันและกำลังจะสิ้นสุดลง
ร่างหนาในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงชิโนเนื้อดี เดินลงจากรถก้าวเข้ามาในบ้าน ดวงตาสีเข้มกวาดมองไปรอบด้านยังมุมต่างๆที่คุ้นเคย แล้วผ่อนลมหายใจออกมา
"คุณปิ่นอยู่ด้านบนค่ะเห็นไม่สบายมาหลายวันแล้ว แต่เพิ่งจากกลับจากข้างนอกมาค่ะ"
ป้าอ่อน แม่บ้านเก่าแก่ที่รับใช้เขามาเนิ่นนานเอ่ยบอกนอบน้อม
"ไม่เป็นไร"
จักรวาล ส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ที่แต่งงานกัน ความรู้สึกหวานชื่นที่มีกับภรรยาค่อยๆลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินจนบางครั้งแทบจะไม่ได้พูดคุยและมองหน้ากันด้วยซ้ำ
"แล้วผิงผิงล่ะ"
เขาเอ่ยถามหาลูกสาวแทน
"คุณหนูหลับไปตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มแล้วค่ะ ...คุณใหญ่จะเอาอะไรเพิ่มไหมคะอ่อนจะได้จัดให้"
"งั้นไม่เป็นไรครับ ป้ามีอะไรจะทำก็ไปทำเถอะ"
ชายหนุ่มบอกเสียงเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะเดินขึ้นบันไดช้าๆขณะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ดและสะบัดหน้าไปมา
ที่เขามาบ้านในวันนี้และเวลานี้ ก็เพื่อจะคุยกับ ปาริชาติ ภรรยาของเขาให้ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่งอนแง่น และเลือกที่จะมาในเวลานี้เพื่อที่จะรอให้ ผิงผิง ลูกสาววัยสามขวบของเขาหลับไปก่อน
ทุกอย่างจะได้ราบรื่น
เพราะสิ่งที่เขาจะพูดกับภรรยาในวันนี้เขายังไม่อยากจะให้ลูกสาวของเขารับรู้ด้วยตอนนี้เธอยังเด็กเกินไป
จักรวาล เดินมาหยุดยังประตูหน้าห้องนอนที่ไม่ได้ล็อค เขาผลักมันเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ และไม่จำเป็นจะต้องเคาะ แม้ว่านานๆจะมาที
อย่างไงเขาก็เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
“ปิ่น ยังไม่นอนใช่มั้ย?”
เขาเอ่ยถามเบาๆ ในห้องมีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟเล็ก ร่างบางระหงของภรรยานั่งหันหลังบนเก้าอี้ตัวใหญ่ เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเธออยู่ในชุดราตรีเว้าลึกจนเห็นแผ่นหลังนวลเนียน ผมดำขลับสลวยนั้นถูกเกล้ามวยขึ้นสูงเป็นภาพลักษณ์ที่แปลกตา ด้วยเขาไม่เคยเห็นเธอในลักษณะแบบนี้มาก่อน
ทว่าเธอยังคงนั่งหันหลังไม่คิดจะมองเขาแม้เพียงนิด
“ยังค่ะ ปิ่นเพิ่งกลับจากงานเลี้ยง”
“งานเลี้ยง?”
คิ้วหนาเข้มของ จักรวาล เลิกขึ้นสูง
“ค่ะงานเลี้ยงของหิรัญกุล”
เธอเอี้ยวหน้ามามองเขา ใบหน้าสวยผุดผาดรูปไข่ถูกแต่งแต้มอย่างปราณีต ดวงตาคู่สวยสุกสกาวจ้องมองเขานิ่ง นั่นทำให้จักรวาลยิ่งประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
ทำไมสายตาที่เคยโศกเศร้านั้นหายไปไหนกัน
“ไหนบอกว่าไม่สบายแล้วไปงานเลี้ยงนี่นะ”
ชายหนุ่มแค่นเสียงสูง “กลัวคนทั่วไปจะไม่รู้หรือไง? ว่าเธอกับมันแอบลับลอบเป็นชู้กัน”
นานแล้วที่เขาต้องทนกับข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับเรื่องราวของภรรยา แม้ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจหลายอย่างก็จางหายไปทีละนิด จนตอนนี้แทบจะไม่เหลือสิ่งนั้นอยู่ในใจอีกเลย
“เมื่อไหร่ เฮียจะเลิกปรักปรำปิ่นเสียที”
ปาริชาติ ผ่อนลมหายใจออกมาทว่าน้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง ขณะยกมือมาปลดสร้อยมุกออกจากลำคอระหง เพื่อเก็บลงยังกล่องเครื่องประดับอย่างระมัดระวัง
จักรวาล หลุบตาลงต่ำมองกริยานั้น ก่อนจะเอ่ยออกมาในสิ่งที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้แต่แรก
“วันนี้ ฉันจะมาคุยเรื่องหย่า”
“....”
มือขาวที่จับกล่องเครื่องประดับค้างไว้เล็กน้อย ริมฝีปากสีพีชอิ่มวาวเม้มเข้าหากันแน่น เหมือนกำลังรวบรวมสติบางอย่าง
ตอนนี้เธอจะต้องใจเย็นที่สุด
อะไรหลายอย่างในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านนี้ ทำให้ความคิดของปาริชาติเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยคำพูดและพฤติกรรมของ ผิงผิง ลูกสาววัยสามขวบกว่า
และถ้อยคำนี้จากปากผู้เป็นสามี
ลูกสาวเธอได้บอกไว้แล้วว่าเขาจะต้องเอ่ยประโยคนี้กับเธอ
“ฉันคิดว่าชีวิตคู่ของเราคงมาถึงทางตันแล้ว ยื้อต่อกันไปก็เท่านั้น เราจัดการหย่ากันให้จบๆไปดีกว่า และเรื่องลูกถ้าเธออยากจะดูแลฉันก็จะรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แต่อย่าเพิ่งบอกลูกก็พอ รอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อย”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าก็ไหวระริกเล็กน้อย
เขากับ ปาริชาติ แต่งงานกันมาได้ห้าปีแล้ว ตามความต้องการของ ประเสริฐ โชติพิทักษ์ ผู้เป็นพ่อของเขาที่ต้องการจะทำตามเจตนารมย์ของตัวเองตามที่ได้รับปากกับเพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไปแล้ว
เขาเองปฏิเสธพ่อไม่ได้ จำต้องแต่งตามนั้น
แต่ตอนนี้เขาต้องการอิสระ
ด้วยตั้งแต่แต่งงานมาจนมีลูกด้วยกัน เขาไม่สามารถรับรู้ความรักความปรารถนาดีจากภรรยาเลย เธอเฉยชาและจืดชืดแถมยังมีข่าวว่าที่เธอแต่งงานกับเขาก็เพียงเพื่อหวังเงินจากพ่อของเขาเท่านั้น และความจริงเธออยากแต่งกับคนตระกูลหิรัญกุลมากกว่าด้วยซ้ำ
“.....”
“เรื่องทรัพย์สินฉันจะแบ่งจัดสรรให้เธอกับลูกตามสมควร แต่เธอก็รู้ใช่ไหมว่าเธอมีสิทธิ์ไม่เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นทรัพย์สินก่อนสมรสทั้งนั้น ...ยังไงพรุ่งนี้จะมีเจ้าหน้าที่เขตเข้ามาจัดการให้เรียบร้อย”
จักรวาลเอ่ยต่อ เมื่อเห็นเธอยังคงนิ่ง และอย่างไรเสียก็คงจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินเหมือนเคย
ผู้หญิงหน้าเงินแบบนี้!
ปาริชาติปิดกล่องเครื่องประดับลงอย่างใจเย็นแล้วช้อนหน้าขึ้นมองชายผู้เป็นสามี
“ปิ่นไม่หย่าค่ะ”
“หือ”
จักรวาล ขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มจากปากจิ้มลิ้มของภรรยาหัวอ่อน ท่าทีแข็งกร้าวในตอนนี้ของเธอทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
“ปิ่นไม่หย่า” ปาริชาติย้ำอีกรอบ ใบหน้าสวยเชิดขึ้นมองสามีอย่างท้าทาย มุมปากกระจับของเธอยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อสบตาคมเข้มของเขา
“แต่ถ้าเฮียอยากจะหย่าจริงๆ ก็ต้องยกทรัพย์สินที่เป็นส่วนของเฮียให้กับปิ่นและลูกทั้งหมดรวมทั้งบ้านหลังนี้ด้วย แล้วเฮียก็จากไปแต่ตัวละกัน ...ถ้าได้แบบนั้นปิ่นจะยอมหย่าให้”
“อะ ..อะไรนะ!”
จักรวาลอ้าปากค้าง เหมือนจะติดอ่างขึ้นมาแทบจะทันที “นี่มันจะมากไปแล้วนะ เธอจะเอาทรัพย์สินทั้งหมดของฉันเลยเหรอ?”
“ค่ะ”
หญิงสาวขยับกายลุกขึ้น ขณะยกมือขึ้นปลดมวยผมที่เกล้าไว้ลงมา แล้วเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง
“ถ้าเฮียตกลงตามเงื่อนไขนี้ ก็เรียกเจ้าหน้าที่เขตมาได้เลย”
“ฉันไม่ตกลง ..จะให้ฉันหย่าเพื่อให้เธอเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลไปถลุงกับชายชู้รึไง?”
ใบหน้าหล่อเข้มบึ้งตึงขึ้น ร่างหนาปราดเข้ามาใกล้แล้วจับเอวคอดกระชากร่างบางให้หันกลับมา
ทว่าเธอกลับหันมามองเขาตาเขียวเข้ม
“อย่ารุนแรงกับปิ่นค่ะ ถ้าจบธุระของเฮียแล้วก็กลับไปได้เลย ปิ่นง่วงแล้ว”
ตกลงนี่บ้านเขาหรือบ้านใคร?
“ฉันก็ไม่ได้อยากแตะต้องเธอนักหรอก”
เขายอมปล่อยมือออก ด้วยนานมากแล้วที่เขาแทบไม่ได้สัมผัสกับร่างนุ่มนิ่มนี้ของภรรยา ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของเขาและเธอง่อนแง่นมาตลอด
“งั้นกลับไปได้แล้วค่ะ ..เพราะยังไงเฮียก็ไม่นอนที่นี่อยู่แล้ว”
น้ำเสียงของเธอกลับมาเย็นชาอีกครั้ง จักรวาลใช้ลิ้นกระทุ้งแก้มตัวเองเพื่อสะกดกั้นอารมณ์บางอย่าง เมื่อเหลือบมองเนินอกอิ่มที่เบียดชิดกันอยู่ตรงหน้า
ตอนนี้เขาลืมไปชั่วขณะว่าก่อนหน้าเขาต้องการจะคุยกับเธอเรื่องอะไร?
ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยอะไรต่อ
ประตูห้องก็ถูกเปิด
ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสามขวบเดินเข้ามา ก่อนจะเอ่ยเสียงหวานใสบอกเขา
“ปะป๊าห้ามไปไหนนะคะ นอนกับม่ามี๊ที่ห้องนี้แหละค่ะ!”
************